< < 183 Sec1 > >
ปัญหามากมายมักจะเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวเสมอ โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันคือสัจธรรมของชีวิต คนเราใช้ชีวิตอยู่ไปพร้อมกับอุปสรรค นั่นแหละคือวิถีชีวิต
เกิดเรื่องราวมากมายในเวลาสั้นๆ
ไม่ว่าจะสงครามกลางเมืองที่สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตผู้คนมากมาย หรือว่าการประกาศให้ทั่วโลกรู้ถึงการล่มสลายของตระกูลขุนนางในอาณาจักรแห่งนี้ที่กลายเป็นพวกขายชาติ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในตระกูล แต่ที่ร่วมมือด้วยทั้งหมดก็เป็นพวกระดับผู้นำตระกูล ทำให้ชื่อชั้นขุนนางและอำนาจที่มีได้หมดไป เหลือเพียงแต่ชื่อชั้นให้แก่ผู้ที่ยังคงทำคุณประโยชน์ให้กับอาณาจักรแห่งนี้ อาทิเช่น เท็งงุ เบ็นจิโร่
แกนหลักผู้ก่อเหตุคือตระกูลอามาเทราสึ เช่นเดียวกับผู้นำตระกูล ระดับสัญลักษณ์ของตระกูลอย่างเจ้าหญิง อามาเทราสึ โทมิเรีย ก็กลายเป็นคนทรยศด้วยเช่นเดียวกัน และตอนนี้โทมิเรียก็กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผม
ไม่ไกลกันมากก็มีเคียวยะ เมอันที่กำลังนั่งคุยหลายๆอย่างด้วยกัน โดนเป็นเนื้อหาที่เคียวยะสอนการใช้ชีวิตให้เธอ และมีอานิม่าคอยแนะนำเสริมอะไรเล็กๆน้อยๆในบางจังหวะ
นอกจากที่ว่ามา ไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องพักนี้เลย เบ็นจิโร่มีงานต้องไปสะสางอีกมากมาย ..ฟัฟนิร์แล้วก็ชิน หลังจากที่มีคลื่นน้ำใหญ่เข้าซัดก็หายตัวไป และถึงจะตามหายังไงผมก็จับสัมผัสของพวกเธอไม่ได้แล้ว
แซร์อิซ อลิซ แล้วก็ปีเตอร์ เหมือนว่าจะหนีไปก่อนที่เอเธอร์จะโผล่มาเสียอีก
ทั้งหมดที่ว่ามาคือเรื่องหลังจบการต่อสู้ ก่อนจะเริ่มสงครามก็มีปัญหาเรื่องของเรนและกองทัพ เรื่องของพวกปีศาจมหาบาปที่พากันร่วมมือกับเรน ..แล้วสุดท้ายคือ–เรื่องที่ ไรเดน อาคาสะ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดได้เสียชีวิต
ใช่ ไรเดน อาคาสะ ตายแล้ว ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว
เขากลายเป็นตำนานของอาณาจักรเนลยอน และเหลือเพียงแค่ชื่อที่จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ..เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความเศร้า และความเสียหายมากมายต่ออาณาจักรเนลยอน โดยเฉพาะกับเธอที่อยู่ตรงหน้าผมนี่แหละ
ตั้งแต่นั้น โทมิเรียก็เอาแต่นั่งซึมมาตลอด ไม่ยิ้มแย้มร่าเริงแม้จะฝืนทำเลย
ราวกับมาดเจ้าหญิงที่พยายามวางไว้ได้อันธพาลหายไปจนหมด
“โทมิเรีย”
“..อะไรหรือคะ?”
“วาระสุดท้ายของนักรบคนนั้นเป็นยังไงบ้างเหรอ?”
“สมกับเป็นไรเดนค่ะ”
เธอผุดยิ้มออกมาอย่างเศร้าโศก คงจะแสร้งทำอยู่
“ต่อจากนี้เธอจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปรึ?”
