< < 183 Sec2 > >
‘ช่วยไปหาน้องสาวเป็นเพื่อนหน่อยได้รึเปล่า?’
สิ้นสุดคำขอนั้น ผมก็ตอบรับในทันทีในเช้าวันถัดไป ผมกับวินเข้าไปในโรงพยาบาลหรูแห่งหนึ่ง เหมือนว่าเรื่องของน้องสาววินจะยังไม่โดนสืบจนสานตัวได้ ทำให้ยังไม่มีใครบุกมาคุมตัวน้องสาววินเพื่อใช้เป็นเบาะแสในหลายๆเหตุการณ์
พวกเราเดินเข้าไปคุยกับพยาบาลที่ดูแล ได้รับแจ้งข่าวสารว่าน้องสาวของวินฟื้นแล้วตามคาด จึงรีบไปยังห้องนอนของเธอกัน
ตอนนี้ผมและวินยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ทั้งผมและวินมีอาการเกร็งหน่อยๆ
“อะ เอาละนะ”
“เอาเลยสิ เร็วๆ”
วินกลืนน้ำลาย เลือนประตูออก และพุ่งเข้าไปข้างในด้วยท่าทางร่าเริง เห็นแล้วผมก็ทำตัวเป็นลูกไล่วินที่โพสต์ท่าเหมือนนักแสดงตลกคาเฟ่ห์
“พี่สาวคนสวยมารับแล้วนะจ๊ะ!!”
…..
…..
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น
น้องสาวของวินนอนอยู่บนเตียง หากมองผิวเผินจะเหมือนว่าวินนั้นมีอยู่สองคน แต่มองดูดีๆก็ต่างกันหลายจุดทีเดียว เช่น ผมของน้องสาววินที่ยาวกว่า ผิวของเธอที่ดูขาวซีด ร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อย และสำคัญที่สุดคือใบหน้าที่ราวกับยิ้มตลอดเวลา
….
“ดะ ดีจ้า”
“..”
น้องสาวผู้น่ารักพยักหน้าให้หนึ่งที ไม่นาน เธอก็เอาตัวมุดเข้าผ้าห่มอย่างนิ่งเงียบ
“เดี่ยวสิ!!! พี่สาวอุตส่าห์มาหาเลยนะ!!”
วินตรงปรี่ไปโวยวายข้างเตียงของน้องรัก
“อย่าโวยวายข้างเตียงผู้ป่วยสิฟร้ะ”
“ไม่ได้โวยวายสักหน่อย!”
อีแบบนี้แหละที่เรียกว่าโวยวาย
น้องสาวของวินโผล่หัวออกจากเตียง ส่งยิ้มให้พวกเราสองคนก่อนที่จะ ..ร้องไห้ออกมา
“ “เอ๊ะ” ”
..นั้นเองเหรอ นั่นสินะ
ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานนี่นะ ตั้งแต่ลืมตาตื่น สองพี่น้องก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย รู้สึกถึงกันได้เพียงแค่ตามสัญชาตญาณ ..คงจะคิดถึงมากเลยสินะ
เห็นอย่างนั้นวินจึงเอื้อมมือไปหมายจะลูบหัวของเธอ ทว่า
“ผีหลอก”
วินตัวแข็งทื่อ คิ้วกระตุก ตากระตุก และ–
“ไม่ใช่ผีนะ! พี่ต่างหาก!!!”
พอโดนตะโกนอัดหน้า น้องสาววินก็มุดผ้าห่มกลับเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้วินไม่ยอมเธอทำท่าจะมุดผ้าห่มตามเข้าไป
“เดี่ยวเถอะๆ!”
“ใครก็ได้ช่วยด้วยยย!”
เสียงใหญ่ของวิน เสียงเล็กๆของผู้เป็นน้องดังสนั่นห้องนอนผู้ป่วย ..เป็นการพบเจอกันของสองพี่น้องที่แสนน่าประทับใจ?
