< < 164 > >
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ในเวลาอันสั้น ได้เกิดเรื่องใหญ่ที่มิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้อีกแล้ว
ผมยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นขนาดใหญ่และกว้าง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของสวนและที่ฝึกต่อสู้ ผมยืนค้างอยู่หน้าประตูเลื่อนไม้มานานแสนนานแล้ว ด้วยความที่ตอนนี้ใจลอยไปไหนไม่รู้ ทำให้ผมไม่ได้ขยับร่างกาย แต่เลือกจะปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปดังสายน้ำ
รู้สึกว่าหัวสมองไม่อาจทำงานหนักได้อีกแล้ว ..
ทันใดนั้น–ปั้ง!!!! ประตูไม้ดันถูกเปิดออกอย่างรุนแรง เมื่องเงยหน้าไปมองสมองที่พังก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์
เด็กหนุ่มที่ใบหน้าเปื้อนด้วยอารมณ์ร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ เลือนผมสีม่วงโทนดำที่ยาวจนแทบจะปิดตา แต่ก็สามารถมองเห็นดวงตาที่เป็นประกายสวยงามได้อยู่บ้าง ผิวสีขาวอย่างกับว่าเป็นพวกไม่ค่อยออกจากบ้านและตากแอร์ตลอดเวลา ส่วนสูงที่มากกว่าผมเล็กน้อย แต่เทียบกับขนาดตัวแล้วผมใหญ่กว่าหน่อยนึง ร่างกายที่มีกล้ามเนื้ออยู่ในระดับที่ไม่มากแต่ก็เปี่ยมด้วยคุณภาพ
ด้วยเวลาที่ผ่านไปเกือบปีจากการพบกันครั้งแรก ทำให้พบเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งตัวที่สูงขึ้นจนมากกว่าผมราวสองสามเซน ร่างกายที่มีกล้ามเนื้อและดูแข็งแรงต่างกับซากศพในทีแรก รวมถึงจิตนึกคิดภายในก็เปลี่ยนไปมากระดับหนึ่ง
ขณะนี้หมอนี่กำลังสวมชุดกิโมโนสีดำลวดลายดอกไม้สีม่วง
เจ้าตัวจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่ดูหยามกันหน่อยๆ ไม่สิ ตั้งใจเหยียดหยามเลยแหละ
ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนได้
“ไม่เจอกันนานนะ ‘เคียวยะ’”
พ่อหนุ่มโจร กกน. ปากเสีย ผู้ถือครองดวงตามหาปราชญ์ รึอีกชื่อ ผู้ถือครองอำนาจแห่งทวยเทพทั้งสิบ ‘เทพแห่งสติปัญญา’ น่ะนะ เพราะอย่างนั้นจึงมีดวงตาที่สวยเกินกว่าใครๆบนโลกใบนี้ เป็นตัวตนผู้พิเศษที่สุดคนหนึ่งบนโลก
ทันทีที่เจอเคียวยะ ผมก็ใช้ตัดมิติสร้างกำแพงไม่ให้หมอนั่นอ่านใจทันที ทว่า
“แกแอบนอกใจเบลลามีสินะ”
“..”
ไม่ทัน? ไม่ใช่
ข้างหลังเคียวยะ ไกลออกไปไม่มาก มีอานิม่าที่ชะโงกหัวมองจากข้างในห้องอยู่
โดนแทงเข้าที่ข้างหลังต่างหากตัวผม
“..”
อยากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ว่า
“ว่าแต่นายมาที่นี่ได้ยังไงกัน”
“ฟัฟนิร์เองก็ส่งจดหมายให้ฉันมาช่วย แต่เรื่องนี้จะยังไงก็ได้ อธิบายมาซะว่าไปทำอะไรกับนังผู้หญิงนั่น”
“ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อยนี่”
ผมเดินผ่านเคียวยะไปโดยตั้งใจเมิน หมอนั่นกอดอกมองมาด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว เห็นแบบนี้ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ..
