เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 291

< < 185 Sec1 > >

ภายใต้ความโศกเศร้า การสูญเสียมากมายก็มีความยินดีแฝงอยู่ บางที มันอาจจะไม่ดีที่ผมจะดีใจในเวลาแห่งการสูญเสีย แต่ว่าชีวิตคนเราให้จมปลักอยู่กับความเศร้าเสียใจอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ เพราะคิดอย่างนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะพยายามกลับมาเป็นตัวเองให้ได้เสมอ

ถ้าทำอย่างนั้นไม่ไหว ผมจะเป็นผู้แพ้ทันที

เรื่องน่ายินดีที่ว่าก็คือการได้พบกันอีกครั้งกับชิน อัศวินที่ผมรับปากไว้ว่าพวกเราจะเป็นสุดยอดนายบ่าวรักเดียวใจเดียว และบัดนี้มันก็กลายเป็นจริงแล้ว  นอกจากนั้นยังได้ฟัฟนิร์แถมมาด้วยอีก บอกว่าแถมมาก็ดูจะเสียมารยาทแฮะ เอาเป็นว่าได้ฟัฟนิร์มาเป็นกำลังด้วยอีกคนก็อุ่นใจขึ้นเยอะ

ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวซึ่งถูกหิมะปกคลุมซะไม่น่านั่ง แต่ผมก็นั่งมันตรงนั้นนั่นแหละ ซ้าย และขวาของผมก็มีคนนั่งอยู่ด้วย ทั้งสองคนคือเรื่องน่ายินดีในวันนี้ ชิน กับ ฟัฟนิร์ นั่นเอง

ในทีแรกตั้งใจจะเตรียมการณ์ออกจากอาณาจักรเนลยอนโดยทันที แต่ไหนๆก็ได้พบกันอีกครั้งในรอบหลายปี จึงอยากจะพูดคุยด้วยหลายๆเรื่องน่ะนะ

“นอกจากพัฒนาการใช้ยูนา ฉันก็พัฒนาหลายๆอย่างขึ้นมาเพียบเลยนะ นอกจากเวทมนตร์ธาตุไฟที่ใช้ได้ทุกอย่าง เวทมนตร์ธาตุอื่นๆก็ใช้ได้ในระดับขั้นบรรลุสักบทสองบทเป็นอย่างต่ำ คิดว่าระดับของตัวเองตอนนี้สูงทีเดียว”

ผมพูดโม้ออกไปอย่างหน้าไม่อาย และไม่คิดที่พูดมันน่าอายเลย เพราะผมกำลังแลกเปลี่ยนบางอย่างกับชินอยู่

“สมกับเป็นท่านเรเซอร์ขอรับ ทั้งโค่นราชาจอมเวทย์ และเอาชนะวินคนนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ในเวลานี้คงไม่มีจอมเวทย์คนไหนทรงอำนาจไปกว่าท่านแล้วขอรับ”

“พูดก็พูดเถอะ ทางนายก็ใช่ย่อยนะชิน เล่นปัดป้องการโจมตีของเอเธอร์ตรงๆได้อย่างเนี้ย ฉันทำไม่ได้หรอกนา จริงๆแล้วก็พัฒนาขึ้นมาเยอะเหมือนกันไม่ใช่รึไง?”

พูดถึงสัตว์ประหลาดอย่างเอเธอร์ ถ้าผมต้องไปคลุกวงในกับมัน คงต้องอาบตัวเองด้วยวิหคอมตะตลอดเวลากระมังถึงจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้

“นั่นสินะขอรับ ทางผมที่ได้หัวใจครึ่งหนึ่งของท่านฟัฟนิร์มาก็ทำให้มีพลังกายที่มากยิ่งขึ้น และอำนาจของมหามังกรขอรับ ทว่าตัวผมในตอนนี้ไม่อาจใช้งานเวทมนตร์ใดๆได้เลย ทำให้ความหลากหลายนั้นน้อยนิดเสียจนน่าลำบากใจ จึงทดแทนด้วยการใช้ดาบมนตรา ‘เซกเฟียร์’ ในการร่ายมนต์แทน”

หนึ่งในเจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา ดาบมนตรา ‘เซกเฟียร์’ เป็นดาบที่ทรงพลังในด้านของคุณภาพดาบ และในความสามารถพิเศษที่สามารถร่ายเวทมนตร์จากตัวดาบได้ แถมการร่ายเวทมนตร์ของเซกเฟียร์ก็ยกระดับเวทมนตร์ขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งในด้านพลังทำลาย และความรวดเร็วของการร่าย หากใช้ก็เปรียบเสมือนว่ามีมือมีเท้าเพิ่มให้แก่ผู้ใช้

