เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 263

< < 169 Sec1 > >

เป็นอีกครั้งที่ผมฝัน หลังจากที่ไม่ได้ฝันอะไรแปลกๆมานานแล้ว

เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบจะอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่ที่มาเยือนอาณาจักรเนลยอน ผมได้พบอะไรหลายๆอย่างในอาณาจักรแห่งนี้ ระหว่างที่ได้ท่องเที่ยวกับวินในฐานะแฟนหนุ่ม และวันๆหนึ่ง เมื่อเข้านอน ผมก็พบกับความฝัน

ผมเห็นตัวเองที่เคยเป็นเพื่อนของยูจิมาก่อน ภาพที่เห็นมันใกล้เคียงกับตัวผมในปัจจุบัน มีคนรัก มีเพื่อนฝูง นิสัยไม่ได้เสีย มีพี่สาวที่ดี มีชีวิตที่แสนสุข ใช่ เรเซอร์ ดราแคล์ ยังไงก็คือผมนั่นแหละ อย่างไรมันก็ต้องเหมือนกันอยู่แล้วสิ ..แต่มันก็แอบคิดน่ะนะว่าตัวผมในฝันอาจเป็นเพียงตัวเองในเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิม หรือจะบอกว่าเป็นเรื่องราวก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นก่อนดีละ? บางจุดนั้นแตกต่าง

เอาเป็นว่า-วันหนึ่ง ผมในฝันได้ถูกผู้ชายไม่น่าไว้วางใจคนหนึ่งหลอกใช้ และเข้าต่อสู้กับยูจิ จนตัวเองตาย ในเรื่องราวถัดไปที่ต่างจากเดิม ผมกับยูจิได้ขาดกันสมบูรณ์ ราวกับพระเอกและตัวร้าย ผมอยู่ในฐานะตัวร้ายที่คอยขัดขวางยูจิอย่างน่ารังเกียจ

แน่นอน บทสรุปก็คือความตาย ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บทสรุปมันก็คือความตาย โดยที่ทั้งตัวผมและยูจิไม่อาจรู้เลยว่าพวกเราต่างถูกช่วงชิงช่วงเวลาที่ถูกต้องไป

ทันทีที่ลืมตาตื่น ผมอาเจียนออกมา อยากจะร้องไห้ แต่ตามันก็แห้งไปหมด คิดว่าตัวเองไม่ควรจะเสียน้ำตาในตอนนี้จึงไม่ร้องออกมา

คนที่ไม่เคยรู้จักในฝันวนอยู่ในหัวสมองของผม บ้างก็ชวนให้สะกิดใจได้ว่าบางคนในฝันคือคนที่ตายไปในคราวงานเทศกาลโลหิตมังกร หรือไม่ก็ บนเกาะวาเรอร์ ในหลากหลายเรื่องราว ผมได้ไปเอี่ยวกับบุคคลเหล่านั้น และสูญเสียบุคคลเหล่านั้นไปแล้วในปัจจุบันนี้

เรื่องของคนรักเองก็ด้วย ..มองไม่ชัด แต่ว่า—นับตั้งแต่ตัวผมถูกหลอกใช้ โชคชะตาของผมกับเธอก็ถูกสะบั้นอย่างโหดร้าย

“…”

ในหัวเต็มไปด้วยหลากหลายเรื่องราว ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองพยุงร่างมาไว้หน้ากระจกห้องน้ำได้อย่างไร–ผมจ้องไปที่กระจก เช็ดปากที่เปื้อนคาบน้ำลายของตัวเอง

ใบหน้าของผมในกระจกเต็มไปด้วยโทสะที่มีต่อใครสักคน ..แต่พอได้เห็นใบหน้าที่ดูไม่ได้ของตัวเอง สีหน้านั้นก็จางหายไป พร้อมกับสติที่กลับมาโดยสมบูรณ์

‘มาสเตอร์’

เสียงของยูนาที่น่าอุ่นใจดังขึ้นข้างหู

‘เป็นอย่างไรบ้างคะ อาการดูไม่ดีเลย’

น้ำเสียงของเธอดูอ่อนโยนกว่าทุกที 

“ฝันร้ายน่ะ ..เป็นฝันที่โคตรบัดซบเลย”

ชายในฝันคนนั้นเป็นใครกันนะ ..ผมสลัดความคิดฟุ้งออก เพราะยังมีเรื่องต้องทำอีกมากในแต่ละวัน

“กำหนดการณ์วันนี้ล่ะ?”