“ถึงจะดูเหมือนแต่จะไม่มีการนอกใจอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย?”
“..ก็ดี”
“เชื่อง่ายจริงแฮะ”
“นายไม่ใช่คนโกหก อย่างน้อยฉันก็เชื่ออย่างนั้น”
ผมเกาหัวตัวเองงึกๆ ..อีกฝ่ายเองถึงจะดูไม่เหมือนแต่ก็ไว้วางใจผมด้วยสิ บอกๆไปเลยละกัน
“ในระยะเวลาไม่กี่วัน ฉันตกลงเป็นแฟนหนุ่มของวิน”
…..
…..
อานิม่าทำสีหน้าเอือมระอาใส่ผม ช่างเป็นสีหน้าที่ไม่อยากพบอยากเจอ
“นอกใจสินะ ไอ้บัดซบ”
ที่บอกว่าเชื่อใจตะกี้ เหมือนจะเป็นแค่ลมปาก
เคียวยะตรงปรี่ใส่ผม แล้วก็กระชากคอเสื้อผมทันที
“มันหมายความว่ายังไงกันวะ!?”
“อย่างที่บอก ..อาจจะดูเหมือนแต่ฉันไม่ได้นอกใจ ..คือ..จะไม่มีการล้ำเส้นเกินไป ประมาณว่า-ใช่ คล้ายๆอาชีพอย่างแฟนเช่านั่นแหละ”
อารมณ์ประมาณเพื่อนเที่ยวเล่นที่มีชื่อว่าแฟนแค่นั้น
“ต่อให้ไม่ใช่ทางใจ แต่ก็ทางกายไม่ใช่รึไง? ไม่ว่าจะมากจะน้อยมันก็คือการนอกใจ!”
..แม่งเอ้ย เป็นครั้งแรกเลยที่เถียงไอ้ห่านี่ไม่ออก
“เออ จะว่านอกใจก็ได้ แต่มันจำเป็น”
“จำเป็น?”
“..ฉันไม่อยากให้วินหายไปทั้งอย่างนี้ ..มันก็แค่นั้น”
“ยัยนั่นขอ?”
ผมพยักหน้าตอบ เคียวยะจี๊ปากไม่พอใจแต่ก็ยอมปล่อยผมไป
“แกใจอ่อนเกินไป กับคนที่จะต้องตาย ไม่ควรไปแสดงความเห็นใจด้วย”
ผิดกับที่โลกเก่าเคยสอบลิบลับ ยิ่งกับคนตายนี่แหละถึงต้องคอยเป็นห่วงและมอบความสุขให้มากที่สุด ทำไมกันนะ? ง่ายๆเลย โลกนี้หลายๆอย่างมันค่อนข้างเห็นแก่ตัว ถ้าเกิดเข้าใกล้คนที่มีชะตาจะต้องตายในเร็ววันเข้า มีแค่จะทำให้ผมเสียใจเอง
แน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่วินที่ผมคุ้นเคย ผมจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยโดยเด็ดขาด แต่ว่า ..อย่างที่รู้ วินเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
“เตรียมใจไว้แล้วละ”
“ก็ดี”
….