แม้จะไม่ได้มีความสามารถหวือหวา ผิดกับอาวุธตระกูลเดียวกันอย่าง ดาบมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ รึ ‘ดาบทลายโลกา’ ของซาตานอันเป็นต้นตระกูลของอาวุธทลายโลกาทั้งหมดทั้งมวลก็จริง แต่มันก็มีความสามารถที่คงที่ในทุกๆด้าน และไว้วางใจได้ ต่างกับหลายๆชิ้นที่เป็นอาวุธที่ดูน่ากลัวในความยากจะเข้าใจได้

นอกจากความแข็งแกร่งอันมั่นคง ก็คือความสง่างามที่คู่ควรกับชิน …หากไม่มองที่ต้นกำเนิดของมันที่มาจากการตัดวงจรเวทย์ของราชาจอมเวทย์ในหลายยุคสมัยก่อนมาบดเป็นวัตถุดิบ และสร้างมันขึ้นมาละก็ …นะ

เอาเป็นว่าพัฒนาขึ้นมากจริงๆ ไม่ใช่แค่ที่ชินพูดออกมา สิ่งที่ผมเห็นได้จากการปะทะกับเอเธอร์ก็ด้วย สไตล์การต่อสู้ของชินแม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจะวิเคราะห์ในขั้นเบื้องต้นได้บ้าง

“ผมอาจจะไม่ได้มีพลังทำลายล้างสมกับฐานะมหามังกร แต่ว่าผมมั่นใจในการยืนระยะของตัวเองขอรับ ผมสามารถเป็นดาบให้ท่านเรเซอร์ได้จวบจนวินาทีสุดท้ายขอรับ”

ใช่แล้ว จุดเด่นที่สุดของชินก็คือความหลากหลายในการต่อสู้ เทคนิคมากมายที่สามารถใช้ได้จากอำนาจมหามังกร เซกเฟียร์ และวิชาดาบ ส่งผลให้เด่นในด้านของการยืนระยะเป็นอย่างมาก แม้แต่คู่ต่อสู้ระดับสูงอย่างเอเธอร์ หากไม่ตั้งใจสู้ให้ดีก็ยากจะฝ่าด่านของชินมาได้

เป็นพลังที่วิเศษสมกับเป็นชิน!

“ไม่มีปัญหาเลย กลับกัน น่ายินดีสุดๆต่างหาก”

“ได้ยินเช่นนั้นตัวผมก็ยินดีอย่างยิ่งขอรับ”

“ให้ตายสิ แบบว่าอยากจะร้องไห้ออกมาเลย การได้เจอกับนายอีกครั้งไม่ต่างอะไรกับการถูกรางวัลที่หนึ่งเลยละ ชิน!!”

“ท่านเรเซอร์ ..”

พวกเราสองคนยิ้มให้กัน จ้องตากัน ราวกับว่าเข้าใจกันและกันเองดีกว่าใครๆ ระหว่างที่ผมและชินกำลังอวยกันไปอวยกันมาอยู่นั้นเอง ฟัฟนิร์ที่นั่งอยู่ทางซ้ายจากผมก็นั่งขมวดคิ้วแบบเซ็งๆ

เหมือนจะไม่มีบทอะไรเลย ในฐานะนายจ้าง จำเป็นต้องปลุกพลังใจหน่อย

“ฟัฟนิร์เธอเองก็ ..ได้เจอกับเธอ โชคดีเหมือนกับเจอตังค์ตกอยู่กับพื้นเลย”

“ขืนไม่หยุดดูหมิ่นข้า จะปลดคำนำหน้า ‘ต้าว’ ของเจ้ามันซะเดี่ยวนี้เลย!!”