หลังจากนั้นก็ใช้เวลาพักใหญ่ๆเพื่อทำให้ใจเย็นลงทั้งสองคน และมานั่งจับเข่าคุย อธิบายความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง โดยที่ผมกับนิงนั่งอยู่ข้างๆเตียงนอน ส่วนน้องสาววินก็นอนห่มผ้าห่มอยู่บนเตียง
เมื่อได้ฟังทุกอย่างจนจบ น้องสาวของวินก็มีท่าทีตกใจ และจ้องหน้าของวินตาเป็นวาว
“ยังไม่ตายเหรอคะ?”
อะไรละนั่น? อย่างกับแช่งกันอย่างไรอย่างนั้น วินแอบสะอึกเล็กน้อย ทำท่าจะร้องไห้แต่อั้นไว้ได้ดี เธอทำท่าเบ่งกล้ามยิ้มแย้ม
“อย่างที่เห็น แข็งแรงดีจ้า”
“..”
เธอเอื้อมมือมาลูบหัวของผู้เป็นพี่สาว ลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน และอ้าปากค้าง
“พี่สาว!!!!!!!”
จากนั้นก็พุ่งกอดหัวของวิน และเหวี่ยงตัวไปมาขณะที่เกาะหัววินแน่น–นี่มัน?
“เดี่ยวก่อนๆ ใจเย็น—ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆนะ!”
“พี่สาว พี่สาว พี่สาว!!”
สุดท้ายวินก็ล้มลงกับพื้นอย่างจัง เพื่อไม่ให้น้องสาวได้รับบาดเจ็บเธอจึงรับทุกอย่างไว้กับตัวเอง
“นึกว่าตายแล้วซะอีก พอหนูตื่น ..ก็คิดว่าพี่สาวตายแล้วซะอีก!”
“ตามปกติมันก็ควรจะอย่างนั้นแหละนะ ฮะ ฮะ ฮะ”
“ตามปกติ?”
“ใช่ พี่ไม่ควรจะมายืนอยู่ตรงนี้หรอกนะ”
วินผละร่างของน้องสาวออกจากตัว แต่น้องสาวยังคงนั่งอยู่บนตัวของวิน และไม่มีทีท่าว่าจะเอาตัวออกห่างเลย
“แต่พี่ถูกช่วยไว้น่ะ”
วินค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้หน้าของผู้เป็นน้อง ใช้มือข้างขวาเปิดหน้าผากของเธอ และเอาหน้าผากของตัวเองสัมผัสไออุ่นของน้องสาวตัวเอง
“พี่ถึงมาหาน้องได้ แล้วก็-”
วินเข้ากอดน้องสาว ขยับหัวไปมาขณะที่กอดไว้อยู่ราวกัยอยากจะสัมผัสไออุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“กอดเธอได้ไม่อั้น”
ให้ตายสิ
ผมปล่อยให้สองพี่น้องใช้เวลาร่วมกัน และนั่งอยู่ตรงริมเตียงแบบเหงาๆอยู่พักใหญ่
****
จากนั้นพวกเราก็รีบออกจากโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตามตัวได้จึงต้องรีบไปจากที่นี่กัน โดยไม่ไปบอกกล่าวร่ำลากับหมอหรือพยาบาลที่ช่วยดูแลน้องสาวของวินมาโดยตลอด ถึงจะน่าเสียดาย แต่นี่ก็คือวิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้
ผมกับวินเดินนำหน้า โดยที่วินกุมมือของน้องตัวเองขณะเดินไปด้วย
พอได้มายืนข้างๆกันก็พอทำให้รู้ความแตกต่างอีกหลายอย่าง น้องสาวของวินนั้นเตี้ยกว่าวินในระดับหนึ่งเลยละ แบบนี้ก็คงแยกได้ไม่ยากว่าใครเป็นใคร
“ไปไหนกันต่อดีเหรอ?”