“นอกใจภรรยาอย่างน้อยวันละสามถึงสี่ชั่วโมง ว่างๆก็ช่วยเป็นคู่ซ้อมให้อานิม่า หรือไปดูเคียวยะพัฒนาเกราะมนตรา ตกดึกก็รวมตัวคุยเรื่องแผนการณ์กับโทมิเรียค่ะ แล้วก็วันนี้พิเศษหน่อยตรงไปรอรับเบ็นจิโร่ที่ท่าเรือค่ะ เพราะมีธุระสำคัญต้องรวมตัวกันพูดคุย”

“ช่วยเปลี่ยนชื่อกำหนดการณ์นอกใจที”

“ขอปฏิเสธค่ะ”

ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสา

ผมทำเมินที่ยูนาและพูด รีบอาบน้ำแต่งตัว และออกไปทำธุระของตัวเอง

 

****

เวลาราวๆตีห้า ผมเริ่มออกกำลังกาย โดยที่มีอานิม่ามาออกด้วย จริงๆเคียวยะก็ต้องมาด้วย แต่เจ้าตัวติดธุระการพัฒนาเกราะมนตราน่ะนะ หลังจากที่ฝึกกับเบ็นจิโร่ล่าสุดหลายวันก่อน เจ้าตัวก็หายไปเลย

ส่วนเบ็นจิโร่ก็ติดงานน่ะ ดูท่าชีวิตจะวุ่นวายสมตำแหน่งดี

อานิม่ายืนถือดาบอย่างจริงจัง ข้างๆมีผมที่ถือดาบเช่นเดียวกัน

“วันนี้ก็ช่วยเพลาๆหน่อยนะ”

เธอพูดอย่างนั้นกับผม ช่างเป็นคนที่ถ่อมตัว แม้จะเป็นเทพแต่ก็ขยันสุดๆ ไม่ว่าผมจะใช้วิหคอมตะฟื้นฟูพลังกายกลับคืนมาให้มากเท่าไหร่ เจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาฝึกฝนตัวเองต่อโดยไม่ปริปาก ถึงจะเป็นเทพที่ติดป่ามายาวนานจนแทบจะไร้วิวัฒนากาณณ์ แต่ก็ขอชื่นชมในจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจนี้

ว่าแล้ว หลังจากการฝึกดำเนินไปได้จนเกินขีดจำกัดอานิม่า ผมก็จุดไฟในจิตใจให้อานิม่าเรื่อยๆเป็นกิจวัตร

“…”

เหมือนกับทุกวัน ไม่ปริปากบ่นอะไรเลย ช่างน่านับถือ

 

****

ถัดจากฝึกฝนร่างกายให้อานิม่า ผมก็ตรงมาหาเคียวยะทันที ที่ที่เคียวยะอยู่คือที่ลับแห่งหนึ่งในสลัม ผมละงงจริงๆว่าเคียวยะมันเดินมั่วอีท่าไหนถึงไปจะเอ๋เข้าได้

“หวัดดีคร้าบ”

ผมเดินเข้ามาในสถานที่ลับ ซึ่งเป็นห้องขนาดกลางๆเหมาะสำหรับอยู่คนเดียว แต่ภายในห้องกลับลกสุดๆ ตามพื้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทดลองมากมายจนแทบจะเดินไม่ได้ ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่เท่าไหร่แน่ๆ

“หวัดดีจ้า”

