< < 165 > >
“เอาสิ”
เบ็นจิโร่โต้กลับพร้อมหยักไหล่ให้
“แล้วจะดวลเกี่ยวกับอะไร”
“หยิบอาวุธคู่ใจออกมาแล้วดวลกับฉันอย่างเอาจริงซะ ความสามารถของแกในเบื้องตันฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจากการประดาบแลกกัน”
“ก็คือให้ใช้ทุกอย่างที่มีสู้?”
“ใช่ แล้วก็อย่าออมมือให้เด็ดขาด ไม่นั้นเธอเจ็บแน่”
มั่นหน้ามั่นโหกนซะจริงๆนะหมอนั่น มีความมั่นใจก็ดีอยู่หรอกแต่อีกฝ่ายคือเบ็นจิโร่เชียวนะ–เหมือนกับอ่านใจได้ เคียวยะหรี่ตามองแรงใส่ผมแวบหนึ่ง
“แกน่ะคือคู่แข่งของไอ้หมอนั่นใช่มั้ยล่ะ?”
“คิดว่าใช่”
“เพื่อที่จะก้าวข้ามหมอนั่น ฉันจะก้าวข้ามแกก่อน นั่นคือสิ่งที่จะทำต่อจากนี้”
“หมายความว่าในมุมมองของนาย ฉันอ่อนแอกว่าเรเซอร์สินะ เป็นการวิเคราะห์ด้วยดวงตาวิเศษได้เบาปัญญามาก เคียวยะ”
ได้เวลาแสดงผลจากการฝึกฝนแล้วสินะ
“เอาเลย เคียวยะ สู้ๆ! สู้ตาย!”
ผมส่งเสียงเชียร์ให้เคียวยะสุดชีวิต อานิม่าเห็นก็วางดาบแล้วส่งเสียงเชียร์ ตามแบบฉบับที่เขาเรียกกันว่าอุปทานหมู่
“ลุยเลย เคียวยะ ลบคำสบประมาทที่โดนบ่อยๆว่าเป็นกระสอบทรายทิ้งซะ!”
“ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจที่พูดเท่าไหร่ แต่อย่าเป็นกระสอบทรายนะคะ คุณเคียวยะ!”
“หนวกหูเฟ้ย! เงียบไปเลยพวกแกสองตัว!”
เรียกว่าตัวเลยเรอะ ปากคอเราะร้ายจริงๆนะหมอนี่ แต่ก็เอาเถอะ พอจะเดาตอนจบได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วละ ถึงจะหมันไส้ไอ้หมอนี่แต่ก็พอหักล้างกันได้อยู่
“ช่วยไม่ได้นะ จะดวลด้วยก็ได้ เวลาจำกัดห้านาที ถ้านายถ่วงเวลาได้ ให้ถือว่านายเป็นผู้ชนะไปเลย เคียวยะ”
“หา? ไอ้ที่ต้องบอกว่าผ่านห้านาทีไปได้ชนะบายเลยมันทางนี้ต่างหากโว้ย”
“มั่นใจในตัวเองน่าดู เช่นนั้นผลลัพธ์จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดสภาพหรือประกาศยอมแพ้ และแน่นอนว่าจะสู้กันในพื้นฐานที่ว่าไม่เอาตายทั้งคู่ สถานที่ ที่ที่ยืนอยู่ตอนนี้ แล้วฉันก็จะไม่บิน”
“ตามนั้น ยกเว้นไม่บิน เชิญบินได้เต็มที่เลย เริ่มต่อสู้ด้วยระยะห่างสักสิบเมตร สามารถใช้พลังทุกอย่างได้เต็มที่”
เบ็นจิโร่พยักหน้ารับ และเริ่มเดินออกห่างจากเคียวยะ
ด้วยเหตุนี้ การดวลแบบเอาจริงกึ่งไม่เอาจริงของทั้งสองจึงได้เริ่มต้นขึ้น
****
ในทุ่งหญ้ายามเช้าที่แสนสวยงาม บัดนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกาเป๊ะๆ ทั้งสองที่หมายถึงคู่ต่อสู้การดวลได้ยืนเผชิญหน้าเข้าหากัน
ในระยะห่างราวสิบเมตร ทางซ้ายของสายตาผมคือ เคียวยะ ทางขวาคือ เบ็นจิโร่ ทางอานิม่าเป็นผู้ชมด้วยอารมณ์ที่ดีผิดปกติ ส่วนตัวผมอยู่ในสภาพยกมือขึ้นฟ้าเพื่อรอให้สัญญาณเริ่มการดวล
“ถ้านั้นก็—เริ่ม!”