“นั่นสินะ”
ผมชำเลืองมองสภาพของน้องวินที่อยู่ในชุดคนไข้ มองแค่แปปเดียวจู่ๆน้องของวินก็มีท่าทางแปลกๆก่อนจะหลบสายตาของผม พอพยายามจะหามุมมองให้เห็นหน้าเจ้าตัวก็วิ่งไปหลบหลังของวินเสียอย่างนั้น
“เดี่ยวเถอะ”
วินกอดอกยืนปกป้องผู้เป็นน้องอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดทำเรื่องไม่ดีเลยสักนิด
“เปลี่ยนเสื้อก่อนดีรึเปล่า?”
“นั่นสินะ แต่บรรยากาศแบบนี้ไม่น่าหาร้านที่เปิดได้นะ”
หนึ่งวันถัดจากสงครามกลางเมืองมันคงจะมีร้านเสื้อผ้าเปิดได้แหละ
“ไว้ตอนไปที่เมืองชันไมของเรเซอร์ค่อยแวะซื้อให้ก็ได้”
…ได้สินะ
…..
….
“เป็นอะไรไปเหรอ?”
“ไม่มีอะไร ถ้านั้นก็ไปเดินเล่นกันเถอะ ตามที่คุยกันไว้”
“นั่นสินะ!”
ผมเดินนำหน้า วินเดิมตามโดยที่จูงมือน้องสาวไว้แน่น—-เพราะในเมืองอันตรายสำหรับวิน อาจจะเผลอไปเจอทหารเรือหรือคนอื่นๆได้ เลยต้องเลี่ยงที่จะเจอ จึงไปเดินเล่นกันในป่าเขา ชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ ในทีแรกคิดว่าน้องสาวของวินอาจจะลำบากตรงที่เดินไม่ค่อยเก่ง แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นอะไร พวกเธอคือพี่น้องกัน ทั้งพลังกาย และสติปัญญานั้นยกระดับอย่างมหาศาล ทำให้น้องสาวของวินเองก็มีพลังกายเหลือๆเช่นกัน
เวลาเดินต่อไป พาน้องสาวของวินไปรู้จักกับอะไรหลายๆอย่าง เหมือนว่าเธอจะรู้จักอยู่แล้วก็มากจากจิตใต้สำนึกที่วินมี แต่ทุกๆครั้งที่ได้ลองด้วยตัวเองมันย่อมตื่นเต้นกว่า
พวกเธอคุยกันหลายเรื่องเลย ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องที่สนุกสนาน ไม่มีเรื่องเศร้าเลยสักนิด
เห็นคุยกันว่าจะจับน้องสาวที่น่ารักกว่าตัวเองไปจับใส่ชุดน่ารักๆ เห็นบอกว่าจะพาเธอไปตกปลา และฝึกว่ายน้ำ บอกว่าจะช่วยสอนวิชาไสยศาสตร์ให้ บอกว่าจะหาเงินแล้วส่งเสียไปเข้าโรงเรียนดีๆให้ ต่อให้เงินที่ได้จากค่าจ้างของผมมันไม่พอก็จะหาเงินเสริมเพื่อสนับสนุนน้องสาวตัวเองในทุกๆด้าน เรียกได้ว่าเป็นพี่สาวสายเปย์ไม่อั้นกระมัง
ในจุดนี้แอบนึกถึงแองเจลิน่าที่มักจะดูแลผมจนเกินเหตุ จนแอบหัวเราะในใจ
สองพี่น้องยิ้มแย้มร่าเริง ทั้งคู่กำลังมีความสุข ในบางครั้งก็แอบน้อยใจที่วินน่าจะลืมว่าผมเองก็อยู่ไปบ้าง แต่แค่ขำๆไม่ได้คิดอะไรมาก ในหัวคิดเพียงแค่ว่า-น่ายินดีเหลือเกินที่ทั้งสองได้พูดคุยด้วยกัน ได้พบเจอกันอีก ในที่สุดก็เอาชนะโชคชะตาได้แล้วนะ รู้สึกยินดีด้วยอย่างสุดซึ้ง
แต่ว่า