คุณยายท่าทางใจดีทักทายผม เธอคืออดีตเจ็ดคาปสมุทรที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว ทั้งยังเป็นภรรยาของเจ้าของเกราะมนตราที่เคียวยะหมกมุ่นอยู่ตอนนี้ด้วย

“…”

แน่นอนว่าอัตราส่วนที่เคียวยะจะทักทายผมยามเช้าคือ 20/80 ในสิบวันจะมีสักสองวัน

“แล้วเป็นไงบ้าง”

“วิเศษมาก”

เคียวยะแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างน่าสยอง หน้าตาดูลอยๆอย่างกับ ..ไม่พูดดีกว่า เหมือนจะเข้าโลกส่วนตัวของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยด้วยสิ นั่งอยู่เฉยๆดีกว่าเรา

ระหว่างที่ดูเคียวยะและโครินภูตของเขาพูดคุยเรื่องเข้าใจยาก ผมก็สนทนาเรื่องทั่วๆไปกับคุณยายอดีตเจ็ดคาปสมุทรด้วย

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องแลปแค่พักเดียว แค่อยากมาเช็คสภาพเคียวยะเฉยๆว่ายังอยู่ดีหรือไม่ เมื่อหมดธุระแล้วผมก็ออกไปทำอย่างอื่นแทน

 

****

นอกจากวนไปมาหาสู่กับคนรู้จักแล้ว ผมก็แวะไปหาคนกลุ่มใหม่ที่พึ่งเจอกันไม่นานมานี้

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเขตุที่ประชาชนทั่วไปอยู่อาศัย หรือที่ที่เพื่อนและเด็กที่วินให้การดูแลเขาอยู่กัน ทันทีที่เด็กๆเห็นผมก็พากันวิ่งเข้าใส่ บ้างก็กระโดดกอด บ้างก็ศอกใส่ บ้างก็สะกัดขา ทำเอาแอบคิดเลยว่าเด็กๆแค้นผมมาจากไหนกันนะ

โชคยังดีที่มีคนอ่อนโยนต่อผมอย่าง ‘เอมิ’ อยู่ด้วย

“เดี่ยวสิ อย่าแกล้งคุณเรเซอร์เขาอย่างนั้นสิเด็กๆ”

“พวกมีแฟนน่าหมันไส้”

“ชายโสดจะไม่ทน”

“หนูชอบเขาค่ะ เขาหล่อดี”

พวกเด็กแก่แดดพล่ามอะไรออกมาก็ไม่รู้ ผมรีบผละตัวออกจากเด็กอย่างนิ่วนวล และเดินไปหาเอมิ

“เมื่อวานวินได้มาหาหรือเปล่าครับ?”

“ไม่เลยนะคะ มีอะไรหรือคะ? เห็นเมื่อวานก็มาถาม”

“อ่า จู่ๆวินก็ไม่ว่างน่ะ แค่เป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรไปรึเปล่า”

เอมิได้ยินก็หัวเราะแบบน่ารัก

“เป็นห่วงแฟนดีจังเลยนะคะ”

โดนชมแฮะ

“แหม่ ไม่หรอกครับ”

‘..น่าหมันไส้ชะมัด มาดีใจอะไรกันคะ?’

ช่วยไม่ได้นี่นา ชีวิตในอาณาจักรฟัฟนิร์ นานๆทีจะได้รับคำชมนา คนที่นั่นเขามองผมเป็นวิตถารปล้น กกน. ชาวบ้านเชียวนะ ข่าวลือเสียๆหายๆก็เต็มไปหมดอีก โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวที่ผมไม่ตั้งใจจะก่อ …อยู่ที่นี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มรูปหล่อจากต่างแดนที่ทำอะไรใครๆก็ชม จะดีใจนิด ดีใจหน่อยก็ช่วยไม่ได้นี่นา

‘ความพึงพอใจของขี้แพ้สินะคะ’

คิดว่าตัวเองห่างไกลกับคำๆนั้นนะ แต่ก็ช่างมันประไร

ผมหรี่ตามองสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ..ถึงเด็กที่นี่ จะมีแต่พวกปากเจ๋งซะเยอะ แต่เด็กดีก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน

“ที่นี่ได้รับเงินสนับสนุนจากวินใช่รึเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ?”