ทันทีที่ใช้มือผ่าอากาศลงมา เคียวยะก็วิ่งเข้าใส่ทันที
นักเวทย์ที่วิ่งเข้าใส่? ไอผมพูดก็ยังไงอยู่ แต่เคียวยะไม่ได้มีตัดมิติคอยช่วยปรับจังหวะการต่อสู้เหมือนอย่างผม ด้านพลังกายเองก็ไม่ได้เยอะเท่าผมที่เข้าสู้กับนักดาบขั้นบรรลุได้เป็นอย่างต่ำ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ [ตัดมิติ-ถลายขีดจำกัด] ก็ตาม จะมีก็แค่ดวงตามหาปราชญ์ที่ใช้คาดเดาทุกการเคลื่อนไหวในส่วนที่มองเห็นได้ทั้งหมด
แน่นอนว่าถ้าเป็นพวกระดับสูงปลายๆ เคียวยะสามารถคุกวงในสู้ได้ไม่ยากแน่ๆ แต่ว่า–เบ็นจิโร่ไม่ใช่แค่พวกที่อยู่ระดับสูงธรรมดา แต่เป็นคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับสูงด้วยกัน
เบ็นจิโร่ไม่วิ่งสวน เธอเดินก้าวเข้าไปเพียงสามก้าวก่อนที่จะปะทะกัน–เคลื่อนไหวโดยที่เอาแขนทั้งสองข้างหลบสายตาของเคียวยะ และเหวี่ยงมีดสั้นด้วยความรวดเร็วที่สูง
ดวงตามหาปราชญ์เลืองแสงขึ้นอย่างสวยงาม ไม่ใช่แค่นั้น ข้างๆตัวของเคียวยะ–ภูตนาม ‘โคริน’ ก็ส่องแสงสีขี้เถ้าขึ้น
จังหวะโจมตีราวห้าจังหวะ–เคียวยะหลบมันได้ทั้งหมดโดยที่คาดเดาอนาคตเอาไว้แล้ว แต่เพราะเอาแต่หลบ ทำให้ไม่มีเวลารวบรวมมานาเพื่อใช้เล่นงานเบ็นจิโร่อยู่ดี
แต่แค่ในกรณีที่เคียวยะลงมือคนเดียว เขายังมีภูตที่ทำพันธสัญญาด้วยอยู่—แสงสีขี้เถ้าพุ่งใส่มือของเคียวยะ สว่านสีดำแดงปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันโดยไม่มีขั้นตอนการร่ายหรืออะไรเลย
“[เกรียวมรณะ]!!!”
เคียวยะแสยะยิ้มและซัดหมัดที่โอบโดยสว่านเข้าใส่สีข้างของเบ็นจิโร่ เพียงเอื้อมมือเดียวร่างของเบ็นจิโร่ก็จะโดนบดขยี้ด้วยเวทมนตร์ความรุนแรงสูงนี่ ทว่า–ปีกของเบ็นจิโร่ได้กางออก เธอบินหลบการโจมตีนั้นโดยความรวดเร็วที่ไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้ทัน
ผมเองถ้าไม่ตั้งใจก็คงตามความเร็วนี่ไม่ไหว
เวทมนตร์สว่านสีดำที่มีสายฟ้าสีแดงได้พุ่งขึ้นไปบนก้อนเมฆ เคียวยะตบขาตัวเองทันทีที่พบว่าพลาดเป้า
“บัดซบเอ้ย!”