ไม่นานก็มาถึงสถานที่สุดท้าย นั่นคือบริเวณที่วินชอบที่สุด ซึ่งสามารถเห็นทะเล และรับลมได้แบบสบายตัว
“มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
ผมเอ่ยทักวินที่นั่งพิงต้นไม้คุยอะไรไปเรื่อยกับน้องสาว เธอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าให้เหมือนเข้าใจดี และลุกขึ้นเดินมาหาผม
แน่นอนเรื่องที่จะคุยผมไม่อยากให้น้องสาววินได้ยิน
“มีอะไรเหรอ?”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเธอ และน้องสาว”
ทั้งสองคนเป็นโรคเกี่ยวกับมานาบริสุทธิ์ เป็นประเภทที่ทำให้ความเป็นฝาแฝดของทั้งสองนั้นผิดพลาด ผู้เป็นพี่จะได้สติปัญญาของน้องมาทั้งหมด ผู้เป็นน้องจะได้พลังกายของคนพี่มาทั้งหมด ขีดจำกัดของร่างกายถูกดันจนสูงเกินไป มานาที่ใช้สร้างร่างกายจึงไม่พอ และเกิดการแยกกันโดยที่ไม่สามารถจัดระเบียบหลายๆอย่างในร่างกายให้ ทำให้เกิดสภาพที่ ผู้เป็นพี่ซึ่งได้รับสติปัญญานั้นมีร่างกายที่ย่ำแย่ ผู้เป็นน้องที่ได้รับพลังกายนั้นมีร่างกายที่สมบูรณ์แต่ไร้ซึ่งสติ
มันคือสภาพโดยต้นกำเนิดที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงอะไรได้ ถ้าหากว่าทั้งสองยังอยู่ในท้องผู้เป็นแม่ ผมและหลายคนอาจจะแก้ไขได้ก่อนที่พวกเธอจะเกิดมา แต่ตอนนี้มันแก้ไม่ทันแล้ว นั่นคือสภาพที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้–แรกซ์จะทุ่มเทชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตวิน แต่มันไม่ใช่การช่วยรักษาโรคนี้ ก็แค่ดึงเอาวิญญาณของวินกลับมาจากสวรรค์เท่านั้น
หรือก็คือ ..โรคความผิดพลาดทางมานา ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ผมเล่าทุกอย่างที่รู้ให้วินฟังโดยย่อ ก่อนปิดท้ายด้วยความจริง
“เหลือเวลาอีกไม่นาน อาจจะไม่ถึงหนึ่งวันก่อนที่พวกเธอจะกลับคืนสู่สภาพที่ควร ..”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วยสินะ”
“อ่า ขอโทษนะที่ไม่รีบบอก ..กลัวว่าถ้าบอกไป เธอจะไม่กล้าไปเจอหน้าน้องของตัวเองเข้าน่ะ”
วินถอนหายใจ พลางหรี่ตามองน้องสาวของตัวเอง
“ตรงตามนั้นเลยนะ”
“ขอโทษด้วย”
“ไม่หรอก เรเซอร์ไม่ผิดเลย จริงๆฉันก็พอรู้อยู่แล้วน่ะนะว่าร่างกายตัวเองมันมีอะไรแปลกๆอยู่ แค่คิดเข้าข้างตัวเองว่าทุกอย่างมันดีขึ้นแล้วสบายใจกว่าแค่นั้นเอง เห็นเรเซอร์พูดเรื่องเกี่ยวกับอนาคตต่อจากนี้แล้วด้วย ฉันก็เลยรู้สึกคาดหวังว่าคงจะไม่เป็นอะไร”
ผมเองก็มีส่วนผิดที่พูดคล้ายเมินความเป็นจริง แต่ว่าที่พูดมันเป็นเพราะ