..ถ้าเกิดวินหายไป ที่นี่จะเป็นยังไงต่อนะ?

“ไม่มีอะไรครับ เช่นนั้น”

ลองไปหาที่อื่นดูดีกว่า

“ค่ะ ไปดีมาดีนะคะ”

ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าวินจะหายไป คงเพราะสนิทกัน และรู้แล้วด้วยถึงชะตาชีวิตเธอต่อจากนี้จนจบ ทำให้ผมเกิดกลัวขึ้นมา

ผมเดิมตามท้องถนนของอาณาจักรเนลยอน เมื่อครู่ไปถามเพื่อนที่โรงเรียนของวินดูแล้วก็เห็นว่าวินไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วด้วยสิ

น่าแปลกจริงๆแฮะ ..หรือว่าจะ

“..ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ”

สงครามภายในอาณาจักรเนลยอนกำลังจะเริ่มขึ้น

…หืม?

สัมผัสเบาหวิวแต่เย็นหยดลงหัวผม เมื่อเอามือมารับก็พบกับก้อนสีขาวเล็กๆบนฝ่ามือ

“หิมะ?”

 

****

โชคดีที่หิมะแค่ปรอยๆลงมา ทำให้หลายๆอย่างในอาณาจักรไม่เกิดการติดขัดขึ้น

ผมในเสื้อโค้ทสีน้ำตาล และผ้าพันคอหนังเดินออกจากคฤหาสน์ของเบ็นจิโร่ และตรงไปที่จุดนับพบบริเวณท่าเรือ โดยที่มีอานิม่าตามมาด้วย เธอเองก็สวมเสื้อโค้ทและผ้าพันคอเหมือนผม แต่เหมือนจะเพิ่มที่ติดหูกันหนาวมาด้วย ท่าทางดูน่ารักใสๆราวกับเด็กมัธยมปลายทั่วๆไปในโลกเก่า

“อานิม่า”

“คะ?”

ผมนึกสนุก ลองถอนหายใจก่อนพูดดู ทำให้เห็นลมหายใจของตัวเองชัดเลย เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี

“ถ้าไม่อยากสู้ก็ไม่ต้องสู้ก็ได้นะ ยังไงซะ เธอก็เป็นเทพที่มีหน้าที่เฝ้ามองมากกว่าอยู่แล้วด้วย ทางนี้จะช่วยคุยให้หลายๆเรื่องเอง”

“จริงๆตอนแรกก็ไม่คิดจะไปทะเลาะวิวาทกับใครหรอกนะคะ”

“แปลว่านึกเปลี่ยนใจสินะ”

“ใช่ค่ะ เพราะหลายๆอย่าง เลยคิดได้ว่าฉันเองก็ไม่ควรยืนมองอยู่เฉยๆ”

….

“เทพกับมนุษย์ จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้ต่างอะไรกันเลยค่ะ ..ในอดีต ฉันไม่เข้าใจ ออโรโบรอส ที่เป็นเดือดเป็นร้อนกับการคืนชีพพระเจ้าสูงสุด ไม่เข้าใจความรักที่เขามีให้กับพระเจ้าสูงสุด แต่พอยุคสมัยได้เปลี่ยนไป ฉันก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น” อานิม่าเป่าลมใส่มือ และยิ้มราวกับเด็กน้อย “ตลอดมา ฉันได้อาบความชั่วร้ายของโลกใบนี้เอาไว้ จึงได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก และก็เริ่มที่จะมอบความรักให้กับผู้อื่น และแม้จะสูญเสียคนๆนั้นที่เปรียบเสมือนพี่ชายไป แต่ฉันก็ได้รับรู้มากยิ่งขึ้น ถึงความอ่อนโยนของสิ่งมีชีวิต ถึงแก่นแท้ของชีวิต”

ไม่ใช่เทพหรือว่ามนุษย์อย่างเดียว ..