“แล้วคุณภูต ‘โคริน’ ที่นายทำพันธสัญญาด้วยอยู่ไหนรึ”
อนึ่ง ในช่วงที่อยู่ป่ามหาภูตเคียวยะได้ฝึกฝนหลายอย่างพร้อมกับทุกคน รวมถึงได้ทำพันธสัญญากับภูตด้วย ซึ่งภูตที่ทำสัญญษด้วยมีชื่อว่า ‘โคริน’ เป็นภูตป่า(ระดับต่ำสุด)จาก ภูตผู้ปกปักษ์(ระดับกลางไปสูง) และ ภูตสวรรค์(ระดับสูงที่สุด) เธอช่วยนำทางพวกเราในป่ามหาภูต
“โครินหลับอยู่”
“แบบนี้นี่เอง ถ้านั้นฉันขอตัวไปอาบน้ำเข้านอนก่อนละกัน”
“เชิญ”
ผมถอดร้องเท้าแล้วก็ไปเก็บข้าวของไว้ในห้องนอนที่ว่าง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกออก เหลือแต่กางเกงแล้วก็เสื้อยืด ผมวางผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่าและตรงไปที่ห้องอาบน้ำ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นโรงอาบน้ำขนาดใหญ่แทนเนี่ยสิ
อย่างไรก็ช่าง ผมเดินเข้าไปข้างใน และหยุดอยู่ที่ห้องเปลี่ยนตัว ถามว่าทำไม เพราะผมเผอิญพบกับฉากเซอวิซที่พบได้บ่อยเมื่อสิบกว่าปีก่อนเนี่ยสิ
เท็งงุ เบ็นจิโร่ เจ้าของคฤหาสน์ เธออยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า ใช่ เปลือยเปล่าโดยไม่มีอะไรขวางไว้เลย เห็นกระทั่งจุดที่ปีกโผล่ออกมา จะว่ายังไงดี เป็นส่วนที่น่าค้นหาอย่างพิศวง แล้วก็กล้ามเนื้อในร่างกายเล็กๆที่เห็นแล้วคงไม่มีใครกล้าจะดูถูกเลยว่าเป็นยัยเตี้ย แบบนี้เรียกว่าซ่อนรูปคงได้ บนบ่ามีผ้าเช็ดตัววางไว้เหมือนๆกับผม สภาพการยืนแล้วการวางผ้าไว้บนบ่า ราวกับตาลุงที่พึ่งแช่น้ำร้อน
สำคัญที่สุด ทันทีที่ผมย่างเข้ามาในเขตุแดนแห่งนี้ หลังจากที่สายตาผมขยับไปมาอย่างเสียมารยาท พวกเราก็ได้สบตากันและนิ่งเงียบทันที
ไม่นาน ผมก็โดนต่อยจนสลบไป ไม่คิดจะตอบโต้ด้วยวิหคอมตะหรือหลบ อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณดั่งเดิมถูกปลุกขึ้นมาก็เป็นได้ สัญชาตญาณที่ว่าจะต้องโดนเบ็นจิโร่ต่อยจนสลบเป็นกิจวัตรอย่างน้อยวันละครั้งน่ะ สมัยก่อนเป็นบ่อยๆเลย
สมกับเป็นยัยซึนเดเระยุคแรกเริ่ม—ผมแอบคิดในใจอย่างชื่นชมเล็กน้อย
****
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ในห้องขนาดใหญ่กว้างสไตล์ญี่ปุ่นยุคเก่า ผมหันซ้ายหันขวาไปมา ก่อนจะละลึกชาติได้ว่าเมื่อวานตัวผมได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า และโดนอัดเบ้าหน้าหนึ่งที
เอาเป็นว่าโดนหมัดเดียวก็บุญแล้ว
‘คุ้มด้วยซ้ำนะคะที่โรคจิตอย่างมาสเตอร์ได้เห็นเลือนร่างของสาวน้อยน่ะ แลกกับหมัดๆเดียว’
ดูพูดเข้าสิ ไร้ความเห็นใจสิ้นดี
‘ค่ะ ฉันไม่คิดเห็นใจสวะที่นอกใจคนรักของตัวเองได้หรอก’
…
‘เข้าใจนะคะว่ามีเหตุผล แต่คิดว่าคนอย่างมาสเตอร์โดนด่าสักหน่อยน่าจะดี เพราะทำตัวได้น่าโดนด่ามากเลยน่ะค่ะ’
ก็ไม่ปฏิเสธแหละนะ
ผมลุกขึ้นยืน และพบความเปลี่ยนแปลงที่ว่าชุดของผมถูกเปลี่ยนเป็นชุดกิโมโนสีดำไร้ลวดลาย แต่เนื้อผ้าดีเอามากๆ
“..เกิดอะไรขึ้นบ้างเนี่ย”
‘เคียวยะเปลี่ยนเสื้อให้ค่ะ’
“นึกว่าเบ็นจิโร่ไม่ก็สาวใช้ในนี้ซะอีก รู้สึกหดหู่ขึ้นมาแล้วสิ ..”