“ฉันอยากจะให้เธอมีชีวิตต่อไป”
ไม่ว่าจะกี่ครั้งผมก็มักจะยืนยันคำเดิมเสมอ ถึงได้แจกแจ้งเรื่องต่อจากนี้ไว้โดยนึกไว้เสมอว่าวินจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป กลับกัน
“ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ฉันก็ปารถนาจะให้เธอ(น้องสาว)มีชีวิตต่อไป ..ยิ่งกว่าใจจริงของเรเซอร์เสียอีก”
แม้พวกเราจะแตกต่างกันในความคิด แต่ก็ไม่มีท่าทางจะหาเรื่องกันเหมือนก่อนหน้านี้ที่มีสถานะเป็นศัตรู รู้สึกขอบคุณวินเล็กน้อยที่ไม่โกรธกันที่ผมพูดออกมาตรงๆว่า ‘อยากให้วินมีชีวิตมากกว่าน้องสาวที่เธอรัก’ แม้วินจะบอกหลายต่อหลายครั้งว่าพวกเธอมีส่วนที่คล้ายกันประหนึ่งคนเดียวกันเยอะก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากให้วินที่เป็นวินอยู่มากกว่า และวันนี้ที่ได้ดูทั้งสองคนพูดคุยกันก็ช่วยยืนยันมากยิ่งขึ้นว่าทั้งสองไม่ใช่คนๆเดียวกัน
วินก็คือวิน น้องสาวของเธอก็คือน้องสาวของเธอ ไม่มีใครแทนใครได้หรอก
“แต่เห็นตัวเกินไปมันก็ไม่ดีสินะ ..เอาแต่ขอร้อง แล้วพึ่งพาเรเซอร์ไม่หยุดแบบนี้มันไม่ไหวหรอก ขืนเอาแต่ทำแบบนี้จะโดนภรรยาคนอื่นของเรเซอร์เกลียดเอาได้ แต่ว่า”
ระหว่างผมกับน้องสาว ราวกับให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง วินคงคิดว่าถ้าหากเลือกให้น้องสาวมีชีวิตต่อ มันคือการหักหลังสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดอย่างเห็นแก่ตัว และถ้าเกิดเลือกผมมากกว่าก็เท่ากับเธอได้ทิ้งน้องสาวที่เปรียบเสมือนเหตุผลในการมีชีวิตของตัวเองไป
ถูกบีบให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ..คงจะคิดเช่นนั้นอยู่
“ต่อให้เธอเลือกน้องสาวก็ไม่เป็นอะไรนะ”
“แต่ว่า”
“ฉันสัญญาว่าจะทำทุกอย่างตามที่เธอคิดจะให้น้องสาว ไม่คิดจะทิ้งแน่นอน ..หรือต่อให้เลือกฉัน ฉันก็จะไม่ทิ้งน้องสาวของเธอเหมือนกัน”
ผมเดินเข้าไปและจับไหล่ของวินแน่น ก่อนจะโพล่งออกมา
“สักวันหนึ่ง โรคที่พวกเธอเป็นอยู่จะได้รับการรักษา บนโลกจะถือกำเนิดบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ขึ้นมาในไม่ช้า คนๆนั้น—เธอคนนั้นจะรักษาโชคชะตาความผิดพลาดของมานาให้แก่ทุกคนเอง คิดว่าอาจจะต้องรอสักหน่อย แต่ไม่เกินสิบปี บางอาจจะไม่เกินห้าปีด้วยซ้ำ ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี จะมีแต่แฮปปี้เอนด์รอพวกเธอสองพี่น้อง”
ได้ยินอย่างนั้นวินก็ยิ้มแบบกวนๆ
“ทำไมมั่นใจขนาดนั้นเหรอ?”