เคียวยะสบถออกมาอย่างไม่พอใจ เบ็นจิโร่แหงนหน้ามอง–ก้อนเมฆที่แยกออกจากกัน
“ถ้าโดนเข้าไปคงตายสินะ”
จากการใช้ [สว่านมรณะ] ของเคียวยะ ความเสียหายที่เบ็นจิโร่จะต้องได้รับไปปรากฏอยู่บนหน้าของก้อนเมฆบนฟ้าแทน และทันทีที่ได้เห็นผลลัพธ์ที่ว่าเบ็นจิโร่ก็ยอมรับในตัวเคียวยะทันทีว่าแข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เบ็นจิโร่เก็บมีดสั้นเข้ากระเป๋าเวทมนตร์
“อภัยให้ฉันด้วย เคียวยะ เหมือนว่าฉันจะประเมินนายไว้ได้เสียมารยาทพอสมควร”
“…”
“แต่จากนี้จะเล่นด้วยอย่างจริงจังแล้ว ไม่นั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรตินายเอาได้”
คำว่าเล่นกับจริงจัง ไม่ว่าจะฟังยังไงก็ไม่น่าเข้ากันได้เลย แต่ว่าที่พูดมาความหมายก็ตามนั้น
กล่าวจบอากาศรอบๆก็สั่นไหว ข้างตัวของเบ็นจิโร่ได้ปรากฏแสงสีฟ้าใสขึ้นมันค่อยๆแปรรูป อากาศข้างตัวกลายเป็นหญิงงามผู้มีเลือนผมสีเงินยาวลอยไปตามท้องฟ้า เป็นผู้หญิงที่งดงามกว่าใครๆระดับถล่มโลกเลยทีเดียว
เคียวยะเงี่ยหูฟังภูตข้างตัวที่พึมพำกับตัวเอง
“หืม? นั่นน่ะเหรอ ภูตสวรรค์ ‘วิลรันเทีย’ ที่ว่าทำพันธสัญญากับภูตสวรรค์เป็นเรื่องจริงสินะ”
“แน่นอนสิ”
วิลรันเทียหรี่ตาลงเล็กน้อย ร่างของเธอเลือนแสงสีฟ้าขึ้นมาหนึ่งจังหวะก่อนที่จะกลายร่างเป็นธนูยักษ์สีขาวลายฟ้าความยาวกว่า 1 เมตร แทบจะเท่าตัวของเบ็นจิโร่แล้ว เบ็นจิโร่คว้าธนูยักษ์เอาไว้ด้วยมือข้างเดียว
“แต่เดิม ไอ้วีรสตรี เท็งงุ เบ็นจิโร่ ก็เป็นนักธนูสินะ หึ ยังไงก็ได้ เอ่า รีบหยิบลูกธนูขึ้นมาง้างซะสิ ทางนี้จะช่วยรอให้เพื่อความเท่าเทียม”
ว่ายังไงดี หมอนี่มั่นหน้าไม่พอ ยังแอบดูถูกนักธนูอีก ก็จริงที่ในยุคนี้นักธนูเป็นวิชาต่อสู้ที่แลดูจะไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะกับการต่อสู้ 1-1 แต่ว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอ เบ็นจิโร่เองก็เป็นนักธนูที่หลุดสามัญสำนึกของนักธนูด้วยกันไปไกล เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ควรเหมารวม
แต่นั่นก็ถือว่าเป็นข้อเสียข้อดีของเคียวยะแหละนะ ไออาการเหลิงมั่นหน้าเกินเหตุเนี่ย
“คิดว่าไม่จำเป็น แต่ก็ขอขอบคุณละกัน”
เบ็นจิโร่ยิงธนูเปล่าๆ ทว่าธนูนั่นกลับพุ่งผ่านไหล่ของเคียวยะไปภายในเชี่ยววิเดียว
“..หา?”
นั่นไง..กว่าจะรู้สึกตัวว่าที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่ธนูธรรมดาก็โดนเขาเปิดซะก่อนแล้ว
กล่าวจบเบ็นจิโร่ก็บินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อมองตามขึ้นไปก็พบกับแสงอาทิตย์ที่ทำให้ดวงตามหาปราชญ์ยากที่จะมองเห็นได้ชัด–
“–อึก อยู่ไหนกั–”
เบ็นจิโร่โผล่อีกทีที่ข้างหลัง หล่อนเอาธนูจ่อที่ข้างหลังและทำการยิง—-ตึ้ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แรงกระแทกมหาศาลทำให้เคียวยะปลิวไปตามพื้นอย่างหมดรูป แรงดีดนี่ทำให้ร่างกายแทบจะหักทุกๆส่วน
ระหว่างที่กำลังกลิ้งอยู่เคียวยะได้แหกปากขึ้นมา โดยมีภูตโครินเข้าคลุมบริเวณหัวไหล่และกลางหลัง
“[ฮีล]!!!!!”
โครินทำหน้าที่ช่วยร่ายเวทมนตร์ให้แทน ..
“เป็นวิธีใช้ภูตที่แปลกใหม่ดีนี่”
เบ็นจิโร่กล่าวขึ้นอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่เธอยังคงยิงธนูไร้รูปจากระยะไกล เคียวยะที่รักษาร่างกายตัวเองเรียบร้อยก็คลุมมือตัวเองด้วยเวทมนตร์เพลิงประเภทไอร้อนในการปัดป้องการโจมตีที่มองไม่เห็น โดยการใช้ดวงตามหาปราชญ์ในการมองทะลุและคำนวณการจู่โจมทั้งหมด
ถ้าเป็นการสู้ซึ่งๆหน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีทางที่จะเล่นงานเคียวยะได้แน่นอน
“โคริน!!!”
โครินเลืองแสงขึ้นอีกครั้ง การร่ายเวทมนตร์พร้อมกันเกิดขึ้นสองแห่งพร้อมๆกัน อย่างที่เบ็นจิโร่ว่าไว้ วิธีใช้ภูตของเคียวยะมันแปลก แปลกกว่าทุกคนชนิดที่ว่าบนโลกนี้ไม่น่ามีใครเขาทำกัน
ภูตจะโดนแบ่งไปตามธาตุ หรือไม่ก็มีเอกลักษณ์พิเศษของตัวเองกัน แต่โครินคือภูตที่ค่อนข้างจะห่วยแตกในหมู่ภูตด้วยกัน ความสามารถที่เธอมีก็แค่การยืมพลังของเจ้านายมาร่ายเวทย์ที่เจ้านายใช้ได้ก็แค่นั้น หากเทียบกับภูตคนอื่น อย่างเซเนียที่มอบดาบมหาภูต หรือวินรันเทียที่มอบธนูวิเศษ หรืออย่างแย่ ภูตป่าอย่างโคริน ถ้าเป็นภูตป่าด้วยกัน ตนอื่นก็จะเพิ่มความสามารถด้านใดด้านหนึ่งของเจ้าของอย่างมหาศาล ซึ่งต่างกับโครินที่ไม่ได้ช่วยเพิ่มคุณภาพ จะเพิ่มก็แค่ขอบเขตุการใช้งานที่เห็นอยู่ว่าผู้ใช้สามารถฝึกได้โดยตัวเอง แล้วก็เพิ่มความยากในการบริหารมานาเข้าไปอีก
แม้แต่ตอนนี้ ผมก็ยังแอบคิดว่าให้เคียวยะเลือกใช้ภูตตนอื่นน่าจะดีกว่ามาก ..แน่นอน เคียวยะตัดสินใจเลือกโคริน เพราะไม่คิดอย่างนั้นน่ะนะ
โครินกลายเป็นเวทย์แสงและพุ่งใส่เบ็นจิโร่ ทำให้เธอต้องหลบ และสร้างจังหวะเปิดทางให้เคียวยะวิ่งเข้าใส่
“ตายซะ!!!!!!!!!!!!”