ผมทำเมินใส่ฟัฟนิร์ และหันหน้าไปหาชินต่อ

“โทษทีๆ ..จะว่าไป น้องชายของนายทำฉันได้แสบมากเลยนะจะบอกให้”

“..เรย์ทำอะไรไปบ้างหรือครับ”

ชินมีท่าทางเกร็งนิดหน่อย เขายิ้มให้ผมอย่างเสแสร้งผิดธรรมชาติ เรื่องที่น้องชายของตัวเองกวนส้นเท้าผมอย่างหนักมันน่าจะสร้างความอับอายขายขี้หน้าให้ชินไม่น้อยเลยละนะ

“วันแรกที่เข้าเรียน ไอ้บ้านั่นมันโบ้ยความผิดให้ฉันเป็นโจรขโมย กกน. แทนมัน”

“นะ ..นั่มมัน ..ค่อนข้าง”

ไร้สาระ และ

“เลวร้ายสุดๆเลยนะขอรับ”

“ทีงี้ฉันก็ต้องแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ไอ้คนผิดตัวจริงถ้าปล่อยไปได้โดนรุมกระทืบจนตายแหงๆเลยต้องช่วยไว้ และรับผิดแทน จนเกือบเสียเพื่อนสนิทไปสองคน ไอ้ตัวต้นเรื่องที่ทำให้ฉันมีปัญหาแบบเรย์ก็ลอยตัวโผล่มาก่อกวนฉันเป็นระยะๆตลอด”

ผมพยายามพูดใส่ร้ายเรย์เต็มที่ ไม่คิดรู้สึกผิดหรือเกรงใจเลยแม้แต่น้อย ใช่สิ นี่คือเวลาเอาคืน จุดอ่อนทางจิตใจของเรย์คือพี่สาวที่รักคนนี้นี่แหละ ถ้าจะเล่นมัน ก็ต้องเล่นที่จุดๆนี้ถึงจะถูก

ผมแสยะยิ้มและพล่ามออกมาไม่หยุด

“นี่ก็คิดอยู่เลยว่าถ้าเจอหน้าเมื่อไหร่จะซัดให้คว่ำสักรอบเป็นการทักทาย”

“เป็นไปได้ ..โปรดเบามือด้วยนะขอรับ ผมจะช่วยจับกุมเขาให้เอง”

เป็นอันตกลง เหอะๆๆ ได้เวลาเอาคืนแล้วไอ้เบื้อกเรย์ จะเอาให้จมดินเลยคราวนี้ จะให้ลิ้มรสความรู้สึกที่โดนคนรักของตัวเองล็อคแขนล็อคขา แล้วโดนผมซัดให้ดูเองเป็นการตอบแทนที่ดูแลกันอย่างดีเยี่ยมในวันแรกๆ

อนึ่ง อาจจะไม่ได้ทำอะไรที่มันรุนแรงมาก แต่ก็ตั้งใจจะเล่นงานจากใจจริง

ระหว่างที่วางแผนเอาคืนอยู่ก็นึกสงสัยบางอย่างขึ้นมาได้ ผมหันไปมองฟัฟนิร์ จ้องอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม

“ฟัฟนิร์เธอเคยเป็นศัตรูกับมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ รึเปล่า?”

พูดถึงเรย์ในตอนนี้ก็พึ่งได้ดาบเล่มใหม่มาไม่นานมานี้เอง อย่างดาบมังกรเหล็ก ‘บรามุนต์’ โดนถามอย่างนั้นฟัฟนิร์ก็มีสีหน้าแหยงๆขึ้นมาทันใด ทำให้ไม่ยากต่อการคาดเดานัก

“เคยโดนฆ่าประมาณสี่รอบได้น่ะ แต่โดนไล่ฆ่าจริงๆแค่รอบเดียวนะ คือว่าข้าเผลอเดินเข้าไปในถิ่นของมันเข้า จากนั้นด้วยความซวยอะไรไม่รู้มันถึงไม่พอใจ แล้วมาไล่ฟัดฆ่าจนสิ้นชีพ ฉลาดด้วยนะว่าข้าสามารถฟื้นคืนชีพได้ มันก็เลยเก็บข้าไว้ในรังของมัน เพื่อรอข้าฟื้นและทำการทดลองประหลาดๆอย่างการคิดจะช่วงชิงความอมตะของข้าไป ..”

ในหน้าประวัติศาสตร์เหมือนจะบันทึกมังกรตนนี้ไว้ว่าเป็นมังกรที่สามารถกลืนกินได้ทุกอย่าง ก่อนจะกลายมาเป็นมังกรมีนามอย่าง มังกรเหล็กบรามุนต์ ซึ่งมาจากการที่มันได้กลืนกินแร่สุดทรงพลังจากในยุคสมัยนั้นเข้าไป และแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองไปตามพลังที่ได้รับมา จึงอาจไม่แปลกที่มันอาจจะดูดซับพลังของสิ่งกินได้เลยทำการทดลอง ..ที่น่ากลัวพิลึกกับฟัฟนิร์

แต่ว่าเท่าที่ฟังไม่ใช่ว่าบรามุนต์มันโผล่มาล่าฟัฟนิร์กลับเข้ารัง แต่เป็นฟัฟนิร์เองที่เผลอเดินมั่วแล้วหลุดไปในเขตุของบรามุนต์มากกว่า แบบว่า สมกับเป็นฟัฟนิร์ผู้ใช้ความอมตะได้อย่างคุ้มค่าดี

“ก่อนที่ความตายหนที่ห้าของข้าจะมาถึง โชคก็เข้าข้างพอดี เวลานั้นเทพดาบ และนักดาบผู้เป็นลูกศิษย์ก็ได้เข้ามาหมายจะพิสูจน์ฝีมือตัวเอง ผู้เป็นลูกศิษย์จึงได้เข้าต่อสู้กับบรามุนต์พร้อมกับดาบคู่ใจ นั่นเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก แม้ฝ่ายนักดาบหนุ่มนั่นจะเสียเปรียบ แต่ก็สู้ได้ดีประหนึ่งว่าทำการบ้านมาแล้วนับไม่ถ้วน กระนั้นบรามุนต์ยังเห็นว่าเป็นเพียงนักดาบที่ไร้พิษภัยอะไรหากเทียบกับเทพดาบจึงใส่เต็มแรงแบบไม่คิดอะไร คิดโง่ๆกะจะใช้แรงบดขยี้นักดาบผู้นั้น จนโดนวิชาดาบแปลกๆสวนเข้า และตัวขาดครึ่งเลยละ ฮะ ฮะ ข้าล่ะสะใจจริงๆ พอเห็นไอ้มังกรเถื่อนนั่นโดนเล่นงานเข้า”

เท่าที่ฟัง ฟัฟนิร์เองก็รู้จักเทพดาบในระดับหนึ่ง จึงพอรู้ว่าเทพดาบตัวจริงใช้ชีวิตมาเป็นพันปีแล้ว ไม่ใช่ว่าผลัดเปลี่ยนตำแหน่งกันไปแต่ละยุคสมัยตามที่คนทั่วๆไปเข้าใจกัน

เทพดาบ ‘แกนน่อน’ และ ลูกศิษย์ผู้จะได้รับนาม ดาบมังกรเหล็กในอนาคต ‘เกรย์’ สินะ

ดูจากที่ฟัฟนิร์เล่าแล้วมันคือไทม์ไลน์ที่ห่างกับตอนนี้ไม่มาก อาจจะหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีทางเกินร้อย หรือห้าสิบปี เพราะว่า-

“เมื่อเห็นมังกรนั่นตาย ก็เห็นโอกาสดีๆ ข้าเลยรีบเผ่นหนีทันทีเลยน่ะนะ สถิติการตายของข้าจึงถูกหยุดอย่างสวยงาม หึหึ”

สีหน้าภูมิใจนั่นมันอะไร หล่อนก็แค่โชคช่วยไม่ใช่หรือ นี่ถ้าไม่หนีมา มีหวังโดนเทพดาบฆ่าไปด้วยอีกคนไม่ใช่หรือไง ผมละอดเป็นห่วงวิถีชีวิตของฟัฟนิร์ไม่ได้เลย เหตุผลสำคัญที่รับเข้าทำงานคือคิดว่ายัยนี่ไม่น่ามีชีวิตรอดได้ถ้าไม่มีคนคอยดูแล

“จากนั้นสามปี ลูกศิษย์ผู้นั้นก็ได้รับนาม ‘ดาบมังกรเหล็ก’ แทนฉายาเดิมอย่าง ‘ดาบหวนคืน’ และไม่นานต่อจากนั้นก็กลายเป็น ‘เทพดาบ’ ในนามของยุคสมัยนี้แทน”

นั่นคือไทม์ไลน์ชีวิตของเทพดาบและดาบมังกรเหล็กที่ผมเคยเผชิญหน้าด้วยบนเกาะวาเรอร์นั่นเอง แบบนี้นี่เอง พอจะไขข้อสงสัยของผมเกี่ยวกับดาบบรามุนต์ของเรย์ได้ไม่น้อยเลย ให้ว่าตามตรง ในหมู่อาวุธทลายโลกาทั้งเจ็ดสิบสองชิ้น ดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ดูเป็นอาวุธที่เต็มไปด้วยปริศนามากที่สุดน่ะนะ เพราะเป็นดาบที่ทำมาจากมังกรที่ผู้คนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย จู่ๆก็โผล่มา กลืนกินหลายสิ่งหลายอย่าง มีชีวิตอยู่อาจจะไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำก็ถูกสังหาร