“ฉันได้เงินและที่อาศัยอยู่จากท่านฮิโรชิอยู่น่ะค่ะ ไกลจากที่นี่ไปบ้าง แต่น่าจะพออยู่ได้จนแก่ตายเลย”
อยู่คนเดียวสินะ นั่นมันไม่ปลอดภัยเอาซะเลย อย่างที่รู้ว่าโลกนี้นั้นเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน โทมิเรียคือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเนลยอน มีรูปโฉมที่งดงามยากจะหาใครในโลกมาเทียบ คิดดูสิว่าถ้าเธออาศัยอยู่ในเมืองคนเดียว ไม่วันใดวันหนึ่ง ปัญหาจะต้องมาแน่นอน หรือไม่ก็พวกที่หนีรอดไปจากการจับกุมได้หลายๆตระกูล อาจจะเอาตัวอามาเทราสึมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ก็เป็นได้
ไม่ว่าทางไหน การให้โทมิเรียอยู่คนเดียวก็ไม่ดี
“ตั้งใจว่าจะปลูกบ้านสักหลังกลางป่าเขาค่ะ”
แน่นอน โทมิเรียเองก็คิดเรื่องนี้ไว้แล้ว จึงคิดจะไปใช้ชีวิตไกลจากผู้คน
“ไม่เหงาไปหน่อยเหรอชีวิตแบบนั้น”
“..”
“เหมือนจะเขียนเส้นทางชีวิตตัวเองไว้แล้วเลยนะว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไปจนตาย โดยที่ไม่ให้ใครรู้ เธออายุก็พึ่งจะแค่สิบกว่าๆเอง ไม่คิดว่าเป็นทางลงชีวิตที่เร็วไปหน่อยหรือไง?”
“แต่ว่าแบบนี้จะดีต่อทุกคนมากกว่า”
“ในฐานะคนที่มีส่วนร่วมปราบพวกขายชาติ ไม่คิดว่าเสียมารยาทหน่อยรึ?” ผมถอนหายใจเฮือกโต “ชีวิตที่เขียนโดจินเรื่องที่ชอบไม่ได้ และต้องตัดขาดกับโลกภายนอกแบบนั้นคือดีแล้วสินะ”
พอพูดอย่างนั้น โทมิเรียก็เริ่มผุดสีหน้าลังเลขึ้นมา ว่าแล้วเชียว พอเป็นเรื่องพวกนี้ก็จะมีปฏิกิริยาทันทีเลยสินะ
“ด้วยเหตุนั้นเอง มากับฉันสิ”
“..เอ๋?”
“เร็วๆนี้ฉันเริ่มปลูกคฤหาสน์ที่เมืองชันไมน่ะ ใกล้ๆนั้นก็มีโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ฉันรู้จักด้วยให้อาศัยอยู่หากต้องการ แล้วก็มีพรรคพวกป่ามหาภูตคอยช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย”
ผมพูดพลางยิ้มให้โทมิเรีย
“ถ้าเป็นที่นั้นเธอจะไม่ได้ตัดขาดจากโลกโดยสมบูรณ์ ว่างๆก็ปลอมตัวไปออกงานอะไรตามใจชอบได้เลย แล้วก็-ไปแอบคุยเรื่องนี้กับรัฐมนตรีฮิโรชิแล้วน่ะ เขาตกลง และจะช่วยซัพพอร์ตทุกอย่างหากเธอเลือกทางลงนี้”
“จะดีเหรอคะ?”
“ฉันเชื่อว่า ไรเดน อาคาสะ คนนั้นเองก็แนะนำให้เธอทำตามที่ฉันเสนอ”
ได้ยินอย่างนั้นโทมิเรียจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีแรงนัก
“แลกกับการที่ให้ฉันเป็น ‘เมียเก็บ’ ของท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหารสินะคะ”
..
“เช็ตติ้งอาจจะดูคล้ายๆอยู่ แต่ไม่ใช่หรอก แล้วก็อย่าพูดแบบนี้ให้ใครฟังอย่างนั้นเชียวนะ ช่วงนี้ยิ่งเสี่ยงๆอยู่ ..ไม่สิ พลาดไปแล้วต่างหาก”
พอพูดถึงเรื่องพวกนี้หน้าของ ‘วิน’ ก็ลอยเข้ามา และทำให้ผมเครียดขึ้นสมองทันทีทันใด
“..นี่ฉันทำอะไรลงไปกันนะ ..วิธีเชิญชวนแบบนี้มันเข้าข่าย ..อย่าบอกนะว่าฉันคือพวกขุนนางวิตถารน่ะ?”