“เพราะอย่างนั้น ชะตาของโลกจะเป็นยังไงต่อ ฉันไม่อยากจะเฝ้าดู ฉันอยากจะร่วมเปลี่ยนแปลงด้วย เพราะฉันเองก็อาศัยอยู่บนโลก ปารถนาที่จะทำหลายๆอย่างอีกมากมาย บนโลกที่กว้างใหญ่นี้ ..ฉันอยากมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขค่ะ ต่อให้ต้องสู้ก็จะทำ”

อานิม่ากล่าวอย่างหนักแน่นด้วยรอยยิ้ม–ผมเงยหน้ามองฟ้า และลำลึกถึงใครบางคน

“ถ้าเวฟได้ยินคงดีใจจนร้องไห้แหงๆ”

กับเวฟ ผมเองก็ไม่ได้รู้จักกันมากมาย แต่ก็พูดได้เต็มปากอยู่แหละนะ เรื่องที่ว่าสิ่งที่เวฟยอมเสียสละมันไม่ได้สูญเปล่า น้องสาวที่เวฟต้องการปกป้อง เธอกำลังมีชีวิตอยู่ กำลังใช้ชีวิตอยู่ แม้แต่คนนอกอย่างผมก็ยังเข้าใจได้

“ไม่อยากเห็นพี่ชายตัวเองร้องไห้เลยนะคะ”

พออานิม่าพูดแบบนี้ ผมก็ลองนึกภาพแองเจลิน่าร้องไห้ดู ..

“ใจตรงกันแฮะ”

“ใช่มั้ยล่ะคะ?”

 

****

“หิมะ ..รู้สึกไม่ได้เห็นมานานแล้วนะครับ”

“ข้าเห็นมาไม่ต่ำกว่าพันรอบ”

“สุดยอดเลยนะครับ”

บนเรือขนาดเล็กที่แล่นมาอาณาจักรเนลยอน มหามังกรเพลิงตัวจริง ‘ฟัฟนิร์’ และมหามังกรเพลิงตัวจริงอีกคน ‘ชินดร้า’ ทั้งสองนั่งอยู่บนเรือ และพูดคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย สภาพคล้ายกับแม่ลูกคู่หนึ่งที่ต้องมานั่งฟังลูกตัวเองโม้เกทับตัวเอง

“แต่สำหรับต้าวชินแล้ว ทิวทัศน์เช่นนี้คงน่าตื่นเต้นสินะ เกรงว่าถ้าเอาแต่ตื่นเต้นคนเดียวต้าวชินจะตาย เดี่ยวข้าจะร่วมตื่นเต้นด้วยละกันนะ”

“ช่วยได้มากเลยขอรับ” 

ในขณะเดียวกัน คนที่คอยขับเรือคือ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’ วีรสตรีแห่งกองทัพเรือ

“ขอย้ำอีกครั้งนะ มหามังกรเพลิง”

เสียงดุของเบ็นจิโร่ดังขึ้น ฟัฟนิร์ตัวสั่นขึ้นมาทันใด ชินก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ

“อย่าได้ก่อเรื่อง หรือลงมือทำอะไรที่เกินกว่าคำสั่ง”

“ระ รู้แล้วน่า! ไม่เห็นต้องมองแรงใส่กันเลยนี่!”

“เข้าใจก็ดี ฝากดูแลมหามังกรเพลิงด้วยนะ ชิน”

“วางใจได้เลยขอรับ”

“..ไม่ใช่ว่าข้าโดนมองเป็นตัวปัญหาหรอกนะ? ไม่ใช่แบบนั้นใช่รึเปล่า?”

เบ็นจิโร่ถอนหายใจ และหันหน้าหนี ชินกระพริบตาปริบๆและยิ้มให้แบบไม่ตอบอะไร ทางด้านฟัฟนิร์หน้าซีดเผือกขึ้นมา ..ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่โดนมองว่าเป็นตัวปัญหาเนี่ย

บางที อาจจะตั้งแต่เกิดกระมัง?