ถ้าหากอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย อาจจะกลายเป็นมังกรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวตนหนึ่งบนโลกได้ไม่ยากเลยกระมัง

“ซวยแท้ๆนะที่บังเอิญไปเจอตัวอันตรายแบบหล่อนเข้า”

“นั่นสินะขอรับ ท่านฟัฟนิร์มีสิ่งเย้ายวลแปลกๆที่จะดึงดูดตัวตนจำพวกนั้นน่ะครับ”

“มากกว่านี้ข้าร้องนะ จะยึด ‘ต้าว’ ไปจากพวกเจ้าสองคนด้วยนะบอกก่อน ไม่ได้โกหกนะ”

การหยอกล้อฟัฟนิร์นั้นสนุกกว่าที่คิด แต่ทำมากไปก็อาจทำให้เสียศรัทธาและสูญเสียคำนำหน้าแสนล้ำค่าไปได้ ผมจึงคิดว่าควรหยุดแกล้งฟัฟนิร์แต่เพียงเท่านี้จะเป็นการดีกว่า

 

****

เมื่อคุยเรื่องที่อยากคุยจนจบเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบตรงไปที่พักซึ่งมี โทมิเรีย เคียวยะ เมอัน และอานิม่าอยู่

เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าโทมิเรียกำลังนั่งเขียนอะไรอยู่บนโต๊ะ เมอันนอนอยู่บนตักของเคียวยะ ส่วนเคียวยะ และอานิม่าก็มองมาทางผม และแขกอีกสองคนที่เพิ่มเข้ามา

“อะแฮ่ม จะบอกว่าฉันได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มหนึ่งคน แล้วก็อาจจะกระทันหันไปหน่อย แต่ฉันมีอัศวินข้างกายตามทำเนียมปฏิบัติในฐานะขุนนางแล้วน่ะนะ”

ผมพูดพลางเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับอีกสองคน และก็เริ่มผายมือแนะนำ

“คนแรกลูกจ้างฉันเอง ชื่อ ‘ฟัฟนิร์’ เป็นมหามังกรเพลิง แล้วก็คนต่อไป ..”

“อ่า คนต่อไป”

“จะว่าไปหน้าคุ้นๆนะคะเนี่ย”

“เดี่ยวก่อนค่ะๆ!! เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ ท่านสุภาพบุรุษเพลิงสังหาร!”

โทมิเรียดูตกใจต่างกับทุกคน เห็นอย่างนั้นผมจึงพูดทวนอีกครั้ง

“มหามังกรเพลิง ฟัฟนิร์เองจ้า”

“เองจ้า”

ฟัฟนิร์เลียนแบบเสียงผมตามแบบมีอารมณ์ขัน แต่โทมิเรียไม่ยักจะขำตามไปด้วย

“ศะ ศักดิ์เทียบเท่าเนลยอนเลยไม่ใช่หรือคะ? ทำไมถึงลากมาเป็นลูกจ้างได้ ไม่สิ เจอกันยังไง ..ไม่สิๆ แล้วพวกคุณสองคนไม่ตกใจหน่อยหรือคะ?”

เมื่อเห็นว่ามีตัวเองคนเดียวที่ตกตะลึง จึงหันไปหาเพื่อนทั้งสองคน เคียวยะกับอานิม่านั่นเอง เมอันนั้นหลับอยู่จึงช่วยอะไรมากไม่ได้

“แปลกตรงไหน ยัยเด็กที่นั่งตรงนู้นยังน่าตกใจกว่าอีก” เคียวยะใช้คางชี้ไปที่อานิม่าที่นั่งกลมกลืนไปกับทุกคน ดูจืดๆไม่มีอะไรเด่น “ให้เทียบระหว่างเทพที่โดนแยกส่วนเป็นสี่ส่วน กับเทพตัวเป็นแบบเทพแห่งจิตวิญญาณระดับผิดกันเยอะ”

“ก็เข้าใจค่ะ แต่ ..เดี่ยวนะคะ คุณอานิม่า!?”