‘คาดหวังอะไรได้ต่ำดีกว่านะคะ’
โดนจู่โจมด้วยความรู้สึกลบๆตั้งแต่เช้าเลย ช่วงนี้ผมเจอมาหนักจริงๆ ..ผมคว้าคทาเวทย์ในผ้าคลุม เรลันดาฟ ขึ้นมา แล้วก็เดินออกจากห้อง ทันทีที่ออกมาก็พบกับเคียวยะแล้วก็อานิม่าที่กำลังเดินไปที่ไหนสักที่
“อรุณสวัดดิ์”
ทั้งสองหยุดเดิน อานิม่าหันมาทักทายผม
“อรุณสวัดดิ์ค่ะ คุณเรเซอร์”
“โอ้”
แน่นอนเคียวยะไม่ใช่คนประเภทชอบทักทายใครยามเช้า
“แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะ?”
ทั้งเคียวยะและอานิม่าอยู่ในชุดฝึกดาบญี่ปุ่น
“คุณเบ็นจิโร่บอกว่าจะช่วยพวกเราฝึกฝนการต่อสู้ค่ะ”
“เทพแห่งจิตวิญญาณจำเป็นต้องฝึกเพิ่มด้วยรึเนี่ย”
“คิดว่าฝึกไว้ก็ไม่เสียหายนะคะ”
ก็ตามนั้นเลย
“ไหนๆก็ไหนๆ ฉันไปด้วยดีกว่า”
****
ทั้งสองออกไปฝึกก่อน ส่วนผมตามไปทีหลังเพราะต้องเปลี่ยนชุดและเตรียมอุปกรณ์ก่อน เหมือนว่าจะออกไปฝึกที่นอกตัวเมืองกัน โชคดีที่คฤหาสน์แห่งนี้อยู่ไกลจากตัวเมืองหลัก ทำให้เดินเท้าเปล่าไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงจุดนัดพบแล้ว
เมื่อมาถึงผมก็เห็นอานิม่าที่ฝึกแกว่งดาบ แล้วก็เคียวยะที่ดวลดาบกับเบ็นจิโร่แบบไม่เอาจริงกันทั้งคู่ เป็นการดวลเพื่อเรียนทักษะ
เบ็นจิโร่หยุดเหวี่ยงดาบทันทีที่เห็นผม
“เรื่องเมื่อคืนไม่ขอโทษหรอกนะ ตรงป้ายก็มีเขียนไว้แล้วว่ามีคนเข้าอยู่ ในมุมมองของฉันยังไงก็เจตนาถ้ำมองชัดๆ”
แบบนั้นนี่เอง คงเพราะเหนื่อยกับหลายๆเรื่องผมเลยไม่ได้สังเกตุ
“โทษทีละกัน แต่ยืนยันได้ว่าไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีใครอยากโดนต่อยหรอก”
แต่ถ้าคนที่รักต่อยก็ไม่ได้รังเกียจ ว่าไปนั่น
“เข้าใจก็ดี แล้วก็ลืมเรื่องเมื่อคืนไปซะ”
ผมพยักหน้าให้แบบเฉื่อยๆ ทั้งสองจึงเริ่มแลกดาบกันอีกครั้ง ทางผมเดินไปทางอานิม่าแล้วก็ทำการเหวี่ยงดาบจากข้างๆ
ระหว่างที่เหวี่ยงก็สังเกตุการใช้ดาบสุดไม่ได้เรื่องของอานิม่าไปด้วย
“ร่างกายเหยาะแหยะจังเลยนะครับท่านเทพ”
“ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ..แล้วก็ใช้ดาบไม่เป็นด้วยค่ะ”