“เจ้าไม่ได้เป็นตัวปัญหรอกนะ น้องข้า”

ตัวปัญหา 2 เข้าร่วมบทสนทนา

“นายก็ด้วย มหามังกรวายุ”

“ฮ่าๆๆๆๆ บอกตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึว่าทั้งข้าและน้องข้าล้วนจริงใจจะให้การช่วยเหลือ ขอเพียงแค่หยุดเนลยอนได้พวกข้าก็พร้อมจะช่วย ให้ว่าก็คือพวกเดียวกัน ไม่เห็นต้องหวาดกลัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนี่ แม่เทพธิดาแห่งมหาสมุทร”

“หยุด เรียก ฉัน อย่าง นั้น”

น้ำเสียงอันเย็นยะเยือก ส่งผลให้ฟัฟนิร์ และ—คู่หูร่วมเดินทางของแซร์อิซเกิดอาการตัวสั่นราวลูกกวางพึ่งตื่น

‘อลิซ’ เพื่อนร่วมทางที่จับผลัดจับพลูร่วมออกเดินทางกับแซร์อิซมานาน ด้วยความซวยในชีวิตที่จู่ๆครอบครัวก็โดนป้ายสีจนตกต่ำ ชีวิตก็บัดซบโดนเพื่อนๆบูลี่ วันดีคืนดี มีมหามังกรที่ไหนไม่รู้มาช่วยไว้ก็นึกว่าชีวิตจะดีขึ้น แต่ไหงดันต้องติดตามไอ้บ้าตัวนี้ไปด้วยนะ ..แถมเร็วๆนี้ยังจะได้เข้มร่วมสงครามอีก

โชคชะตาสินะ นี่คือโชคชะตาของเธอสินะ ซวยเหลือหลาย อลิซ

หล่อนขดตัวอยู่บนเรือ ปล่อยให้น้ำลายไหลจากปาก ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

“ตอนอายุ 18 ฉันจะจบการศึกษาในโรงเรียน แล้วก็ไปต่อที่สถาบันอิกดราซิล พบรักกับหนุ่มหล่อนักวิจัยที่นั่น แต่งงานกัน มีลูกน้อยด้วยกันห้าคน ..จากนั้นก็เกษียนออกจากงานอย่างมีความสุขกับสามีรักแรกแสนดี ..ตอนอายุ 18 ฉันจะจบการศึกษาในโรงเรียน แล้วก็ไปต่อที่สถาบันอิกดราซิล พบรักกับหนุ่มหล่อนักวิจัยที่นั่น แต่งงานกัน มีลูกน้อยด้วยกันห้าคน ..จากนั้นก็เกษียนออกจากงานอย่างมีความสุขกับสามีรักแรกแสนดี …ตอนอายุ 18 ฉันจะจบการศึกษาในโรงเรียน แล้วก็ไปต่อที่สถาบันอิกดราซิล พบรักกับหนุ่มหล่อนักวิจัยที่นั่น แต่งงานกัน มีลูกน้อยด้วยกันห้าคน ..จากนั้นก็เกษียนออกจากงานอย่างมีความสุขกับสามีรักแรกแสนดี …”

จู่ๆอลิซก็หยุดพูด หล่อนลุกขึ้นยืนและเช็ดน้ำลายตัวเอง ดูท่าจะได้สติกลับคืนมาแล้ว แต่พอมองไปทางอาณาจักรเนลยอนที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ

“..”