ให้พูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมและตอแหล ผมขอให้วินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเบลลามี โดยที่ไม่ได้ถามความยินยอมจากเบลลามีและคนอื่นๆก่อนเลย ที่ทำมันแสนเลวร้าย ผมรู้ดี แต่ตอนนั้น ..หลายๆอย่างมันพาไป โชคชะตา ไม่สิ ตัวผมโคตรจะเลว
“เอ่อ ก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังหรอกนะคะ เอาเป็นว่าขอโทษนะคะที่สร้างความเข้าใจผิดให้ ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหารไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้นนะคะ ใช่ค่ะ—เป็นเรื่องปกติของขุนนาง ‘ชาย’ ค่ะ ที่จะมีเมียได้หลายคน รวมถึงมีเมียเก็บก็ไม่ใช่เรื่องแปลกด้วย สบายๆค่ะ”
ช่วยอย่ายัดเยียดแนวคิดชายเป็นใหญ่ให้ผมได้มั้ยเนี่ย ..แต่ก็เอาเถอะ
“อย่างที่บอก ถ้าเธอทำตามนี้เธอจะปลอดภัย แล้วได้ดำเนินงานอดิเรกของตัวเองต่อไปแบบหมดห่วง”
“เข้าใจแล้วค่ะ เอาตามนั้นนะคะ”
เมื่อพูดคุยกันจบ โทมิเรียก็แยกย้ายไปจัดเตรียมข้าวของ ส่วนผม ..มีนัดต่อนิดหน่อย
****
หลังจากจบเรื่องราวทั้งหมด เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้จึงยังมืดอยู่ เวลาน่าจะราวๆห้าทุ่มกว่าๆได้
ผมเดินออกมานอกตัวเมือง ตรงเข้าไปภายในป่าเขา ใช้เวลาเดินอยู่พักใหญ่ๆก่อนจะมาถึงที่หมาย บริเวณพื้นที่ยื่นออกไปจากตัวเกาะเล็กน้อย ที่แห่งนั้นคือสถานที่ชมวิวยอดเยี่ยมของอาณาจักรเนลยอนเลยละ หากว่าตามความรู้สึก
เมื่อมาถึงคนที่ผมนัดไว้ก็กำลังนอนอยู่บนผืนหญ้าแถวๆนั้น ไม่นาน เธอก็สังเกตุเห็นผม และโบกมือทักทายด้วยสีหน้าเขินๆ
“..ไม่ได้เจอกันนานนะ ..เพื่อนรัก”
เหมือนว่าผมจะโดนลดยศแฮะ
“อะไรเล่าท่าทางแบบนั้น”
ผมลงไปนั่งข้างๆเธอ วินเขยิบตัวออกไป และเปลี่ยนมานั่งท่ากอดเข่า
“มีอะไรต้องเขินอีกรึไง?”
“เพื่อนรักไม่เขินเลยสินะเนี่ย? ฮะ ฮะ ฮะ สุดยอด สมกับเป็นเสื้อผู้หญิงแห่งฟัฟนิร์”
ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงดี แต่พอเห็นท่าทางตลกๆของวินผมก็ผ่อนคลายขึ้นมามากเลยละ ถ้าหล่อนไม่ชิงเขินก่อน ตัวผมนี่แหละที่จะเขินจนตัวแทบระเบิด ใช่ เวอร์จิ้นอย่างผมจะเขินหนักก็คงไม่แปลก ว่าแล้ว พอได้วางมาดเข้มอย่างนี้เนี่ย ตัวผมก็ดูเท่สุดๆเลยไม่ใช่รึเนี่ย?
ผมหัวเราะพึมพำในลำคอ วินเห็นก็หัวเราะตามพะสาของตัวของวินเอง
เหตุผลที่วินต้องมาอยู่ตรงนี้ แทนที่จะมาอยู่กับพวกผม เป็นเพราะว่าเธอเป็น-ตัวการสำคัญที่มีส่วนร่วมในการถล่มอาณาจักรเนลยอน ถ้าเกิดเบ็นจิโร่มาเห็นเข้า ได้ตีกับผมถึงตายแหงๆ อย่างว่าแหละ เธอเป็นบุคคลอันตรายสำหรับอาณาจักรเนลยอนไปแล้ว และผมก็กำลังปิดบังตัวตนของเธอ ให้ว่าตามตรงก็กำลังปกปิดตัวผู้ก่อการร้ายอยู่ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ นอกจากกลัวที่ความลับจะแตก และต้องสู้กับเบ็นจิโร่
“ว่าไงดี มันรู้สึกแปลกๆน่ะ ..ทั้งที่เรเซอร์ก็มีคนรักอยู่แล้ว แต่ดันมาชวนฉันให้เข้าร่วมด้วยแบบเปิดเผยมันก็ ..นะ นอกจากนั้นฉันก็ทำเรื่องไม่ดีมาซะเยอะเลยด้วย ..เริ่มรู้สึกบาปขึ้นมาแล้วสิ ไอ้แบบนี้เรียกว่าเมียเก็บยังดูน้อยไปด้วยซ้ำนะ รู้รึเปล่า?”