เทพเป็นพวกที่พึ่งแต่พลังโดยกำเนิดของตัวเอง ก็จริงแค่พลังโดยกำเนิดก็มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าท็อปโลก เผลอๆพลังที่ถือครองนั้นยังอลังการกว่ามาก แต่ในการต่อสู้จริงด้วยทักษะการประยุกต์กับความสามารถทางร่างกายที่น้อย หากไม่มีพลังแห่งพล็อตอาร์มเมอร์ที่ว่าตัวเองจะไม่มีทางถูกฆ่าตายละก็–น่าจะมีคนหลายคนบนโลกนี้ที่สังหารทวยเทพได้
“คิดดูดีๆ ฝึกร่างกายไว้ก็ดีนะครับ”
“คิดเหมือนกันค่ะ ..แฮ่ก..แฮ่ก”
หมดแรงซะแล้ว
ด้วยความหวังดีผมจึงดีดนิ้ว เรียกวิหคอมตะออกมารักษาแรงกายคืนให้อานิม่า …
“…”
“เหวี่ยงต่อสิครับ”
“..ค่ะ”
ไม่รู้ทำไม แต่อานิม่าดูกลัวๆผมยังไงไม่รู้
การฝึกฝนดำเนินต่อไปเป็นชั่วโมง จากเวลาราวๆตีห้าก็ปาไปจะเจ็ดโมงเช้า ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสง
เคียวยะและเบ็นจิโร่แลกดาบกันไปมา เคียวยะอยากจะศึกษาการโจมตีของดาบเลยเลือกฝึกอย่างนั้น
ตัวผมเหวี่ยงดาบบ้าง วิดพื้นบ้าง ฝึกการควบคุมเวทมนตร์บ้าง บางทีก็หยิบเรลันดาฟออกมาลองใช้งานบ้าง ทำหลายอย่างเลย ต่างกับอานิม่าที่เอาแต่เหวี่ยงดาบ เธอเหวี่ยงดาบมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะ ผมใช้วิหคอมตะทำให้เธอหายเหนื่อย แล้วก็ให้เธอเหวี่ยงต่อจนกว่าแรงกายจะหมดแบบหมดจริงๆแล้วก็ใช้วิหคอมตะให้มาเหวี่ยงดาบใหม่อีก เพื่อเพิ่มขีดจำกัดร่างกายของตัวเอง ผมเลยช่วยเธอเป็นอย่างดีเลย
แต่ก็ไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่เธอเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว ผมก็ใช้วิหคอมตะช่วยแท้ๆ แต่ดันมีสีหน้าที่หดหู่ขึ้นมาทุกที ..สงสัยเป็นพวกขี้เกียจออกแรงกายกระมัง ให้ตายสิ พวกทวยเทพเนี่ยทำตัวอย่างกับพวกเก็บตัวอยู่ในบ้านซะได้
เป็นอีกครั้งที่ผมใช้วิหคอมตะ อานิม่าหันหน้ามามองผมด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก
“อะไรหรือครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดว่าเมื่อไหร่จะได้พักสักที”
“ไม่ได้เหนื่อยไม่ใช่รึครับ ทางนี้ก็ช่วยอยู่”
“..”
เธอไม่ตอบกลับอะไร ทำเพียงเหวี่ยงดาบต่อ เห็นอย่างนั้นผมเลยลดความสนใจไปทางฝั่งเคียวยะกับเบ็นจิโร่ รอห้านาทีแล้วกลับมารักษาแรงให้อานิม่าทีหลัง
ทั้งสองคนนั้น ..
“มาดวลกัน เท็งงุ เบ็นจิโร่”
จู่ๆเคียวยะก็ห้าว ท้าหล่อนดวลซะอย่างนั้น