อลิซขดตัวนอนอีกครั้ง และเริ่มพึมพำ

“ตอนอายุ 10 ขวบ ฉันจะพบรักกับเพื่อนสมัยเด็กผู้ชาย พวกเราสัญญากันว่าจะแต่งงานกันเมื่อพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่ จากนั้น 6 ปีผ่านไป ฉันและเขาก็พบกันในโรงเรียน เขากลายเป็นหนุ่มหล่อนักดาบ ว่าที่อัศวินเวทมนตร์ ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ แรกๆอาจลำบากหน่อย เพราะมีผู้หญิงที่ดูดีกว่าฉันหลายคนหมายปองเขา แต่สุดท้าย เขาก็มั่นคงในความรักของตัวเอง และมารับฉันเป็นเจ้าสาวในที่สุด …แฮะๆ มีลูกน้อยกันสักสิบคน ตายอย่างสงบในพื้นที่ที่ปราศจากสงคราม จากนั้นก็–”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพ้ออะไรอยู่กันอลิซ เจ้าเพ้อ oัญชา รึไงนั่น!? ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เบ็นจิโร่หรี่ตามองอย่างเวทนา แซร์อิซหัวเราะอัดใส่หน้าอย่างไร้เยื่อใย ฟัฟนิร์เห็นก็หัวเราะตามโดยไม่ดูสภาพตัวเองเลย ชินยิ้มเจื่อนๆ

“สตอรี่เยอะจริงๆนะ เธอคนนี้ ..ว่าแต่ ขยันผลิตลูกเหลือเกินนะ”

“..ในฐานะมนุษย์ .. การสืบพันธ์ุ ..คือหน้าที่นะคะ”

อลิซตอบกลับอย่างไร้อารมณ์

“แบบนี้นี่เอง ชีวิตของเธอในฐานะมนุษย์มีอยู่แค่นั้นสินะ”

เป็นการตอกกลับที่แสนเจ็บปวด ..ทำให้อลิซกลับมาได้สติอีกฉัน แต่พอหันไปมองที่อาณาจักรเนลยอน ซึ่งเร็วๆนี้จะเกิดสงคราม และตัวเองจะต้องเข้าร่วมแล้วก็ …ลงไปนอนอีกรอบ

“พ่อของฉันแต่งงานใหม่ มีลูกติดเป็นหนุ่มหล่อซึนเดเระ รักหวานแหววจึงได้เริ่มขึ้น โดยที่ฉันมีเพื่อนสมัยเด็ก และรุ่นพี่ที่โรงเรียนรายล้อม”

“พอเถอะ”

เท็งงุ เบ็นจิโร่ ผู้ยิ่งใหญ่มิอาจทนฟังอลิซเพ้ออะไรต่อไปได้อีกแล้ว …ว่าไงดี รู้สึกสงสาร ปนสมเพซ กระมัง?

“ลำบากแย่เลยนะครับ ท่านอลิซเนี่ย”

“ตลกชะมัด ทำตัวได้ไม่น่าดูเลยเนอะ ต้าวชิน”

..หล่อนหนักกว่าอีกมั้ง? หลายคนในที่นี้คิดไปในแนวทางเดียวกัน

“ผมคิดว่าไม่พูดมากไปกว่านี้น่าจะดีกว่า”

“เอ๋?” ฟัฟนิร์กระพริบตาปริบๆ “อ่า เรื่องตลกๆพอหอมปากหอมคอ”

ฟัฟนิร์มองไปที่อาณาจักรเนลยอน และยิ้มออกมา

“ในที่สุดก็จะได้กลับมาพบกันแล้วนะ”

“..นั่นสินะขอรับ น่าคิดถึงจริงๆ ..ท่าน เรเซอร์”

การเจอกันครั้งนี้นี่แหละ ..จะเป็นการเริ่มต้นพันธสัญญานายบ่าวต่อจากเมื่อตอนนั้น—

“ขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่ยังไม่ได้เจอกันเร็วๆนี้หรอกนะ พวกเธอต้องไปเตรียมตัวอีกที่ตามแผน”

…….

…….

‘โคตรช็อตฟิล’
“..นั่นสินะครับ ระ รอได้ครับ”

ชินยิ้มแย้มกำหมัดแบบมือโดเรม่อน และยกขึ้นยกลง คล้ายกำลังปลอบใจตัวเอง

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset