< < 182 > >
ชินปัดป้องการโจมตีของเอเธอร์ พร้อมกับสร้างรอยแผลเล็กๆบริเวณนิ้วมือให้กับผู้แข็งแกร่งที่สุด ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่ชั่วหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าปะทะกันอีกครั้ง
จังหวะขยับแขนของเอเธอร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าช่างเป็นการจู่โจมที่อ่านออกง่ายไม่สมกับเป็นเอเธอร์ ชินสามารถใช้เรเปียร์ที่เด่นด้านความเร็วอยู่แล้วในการแทงสวนเข้าไปที่หัวไหล่ จากนั้นก็กระหน่ำโจมตีในระยะที่ได้เปรียบ แม้เอเธอร์จะพยายามสวน แต่ในทุกจังหวะการกระหน่ำฟาดฟันนั้นเต็มไปด้วยประกายเพลิงที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจชอบ
จากรอยแผลขนาดยักษ์ที่ไรเดนฝากเอาไว้ให้ ทำให้เอเธอร์ถูกเพลิงแห่งมหามังกรแผดเผาอย่างรุนแรง—เหนือสิ่งอื่นใด คือความยอดเยี่ยมในทักษะของชิน
ประกายเพลิงหมุนเป็นเกลียวรวมอยู่ที่ปลายของเรเปียร์ ชินแทงเข้าไปที่กลางหน้าอกของเอเธอร์ และส่งเอเธอร์กลิ้งไปกับสายน้ำ และ ..
“น่าเสียดาย เหมือนว่าผมในตอนนี้จะสู้ไม่ค่อยไหวนะครับ”
เอเธอร์ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ท่าทางดูไม่พร้อมกับการต่อสู้แม้แต่น้อย ไม่ได้หมายถึงสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล แต่เป็นสภาพจิตใจที่แปลกประหลาดไปกับทุกที
“เอเธอร์”
ผมทักเอเธอร์ เขาพึ่งจะสังเกตุเห็นผม ทั้งที่ตามปกติ ในระยะสายตาไม่น่ามีใครรอดพ้นสายตาของเอเธอร์ไปได้แท้ๆ
“..ขอโทษนะครับ เรเซอร์ แต่เหมือนว่าผมจะรักษาสัญญาไม่ได้” เอเธอร์เดินมาหาผมอย่างโซซัดโซเซ “จากนี้ไป ผมและคุณจะเป็นศัตรูกันนะครับ”
และเป้าหมายก็คือ–การถล่มศัตรูอย่างผมสินะ?
ผมชี้เรลันดาฟเข้าใส่เอเธอร์ รวบรวมมานาจำนวนมหาศาล แผดเผาตัวเองด้วยวิหคอมตะ ใช้ตัดมิติเสริมการยิงในครั้งนี้
“อยู่ๆก็นึกอยากฆ่าเบลลามีขึ้นมารึไง?”
เอเธอร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มตอบ
“ประมาณนั้นครับ”
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของ–พี่ชายที่ดีหรอกนะ เอเธอร์”
“ผมถึงไม่มีทางเป็นพี่ชายที่ดีได้ยังไงละครับ”
เอเธอร์พุ่งเข้ามา พร้อมกับจิตสังหารที่พวยพุ่งออกจากร่างกายระดับทัดเทียมกับ ไรเดน อาคาสะ ผมข่มใจสู้ได้ไม่ยาก ทว่าก่อนที่จะได้ยิงเวทมนตร์ หรือก่อนที่เอเธอร์จะเข้ามาซัดผม จู่ๆผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ล้มลงไปกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“..”
อยู่ๆคลื่นทะเลขนาดยักษ์ก็ปรากฏ—เหมือนจะเป็นคลื่นที่เกิดจากการต่อสู้ระหว่างไรเดนกับเอเธอร์ คลื่นนั้นทับร่างของเอเธอร์ รวมถึงพุ่งเข้าใส่ผมและคนอื่นๆ ผมขี่ไรลันดาฟหนีขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับดึงโทมิเรียขึ้นมาด้วย
หลังจากที่คลื่นหายไปแล้ว ผมที่ลอยอยู่บนฟ้าก็สำรวจหาเอเธอร์ แต่ก็พบว่าเขาไม่อยู่ในที่แห่งนี้อีกแล้ว
…..
ว่าจะพูดด้วยสักหน่อยว่า–ถ้าคิดจะฆ่าเบลลามี ทางนี้ก็จะไม่ปราณีเหมือนกัน ต่อให้คู่ต่อสู้จะเป็นนายที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเอาชนะได้ แต่จะชนะให้ดู
****
สงครามกลางเมืองจบลงแล้ว ทุกอย่างจบภายในเวลาราวๆครึ่งวัน
ชีวิตนับพันนับหมื่นได้หายไปจากสงคราม แต่ว่าบ้านเมืองกลับไม่มีสิ่งใดที่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ผู้คนมากมายกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม โดยที่บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่บ้านหรือว่าเงินทองได้หายไปโดยไม่อาจเรียกกลับคืนได้
ผู้คนมากมายร้องไห้ออกมา เสียใจกับการจากไปของสงคราม
ทั้งหมดคือผลลัพธ์จากสงคราม ผู้ที่มีความสุขจากสงครามในที่แห่งนี้ไม่มีอยู่
หิมะได้ร่วงหล่นลงสู่อาณาจักรเนลยอน ผู้คนมากมายเอื้อมมือสัมผัสหิมะก่อนที่มันจะอันธพาลหายไป เสมือนชีวิตในอาณาจักรแห่งนี้
รัฐมนตรี ‘ฮิโรชิ’ เฝ้ามองเมืองที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าจากบนสุดของอาณาจักร
“…”
“สมใจท่านรึยัง?”
เท็งงุ เบ็นจิโร่ บินลงบนสุดของหอคอยทั้งแปด
“เพื่อให้อาณาจักรแห่งนี้ไปต่อได้จึงจำเป็นต้องกำจัดเนื้อร้ายทั้งหมด โดยแลกกับความเสี่ยงที่อาณาจักรแห่งนี้จะต้องสูญเสียหลายๆอย่าง ตั้งใจไว้อย่างนั้นสินะคะ”
ฮิโรชิยิ้มตอบกลับ
“ใช่ครับ”
“แล้วผลลัพธ์แบบนี้มันดีตามที่ท่านตั้งใจไว้รึหรือไม่?”
“..ท่านเบ็นจิโร่ ตั้งใจจะฆ่ากระผมสินะ?”
…..
…..
“ขอคิดว่าการไม่ตอบคือคำตอบนะครับ” ฮิโรชิเริ่มออกเดินไปตามทางเดิน เพื่อชมทิวทัศน์ของอาณาจักรแห่งนี้ “อาณาจักรเนลยอนคืออาณาจักรที่ยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยผู้คนที่มากด้วยความสามารถ และแน่นอน มันคือสถานที่ที่ดีที่สุด เพราะผมเองก็เกิดในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ว่าดีที่สุดที่ว่าไว้ไม่ได้หมายความว่ามันดีเลิศในด้านคุณภาพ แต่มันดีที่สุดเพราะเป็นบ้านเกิดของผม”
ฮิโรชิมองชีวิตหลายชีวิตที่กำลังเศร้าโศกอยู่เบื้องล่าง
“เพื่อให้อาณาจักรแห่งนี้ดีที่สุดในทุกๆอย่าง จำเป็นต้องมีการเสียสละบ้าง ..แน่นอนในฐานะผู้นำ การคิดจะสละชีวิตคนของตัวเองมันช่างโหดร้าย แต่มันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จะไม่ปฏิเสธบาปของตัวเองหรอกนะ กระผม รัฐมนตรีคนปัจจุบัน ขอยอมรับความผิดในฐานะผู้ที่ยอมปล่อยให้สงครามเกิดขึ้น”
“เพื่อความถูกต้องในจิตใจของท่าน มันมากพอจะให้ผู้คนที่ท่านรักตายถึงเพียงนี้เลยรึ?”
“ใช่ครับ ..ถ้าหากตั้งใจจะฆ่าผม ลงมือเลยก็ได้นะครับ หากเห็นว่าผมไม่คู่ควรจะนำพาอาณาจักรแห่งนี้ไปต่อ”
ฮิโรชิเดินเข้ามาใกล้เบ็นจิโร่
“แต่ขอบอกให้รู้ไว้นะครับ เบ็นจิโร่ ท่านน่ะซื่อเกินไป—-เหมือนกับความฝันของท่าน ความยุติธรรมของท่านเองก็เกิดจากการคร่าชีวิตของผู้คนไม่ใช่หรือครับ?”
เบื้องหลังนามของ ‘วีรสตรี’ คือ ‘ซากศพ’ จากสงครามที่เธอได้ผ่านมานับไม่ถ้วน
“กระผมเองก็ไม่ต่างกับท่านหรอกนะครับ ถ้าคิดจะฆ่าฆาตกรอย่างผมก็อย่าลืมปาดคอตัวเองด้วยนะครับ”
“….”
สุดท้าย ฮิโรชิก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา เขาเองก็มีหลายอย่างที่ต้องทำต่อจากนี้ เบ็นจิโร่เองก็เหมือนกัน
“ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมากเลยสินะ”
กล่าวจบ เบ็นจิโร่ก็ถอนหายใจเฮือกโต และเฝ้ามองอาณาจักรเนลยอนจากบนฟ้าอยู่พักใหญ่ๆ
****
อีกฟากหนึ่งของตอนจบ
ณ เกาะที่ห่างจากอาณาจักรเนลยอนไม่มากนั้น-เรือดำน้ำได้เกยตื้นขึ้นฝั่งราวๆสิบลำ ไม่นาน เรือทั้งสิบดำก็เปิดออก ผู้ที่เดินเล่นมาเป็นคนแรกก็คือ ‘อามาเทราสึ ฮิโรโตะ’ ผู้นำประจำตระกูลอามาเทราสึ เมื่อลงมาแล้ว ฮิโรโตะก็มองย้อนกลับไปที่อาณาจักรเนลยอนบ้านเกิดของเขา และผุดสีหน้าโศกเศร้าขึ้นมา
“..สักวันหนึ่ง ข้าจะนำมันกลับมาให้ได้”
ฮิโรโตะจับจ้องอาณาจักรบ้านเกิดด้วยความรัก ความโศกเศร้า และความแค้นอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่เสียงเรียกจะดังขึ้น
“ท่านฮิโรโตะ!!”
“มีอะไ–”
ไม่ทันที่จะได้ตอบโต้อะไรกัน
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!! เรือดำน้ำลำท้ายขบวนก็ระเบิด เสียงร้องของข้ารับใช้มากมายดังสนั่นไปทั่วทั้งเกาะ
“..หา?”
เพียงพริบตาเดียวก็มีชายคนหนึ่งโผล่คนจากทะเล ขึ้นมาบนฝั่งตรงหน้าฮิโรโตะ ทันทีที่ได้พบเห็นชายคนนั้น ฮิโรโตะก็หน้าซีด และทำท่าถอยหลังหนี
“อะ ..เอเธอร์!? แกมาที่นี่ได้ยังไง!?”
“บังเอิญน่ะครับ”
ไม่พูดพร่ำอะไร เอเธอร์เดินเข้ามาและกระชากหัวใจของฮิโรโตะออกจากร่าง
“อั้ก …อา..อาณาจักรของข้า”
“น่าเสียดายนะครับ”
ร่างของฮิโรโตะล้มลงกับพื้น และตายไปทั้งอย่างนั้น …เอเธอร์หันกลับมาที่ข้ารับใช้ของฮิโรโตะทั้งนอกเรือ และบนเรือ จากนั้นก็ลงมือสังหารทุกชีวิต
ใช้เวลาไม่กี่นาทีเพียงเท่านั้น
สุดท้ายบนเกาะแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเศษซากศพของผู้คน และลอยเลือดที่ท่วมทั้งชายฝั่ง เอเธอร์นั่งอยู่บนโขกหินแถวๆนั้น มีเพียงแค่โขกหิน และร่างของเอเธอร์เท่านั้นที่ปราศจากรอยเลือดทั้งหมดทั้งมวล
เพียงเท่านี้ อาณาจักรเนลยอนก็ไม่มีเนื้อร้ายอีกต่อไปแล้ว คิดเสียว่านี่คือของขวัญสุดท้ายของเอเธอร์ที่มอบให้แก่อาณาจักรเนลยอนที่ยอดนักรบเคยอาศัยอยู่…??
เอเธอร์สัมผัสได้ว่ามีผู้มาเยือน จากบนฟ้า เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับ ‘ทูตสวรรค์’ ความงดงามแรกพบนั่นชวนให้คิดอย่างนั้น
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เอเธอร์”
เธอผู้งดงามเสมือนทูตสวรรต์บินลงพื้น เผยให้เห็นรูปร่างและใบหน้าที่สวยอย่างกับอยู่คนละมิติกับผู้คนบนโลกใบนี้ หญิงสาวผู้มีเลือนผมสีเงินหางม้าปลายยาว ดวงตาสีฟ้าประกายเพชร ชุดเกราะสีเงินเปล่งประกาย ปีกหกปีกสีทองแห่งสรวงสวรรค์
นามของเธอก็คือ–
“มาเร็วจริงๆนะครับ ‘มิคาเอล’”
ทูตสวรรค์ ‘มิคาเอล’ นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งสรวงสวรรค์ ข้ารับใช้แห่งทวยเทพ
“คิดว่ายังไม่ได้คำตอบจากท่านก็เลยรีบตามมา”
“….”
เอเธอร์ลุกขึ้นยืน ก้มมองที่รองเท้าของตัวเองที่เปื้อนไปด้วยเลือด แปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติร่างกายนี้ไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อนเลย
พอเห็นอย่างนั้น เอเธอร์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ในฐานะ ‘บุตรแห่งพระเจ้า’ ” เอเธอร์หรี่ตาลง และเอ่ย “จำเป็นต้องฆ่าจอมมาร”
…แต่ว่า
“ผมเกลียดออโรโบรอสยิ่งกว่าจอมมารเสียอีก เพราะฉะนั้น–จะฆ่าออโรโบรอสไปพร้อมกับจอมมารนี่แหละครับ”
มิคาเอลที่ได้ยินก็นิ่งไป ก่อนจะมองแรงใส่เอเธอร์โดยไม่ปิดบัง
“ถ้าคิดจะลงมือสังหารท่านออโรโบรอส ท่านกับเราคงต้องเป็นศัตรูกันโดยเลี่ยงไม่ได้ในสักวัน”
“ก่อนจะถึงวันนั้น ผมจะไว้ชีวิตคุณก่อนนะครับ มิคาเอล”
เมื่อพูดคุยกันจบ เอเธอร์ก็ลุกขึ้นยืน และเดินไปที่แห่งอื่นต่อ ….
“ไอ้สัตว์ประหลาด”
มิคาเอลถอนหายใจ และสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ทำเอาภาพลักษณ์ที่งดงามของเธอพลันหายไปในชั่วพริบตา