[ไฟเยอร์] สีส้ม ซึ่งเป็นเวทมนตร์เพลิงระดับเชี่ยวชาญพุ่งออกไป
เพลิงสีส้ม? เจ้าเคียวยะเผลอแปปเดียวทำได้ขนาดนี้แล้วสินะ อนึ่ง เวทมนตร์บนโลกใบนี้มีแบ่งระดับ ต่ำ กลาง สูง บรรลุ ก็จริง แต่ลึกๆในแต่ละธาตุจะมีแบ่งสรรพคุณไปอีก อาทิเช่น เปลวเพลิงสีแดง(เริ่มต้น) เปลวเพลิงสีส้ม(บรรลุ) เปลวเพลิงสีน้ำเงิน(แก่นแท้) คือลำดับขั้นความรุนแรงและความชำนาญในการใช้งาน ซึ่งสีส้มที่เคียวยะใช้ก็คือธาตุเพลิงที่พวกนักเวทย์ขั้นบรรลุใช้ออกมาได้กัน และบางส่วนก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี แม้จะเป็นนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษรึบรรลุ
มันยากถึงขนาดที่ว่าการจะเปลี่ยนสีธาตุได้นั้นจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ในธาตๆนั้นเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ต้องเข้าถึงแก่นแท้แห่งธาตุนั้นให้ได้ไม่มากก็น้อย อย่างที่ผมเข้าถึงแก่นแท้ของเพลิง แล้วใช้งานเพลิงสีน้ำเงินได้นั่นแหละ
เอาเป็นว่าน่าประทับใจทีเดียว ในฐานะคนที่เริ่มฝึกเป็นจริงเป็นจังไม่ถึงปีอย่างเคียวยะน่ะนะ
เบ็นจิโร่ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือธนูดีดนิ้ว—มณีวารีที่ติดไว้อยู่บนเอวเลืองแสงขึ้น
“[บับเบิ้ล(ฟองน้ำ)]”
ฟองน้ำสี–น้ำเงินดำดูดเอาเพลิงสีส้มทั้งหมดไป
เหมือนกันกับธาตุเพลิง ธาตุน้ำเองก็มีระดับการเข้าถึงธาตุอยู่ สีฟ้าใส(เริ่มต้น) สีส้มใส(บรรลุ) แล้วก็สีน้ำเงินดำ(แก่นแท้) กับผู้ถือครองมณีธาตุเช่นเดียวกัน การจะเข้าถึงแก่นแท้ก็คือมาตรฐานแหละนะ
ธาตุที่ชนะทาง ระดับขั้นธาตุที่เหนือกว่า เพลิงของเคียวยะจึงถูกกลืนอย่างหมดรูป เบ็นจิโร่เอื้อมมือไปขยี้ฟองน้ำที่ดูดเอาเพลิงสีส้มด้วยมือเปล่า—สีน้ำเงินดำและสีส้มเพลิงบิดกันเป็นเกลียวและกลายเป็นลูกธนูสีน้ำเงินดำและสีส้มเพลิง
เคียวยะเบิกตาโพลงกว้าง เจ้าตัวรีบกระโดดหนี แต่ก็–เบ็นจิโร่กางขาออก พร้อมกับปีกที่กางออกมา หล่อนเร่งความเร็วตัวเองไปอยู่ข้างหลังของเคียวยะ
“ยังหรอกน่า!”
เคียวยะเดาการเคลื่อนไหวได้จากการอ่านใจ เจ้าตัวหันหน้ากลับมาจะปัดป้องการโจมตีตรงหน้า ทว่า–ที่เห็นมีแค่ร่างเปล่าๆของเบ็นจิโร่ เพราะอย่างนั้นจึงได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมพลาง
ทำไมถึงอ่านใจไม่ได้กัน? เหตุผลนั้นง่ายๆ เคียวยะไม่อาจอ่านใจตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์ได้
เมื่อหันกลับมามอง ณ ที่ๆเดิมก็พบเบ็นจิโร่อีกคนได้ยิงลูกศรสุดอันตรายอัดเข้าที่ร่างจนปลิว …..
…….
…….