“เพราะคนที่จะช่วยพวกเธอก็คือ– ‘เบลลามี’ ยังไงละ! คนรักของฉันเก่งที่สุดอยู่แล้ว”
น่าอายก็จริง แต่
“เบลลามีมีความฝันที่จะรักษาโรคเกี่ยวกับมานา นั่นหมายความว่าพวกเธอก็คือเป้าหมายของเธอ เป็นความฝันที่เธอจะต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ เพื่อการนั้นฉันเองก็จะคอยดันหลังและสนับสนุนเบลลามีให้ทุกๆด้าน ไม่ใช่แค่เหตุผลที่อยากให้ฝันของเบลลามีเป็นจริงเพียงอย่างเดียว แต่ฉันเองก็อยากให้พวกเธอเอาชนะโชะชะตาให้ได้ ..เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทางไหน ก็ไม่เป็นอะไร สักวันหนึ่ง คนที่ฉันตกหลุมรักจนเกินเยียวยาจะช่วยพวกเธอ ไม่ใช่ความเป็นไปได้ แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
…..
“ฉันเคราพการตัดสินใจของเธอ”
ว่าแล้วผมก็โค้งศรีษะให้แก่วิน เธอรีบดึงหัวผมขึ้นมาทันทีในระดับสายตาเดียวกัน เห็นเธอทำแก้มป๋องแบบมีอารมณ์โหเล็กน้อบ
“พอเถอะน่า …ฉันจะคิดดีๆนะ ยังไงก็ยังพอเหลือเวลาสินะ ขอคุยกับน้องตัวเองอีกสักหน่อยนะ”
“อ่า เข้าใจแล้ว”
กล่าวจบ วินก็ผละตัวออกจากผม ตรงไปหาน้องสาวด้วยรอยยิ้มดั่งเดิม
ผมเฝ้ามองการสนทนาของพวกเธอต่อจากนี้อย่างนิ่งเงียบ
****
(มุมมองของวิน)
ได้ฟังความจริงที่แสนหนักอึ้งมา ฉันก็เดินย้อนกลับไปหาน้องสาวที่เปรียบเสมือนครึ่งชีวิตของฉัน ยิ้มให้เธอ ราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง และลงไปนั่งข้างๆตามเดิม
“คุยอะไรกันเหรอคะ?”
“ก็เรื่องทั่วๆไปแหละนะ ไม่มีอะไรมากหรอก”
เหมือนจะทำให้กังวลซะแล้ว
“จะว่าไป ..คุณเรเซอร์”
เอาอีกแล้วเด็กคนนี้ พูดถึงเรเซอร์อีกแล้ว ว่าแล้วเชียวว่าต้องเหมือนกับฉัน แม้จะไม่ได้แชร์ความทรงจำทั้งหมด แต่ความรู้สึกก็พอมีแบ่งกันบ้าง ทำให้รู้สึกคล้ายๆกัน การจะตกหลุมรักคนๆเดียวกันจึงไม่แปลกอะไร
ตั้งแต่ที่คุยมา ก็มีชื่อของเรเซอร์ผุดมาเรื่อยๆบ้าง สำหรับฉัน นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี .. เพราะฉันรู้ข้อดีของเรเซอร์เพียบเลยละนะ
“ว่าไงเหรอ”
“คุณเรเซอร์เขา”
จากนั้นเธอก็ถามอะไรบ้าง บอกอะไรบ้าง พูดอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเรเซอร์ มีเปลี่ยนเรื่องบ้าง มีกลับมาเรื่องเรเซอร์บ้าง ..ว่าโดยง่ายก็คุยกันหลายๆอย่างเลยละ
รู้ตัวอีกทีหนึ่ง ก็ อ้าว จะหมดเวลาซะแล้วเหรอเนี่ย พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ฉัน ..ก็ผลอยนึกถึงหลายๆอย่างขึ้นมา พลางตอบกลับน้องสาวตัวเองแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่
ชีวิตเนี่ย ..ช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าปวดหัวใจ แต่ก็แสนอบอุ่น
ฉันคิดจะตายไปแล้ว แต่ก็ไม่ตาย ถูกช่วยไว้โดยคนที่ตัวเองรักในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง และคนที่ตัวเองรักและนับถือในฐานะอาจารย์ ถึงกับยอมสละวิญญาณของตัวเองเพื่อฉัน แต่ฉันก็คิดจะทิ้งชีวิตตัวเองอีกครั้ง เป็นเรื่องที่น่ารู้สึกผิดอย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะดีใจบ้างที่ตัวฉันถูกรักถึงขนาดนี้