ช่วงนี้ผมโดนทักเรื่องจำพวกนี้บ่อยเหลือเกินนะ ..เริ่มรู้สึกหดหู่ขึ้นมาแล้วสิ
“..ถ้ากลับไปแล้วจะไปถามความเห็นของพวกเธอก่อน ..”
เรื่องของวินต่อจากนี้ ..
“ถ้าไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้สินะ?”
“ประมาณนั้น”
ยังไงความเห็นของทั้งสามคนก็เป็นที่สุด ..
“ฉันเนี่ยไม่ได้เรื่องเลยนะ ตัดสินใจอะไรตามใจชอบแบบนี้ ..นี่ยังไม่ได้เป็นสามีแบบทางการแท้ๆก็ทำเรื่องเลวร้ายลงไปแล้ว ไอ้แบบนี้ถ้าแต่งงานจริงๆแล้วมันไม่หนักกว่าเดิมรึไง ถ้าเกิดโดนพวกเธอเกลียดขึ้นมาฉันจะทำยังไงดี ..หรือต่อให้พวกเธอจำใจยอม แล้วเสียใจขึ้นมาล่ะ? ..อันนาคงจะด่าฉันเละ แล้วหนีฉันไปทันที เรเซลอาจจะจำยอมแล้วทรมานเอง เบลลามี ..เดาไม่ออกเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าขุนนางเขานิยมมีเมียหลายคนกันเหรอ?”
ทั้งเรเซลและอันนาก็ชอบพูดบ่อยๆว่าตนไม่รังเกียจหากผมมีภรรยาหลวง หรือน้อยเพิ่ม เบลลามีเองก็ไม่คิดใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้เลย
“นั่นสินะ ฉันอาจจะมีปัญหากับเรื่องนี้แค่คนเดียวก็ได้”
“แต่ก็ใช่ว่าพวกเธอจะสบายใจนะ ถ้าเป็นพวกเมียที่ตกลงกันแล้วก็ว่าไปอย่าง แต่อีแบบนี้เรียกว่าชู้รักนี่เนอะ”
นั่นสินะ ตรงตามที่วินพูดเลย ถึงจะยังไม่ได้เกินเลยอะไรกันก็เถอะ แต่สถานะก็ราวๆนั้น …
“จะไม่เอาฉันก็ได้นะ ไม่ถือสาหรอก ..เพื่อนรักคงแค่อยากจะรับผิดชอบเฉยๆด้วย ไม่ได้รู้สึกชอบอะไรฉันจริงๆด้วยรึเปล่านะ?”
…
“ถ้าบอกไม่ชอบก็คงโกหกแหละนะ”
“…”
วินกระพริบตาปริบๆ ก่อนที่แก้มจะแดงขึ้นมา
“เพื่อนรักเนี่ย เป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิงนะรู้รึเปล่า? จะหนักแน่นก็หนักแน่นไม่สุด ให้อารมณ์ประมาณพวกที่ทำให้รู้สึกว่า ‘อ๊ะ พยายามสักหน่อยอาจจะไหว อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้รังเกียจ’ เลยนะ”
“นั่นคือนิสัยที่ต้องปรับสินะ เข้าใจแล้วละ ..เอาเป็นว่า วางใจได้ ไม่ว่าทางใด ฉันก็ต้องทำผิดชอบเรื่องของเธอแล็วก็น้องสาว ไว้ค่อยตัดสินใจหลังจากคุยกับเบลลามีแทนนะ”
“เข้าใจแล้ว พวก”
ว่าแล้ววินก็ตบหลังผม และหัวเราะ ฮ่าๆ ออกมา
ตอนนี้ก็คงสถานะประมาณนี้ไว้ก่อน
“เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กทุกคนปลอดภัยดีนะ”
ยกเว้นพี่เลี้ยงอย่าง ‘มิเรีย’ ..
“…”
“ฉันตกลงกับคนที่คอยดูแลเรื่องนี้ไว้แล้วว่าทุกคนจะต้องไปอาศัยอยู่ที่เมืองชันไมแทน เนื่องด้วยปัญหางบประมาณเอย หลายๆอย่างเอย ทำให้พวกเขาไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนได้เหมือนกัน ..ฉันจะให้พวกเด็กๆไปอยู่ที่โบสถ์ของเมืองชันไมน่ะ ฉันสนิทกับคนที่โบสถ์เป็นพิเศษ”
“เกรงใจแย่เลยนะแบบนั้น”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะทำทุกอย่างให้ฟรีๆหรอก”
ถ้าทำแบบนั้น ความรู้สึกผิดของวินก็ไม่รู้จะหาที่ลงยังไงสิ จึงต้อง-
“ฉันจะจ้างเธอให้เป็นผู้ดูแลโบสถ์ที่เมืองชันไม”
วินยังเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพด้านการต่อสู้อยู่ ด้วยร่างกายที่ถูกดัดแปลงให้รับพลังของราชาไสยศาสตร์ทำให้วิชาบางวิชาเธอยังสามารถใช้ได้ในระดับที่ดีเยี่ยม แต่ไม่ดีเท่าแต่ก่อน เรื่องพลังกาย รึสติปัญญา ก็เท่าเดิม ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงเอามากๆ ให้พูด วินในตอนนี้มีฝีมือทัดเทียมกับ ‘เซบาสเตียน’ เลยละ ซึ่งคนระดับนี้ยากจะหาได้ ถ้าหากเป็นลูกน้อง ก็เป็นลูกน้องชั้นเลิศ
ถ้าไม่นับพวกท็อปโลก วินยังคงเป็นมือหนึ่งสำหรับโลกใบนี้ ต่อให้สูญเสียพลังไปมาก จึงวางใจให้เธอคุ้มครองพื้นที่ได้ ยิ่งถนัดวิชาไสยศาสตร์ซึ่งเด่นด้านการดูแลพื้นที่เป็นพิเศษด้วยแล้วก็ยิ่งดีเลย
คิดว่านี่เป็นทางลงของวินที่ดีที่สุดแล้วละนะ
“นอกจากดูแลโบสถ์ เธอก็ต้องควบหน้าที่ดูแล ‘โทมิเรีย’ ด้วยน่ะนะ”
“…ท่านโทมิเรียเหรอ”
พอพูดชื่อนี้ขึ้นมา วินก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผิดกับก่อนหน้านี้
ก่อนที่ผมจะถามไปว่าสนิทกันไม่ใช่เหรอ ผมก็นึกขึ้นได้ก่อนว่าทั้งสองเป็นศัตรูกัน และการต่อสู้คราวนี้ก็สร้างความสูญเสียให้กับโทมิเรียมหาศาลด้วย สามารถชี้หน้าด่าวินได้เลยละว่าเป็นตัวการที่ทำให้เรื่องมันลงเอยอย่างนี้
“….”
“เผชิญหน้ากับบาปของตัวเอง ตั้งใจไว้อย่างนั้นไม่ใช่รึไง?”
วินจ้องหน้าของผม เธอทำเพียงจ้องอยู่เฉยๆอยู่พักหนึ่ง ก่อนผุดยิ้มที่ดูสงบผิดกับคาแรคเตอร์ตัวเอง
“ถ้าทำไม่ได้ก็คงไม่คู่ควรกับเพื่อนรักสินะ”
“ชะ ใช่แล้ว ใช่เลย”
วินกลับมาหัวเราะแบบน่าเกลียดตามเดิม ทำเอาความเขินอายชั่วพริบตาของผมหายไปอย่างง่ายดาย
นอกจากเรื่องที่ว่าทั้งหมดก็คือเรื่องสภาพร่างกายของวิน ร่างกายของวินและน้องสาวหลังจากที่รอดชีวิตมาได้นั้นจะเป็นยังไงต่อ ทว่าก่อนที่จะได้พูดออกไป
“จะพยายามนะ ..แล้วก็พรุ่งนี้”
เธอเอื้อมมือมาจับปลายเสื้อของผม ส่งสายตาแปลกๆมาให้ และโพล่งขึ้น
“ช่วยไปหาน้องสาวเป็นเพื่อนหน่อยได้รึเปล่า?”