เบ็นจิโร่รู้ว่าเคียวยะอ่านใจได้ แต่ไม่คิดจะหาทางตัดการอ่านใจ แต่ใช้จุดนั้นซ้อนแผน ทีแรกก็ทดลองโดยการคิดอะไรหลายอย่างในหัวพร้อมๆกัน แต่เหมือนว่าเคียวยะจะไม่ได้รับข้อมูลได้เว่อร์ขนาดนั้น แผนนี้เลยไปต่อได้ พอรู้อย่างนั้นก็ดำเนินจบเกมดังที่เห็นทันที หลอกให้ตายใจด้วยร่างจริง และใช้ร่างปลอมที่สร้างจากน้ำซึ่งไม่อาจอ่านใจสั่งการให้ยิงธนูแทนตัวเอง อาศัยจังหวะเป็นตาย สร้างจังหวะให้เคียวยะรับมือทุกอย่างไม่ทัน และเล่นงานเคียวยะที่สามารถรู้ทุกอย่างได้ในทีเดียว
กล่าวได้ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้จนเกือบจะถึงตอนจบ เบ็นจิโร่สู้เพื่ออ่านความสามารถทั้งหมดของเคียวยะ พอเห็นว่าจบได้โดยการไม่ให้หลุดกรอบคำว่า ‘เล่น’ เจ้าตัวก็ลงมือทันที
การต่อสู้จึงจบลงเช่นนี้ โดยคนที่คุมเกมให้เดินตามใจตัวเองตลอดอย่าง เบ็นจิโร่
ผมตบมือให้ อานิม่าเห็นก็ตบมือให้ตามๆผม
“เพราะแบบนี้เลยเรียกว่ากระสอบทรายนี่เองสินะคะ”
“โดยรวมก็ประมาณนั้นแหละครับ”
เบ็นจิโร่เก็บธนูเข้าอากาศ เธอกอดอกมองเคียวยะที่นอนสลบอยู่กับพื้น
“ยอมรับเลยว่ามีความสามารถที่น่าสนใจ แต่ใจร้อนเกินไป สไตล์การต่อสู้ไม่เข้ากับร่างกายอีก ความใจร้อนที่มีเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณเหมาะกับการสู้ระยะประชิด แต่ร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ควร น่าจะเป็นนักเวทย์ระยะไกลมากกว่า ความสามารถยอดเยี่ยม แต่ขัดแย้งกันเอง จนไม่มีอะไรเด่นเลย”
“นั่นสินะ”
“คงเพราะไม่ชอบวิธีการต่อสู้ที่ว่า มีหลายคนเหมือนกันที่เลือกจะทำตามใจตัวเองมากกว่าพรสวรรค์ที่ได้รับมา”
ผมพยักหน้ารับตามนั้น
“ยังแข็งแกร่งมากกว่านี้ได้อีกเยอะ ก็จริงที่เป็นอย่างนั้น แต่ว่า ..ถ้ายังปล่อยให้เคียวยะเติบโตอย่างขัดแย้งกันเองไปมาอย่างนี้ สุดท้ายก็จะไปได้ไม่ถึงไหนเอา ความสามารถที่เติบโตขึ้นโดยไม่มีความลงตัวใดๆ มันดูไร้ประโยชน์ มากกว่ามีประโยชน์มาก ที่จะพูดอาจดูแล้งน้ำใจไปบ้าง แต่ขอพูดตรงๆเลยละกัน เพื่อไม่ให้เพื่อนของนายซวยเอาเองในอนาคต”
เบ็นจิโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ในศึกที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป หมอนี่จะเป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้นแหละ ..ให้รีบๆถอนตัวก่อนซะยังจะดีกว่า”
ว่าแล้วเชียวต้องพูดอย่างนี้-ผมหรี่ตามองเคียวยะที่นอนสลบอยู่
“จะเอายังไงต่อดีนะ เคียวยะ”
ป.ล.อธิบายเพิ่มเติม ความสามารถเคียวยะตอนนี้ ประมาณว่าสกิลกับร่างกายเหมาะกับเป็นจอมเวทย์ระยะไกล แต่ทักษะตอนสู้ดูไปทางจอมเวทย์ระยะประชิดได้ดีกว่า