นอกจากเรื่องนั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึงบาปที่ตัวเองทำลงไปกับผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้ ตัวตนของฉันคงจะพรากสิ่งสำคัญหลายอย่างไปจากพวกเขา ..แต่ว่าก็ดีใจที่มีคนที่ไม่สนใจบาปทั้งหมด และเลือกฉันมากกว่า
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่ชีวิตของฉันเองก็ถูกให้ความสำคัญ ..มากกว่าที่คิดมาก
วันแรก ถูกเรียกว่าอาวุธสงคราม ..ทั้งอย่างนั้น ทำไมตอนที่กำลังจะตาย จะต้องถูกปฏิบัติเยี่ยงคนสำคัญด้วยนะ
น่าปวดใจเหลือเกิน
แบบนั้นมัน ..เกินไปแล้ว
“…”
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะ ..ไม่อยากตายขึ้นมา—
สัมผัสที่แสนนุ่มนวลผุดขึ้นบนฝ่ามือของฉัน สติถูกดึงขึ้นจากห้วงลึกของจิตใต้สำนึก
ฉันหันไปมองน้องสาวของตัวเองที่กุมมือของฉันไว้แน่น และยิ้มให้
“ทำไมถึง ..ร้องไห้เหรอคะ?”
“เอ๊ะ?”
จู่ๆก็น้ำตาไหล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังยิ้มตอบเธอตรงหน้าไปมาอยู่เลยแท้ๆ
“นะ ..นั่นสินะ ฮะ ฮะ”
ฉันปัดน้ำตาของตัวเองออก พึมพำว่า “สงสัยฝุ่นจะเข้าตา” และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ครึ่งชีวิตของฉันไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
“พี่สาว ..หนูรู้นะคะ”
“…”
นึกขอร้องในใจว่าขอให้เธออย่าได้รู้เรื่องที่ว่าเลย แต่ไม่สามารถปกปิดอะไรได้
“อีกไม่นาน พวกเราก็ต้องแยกจากกันอีกแล้วสินะคะ”
ใช่ ..เพราะอย่างนั้นแหละ ..
“หนูคิดนะคะว่าตัวเองเกิดมาพร้อมกับโชค”
ไม่จริงเลย พวกเราทั้งคู่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่แสนใจร้าย ไม่อย่างนั้นเรื่องมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้
แต่ว่า พวกเราคิดต่างกัน
“การที่พี่สาวรักตัวหนูขนาดนี้ รู้สึกดีใจจริงๆค่ะ” เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเย็นอย่างมีความสุข “วันนี้ได้พบเจออะไรหลายๆอย่าง ได้รู้วิธีการเดินที่ถูกต้อง ได้รู้จักสิ่งมีชีวิตนอกจากมนุษย์ ได้พบผืนดิน ป่าไม้ และทะเล ได้รู้อะไรน่าลำบากใจที่ว่าการรู้สึกตัวได้ว่าตัวเองกำลังหายใจอยู่ มันจะหายใจลำบากขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ..ถ้าไม่ได้พี่สาวก็คงจะไม่ได้พบเจอความเป็นจริงที่ผู้คนได้พบเจอเป็นกิจวัตรเหล่านี้ สนุกมากจริงๆค่ะ ..แต่ว่า”
น้องสาวหันมามองฉัน และยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา
“การได้เห็นพี่สาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และบางครั้งบางคราวก็กลับมาเล่าให้ฉันฟัง มันแสนสุขกว่าการได้รับครึ่งหนึ่งของชีวิตกลับมาไม่รู่กี่เท่าต่อกี่เท่าค่ะ”
….
“ถ้าเกิดหนูทำให้พี่หลับแทนตัวเอง หนูคงจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ช่วงชิงชีวิตของพี่สาวที่ใจดีถึงขนาดมอบทุกอย่างให้กับตัวหนูได้”
ใช่สินะ? ฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอ มอบทุกอย่างให้เธอ มีชีวิตอยู่เพื่อเธอ ตลอดเกือบยี่สิบปีที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีวันไหนที่ไม่นึกถึงน้องสาวของตัวเองเลย คิดมาตลอดว่าต่อให้ฉันต้องนอนหลับตลอดกาล แต่ถ้าหากเธอได้ใช้ชีวิตส่วนที่เหลือแทนก็คงไม่มีปัญหา เพราะอย่างนั้นฉันจึงมีสิทธิ์จะใช้ชีวิตต่อไปเหรอ?
ไม่ใช่ ไม่มีความคิดอย่างนั้นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่า ..ถ้าเกิดตัวเองได้รับความสุขมากกว่านี้ละก็-อาจจะคิดอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆก็ได้ นั่นคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
เพราะอย่างนั้นจะให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“..พี่เองก็คิดไม่ต่างกันหรอก พี่ไม่อยากจะทรยศ ..ไม่อยากจะชิงชีวิตที่น้องควรจะได้ใช้ต่อจากนี้”
“ถ้านั้นก็พอดีเลยนะคะ ..ในเมื่อคุณเรเซอร์เห็นว่าพี่ควรจะอยู่ต่อไป และพี่เห็นว่าหนูควรจะอยู่ต่อไป”
…
“หนูก็ขอคิดว่าพี่ควรจะอยู่ต่อไปนะคะ”
ประโยคที่ไม่อยากจะได้ยินที่สุดถูกพูดออกมาแล้ว พอเป็นอย่างนั้นก็รู้สึกหมดซึ่งเรี่ยวแรง
กำลังถูกครึ่งชีวิตของตัวเองปฏิเสธ?
“ได้ยินนะคะ ทุกอย่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ..สักวันหนึ่งหนูจะถูกช่วยใช่มั้ยคะ? อีกไม่นานจากนี้ หนูและพี่จะได้อยู่ด้วยกันเหมือนวันนี้อีก”
…..
“หนูเห็นแก่ตัวค่ะ ..อยากจะอยู่กับพี่ ไม่อยากจะแยกทางกันอีกแล้ว ไม่ได้อยู่ด้วยกันละก็ชีวิตของหนูคงเต็มไปด้วยความทรมาน หนูไม่อยากใช้ชีวิตที่ไม่มีพี่สาวอยู่ข้างๆ”
….
“หนู–”
“พอแล้วน่า ช่วยพอทีนะ”
มากไปกว่านี้ไม่ไหวแล้ว
ฉันนั่งกอดเข่า เอาหน้ามุดเข้าไปในเข่า
แอบสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเธอ ผู้เป็นน้องสาวเขยิบตัวเข้ามาโอบกอดฉัน
“ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปนะคะ”
…
“จนกว่าจะถึงวันที่พวกเราได้พบกันอีก”
เป็นน้ำเสียงที่แสนไพเราะ น้องสาวของตัวเองมีเสียงที่ดีกว่าตัวเองมาก ในขณะที่ฉันมีเสียงเหมือนเด็กกะโปโร แต่เธอมีเสียงที่เหมือนกับนักร้องผู้เลอโฉม เสียงนั่นคล้ายกับเพลงกล่อมเด็กชั้นดีที่ไม่เคยมีใครร้องไห้ฉันมาก่อน
นั่น ..เป็นเพลงที่เคยร้องให้เธอฟังเมื่อนานมาแล้ว
ตอนไหนกันนะ?
ขณะที่นึกย้อนกลับไป ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ก่อนที่จะจมลงสู่ห้วงลึกในที่สุด