อานิม่าได้ยินก็ถอนหายใจ ก่อนลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพเรียบร้อย และเริ่ม–

“ขอโทษนะคะ จริงๆแล้วตัวฉันคือ ‘เทพแห่งจิตวิญญาณ’ ผู้ที่เมื่ออดีตกาลเก็บตัวอยู่ในป่าอาถรรพ์ค่ะ เนื่องจากพึ่งออกมาแตะหญ้าจึงอาจไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับโลกบ้างก็พร้อมจะรับฟังโดยไม่ถือตัวค่ะ”

–แนะนำตัวอย่างที่พนักงานบริษัทเขาทำกัน

“…อะ ..เอาจริงหรือคะ?”

“เห็นมั้ย ยัยนี่น่าตะลึงกว่าเยอะ”

“ก็ใช่ค่ะ แต่ว่าระดับมหามังกรยังไงๆมันก็ ..แต่ว่ามีระดับเทพเป็นพวกอยู่แล้วก็ไม่แปลก ไม่สิ แต่แค่หนึ่งเอง? ไม่สิ ฉันชักจะเป็นฝ่ายแปลกเองซะแล้วสิ แล้วเล่นแนะนำตัวกันแบบโต้งๆอย่างนี้มันก็อาจจะธรรมดา? ..ไม่เข้าใจเลยค่ะ!! ไรเดน ช่วยด้วย!!”

โทมิเรียจับหัวตัวเองและหมุนไปมา อานิม่าหรี่ตามองเคียวยะที่ชี้มาทางตัวเองเหมือนชี้อะไรที่มันแปลกประหลาด

“จะว่าไป คุณเคียวยะก็เป็นถึงผู้ถือครองอำนาจของเทพแห่งปัญญา ‘อาเธียน่า’ ไม่ใช่หรือคะ? ตัวตนของท่านไม่ต่างกับเทพที่กลับมาเกิดใหม่เลยนะคะ ทั้งยังเป็นถึงผู้ครอบครอง HOPE อันน่าหวาดกลัวนั่นอีก จะมองว่าฉันแปลกคนเดียวไม่ได้นะคะ คิดว่า”

“นั่นสิเนอะ”

เห็นด้วยเลยละ เคียวยะน่ะชอบพูดหรือแสดงออกแบบไม่ดูตัวเองเลย นิสัยนี้ควรปรับนะ

“นั่นสิเนอะอะไรกันคะ!? ท่านรู้รึเปล่าว่าตัวเองตอนนี้กลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว? ..เทพแห่งจิตวิญญาณ เทพแห่งสติปัญญาที่ถือครอง HOPE ..มหามังกรเทียมที่หลับอยู่ มหามังกรเพลิง ตัวท่านเรเซอร์ก็ ..นี่มัน กองกำลังระดับแนวหน้าของอาณาจักรมหาอำนาจเลยนะคะ แถมยังมีกันตั้งห้าคน ไม่สิ ..”

“แฮะๆ ใช่ๆ ข้าสุดยอดระดับนั้นเลยแหละ พูดได้ดี่นี่ เจ้ามนุษย์”

เหลืออีกคนสินะ อ๊ะ แต่จริงๆถ้าเทียบกับกองกำลังดเพื่อรักษาน้ำใจฟัฟนิร์ ปล่อยให้ฟัฟนิร์เคลิบเคลิ้มไปกับความสุดยอดของตัวเอง

เอาเป็นว่า แนะนำชินต่อดีกว่า ว่าแล้วผมก็ผายมือไปทางชิน เห็นดังนั้นชินก็โค้งศรีษะให้อย่างสง่างามจนโทมิเรียแอบแปลกใจในมารยาทที่ชินมีระดับแนวหน้า อย่าง ไรเดน อาคาสะ หรือว่าเบ็นจิโร่แล้ว ตัดฟัฟนิร์ไปจะเข้าเค้ากว่านะ แต่ผมเลือกจะไม่พูต่างกับคนอื่นๆในที่แห่งนี้ รวมถึงตัวผมด้วย

“ชื่อ ‘ชินดร้า’ แต่เรียกว่า ‘ชิน’ จะเป็นการดีกว่าขอรับ ปัจจุบันนี้ได้ทำพันธสัญญาเป็นอัศวินข้างกายของท่านเรเซอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นการเป็นดาบให้แก่พวกคุณทุกคนก็คือหน้าที่ของผมเช่นเดียวกันตามความปารถของท่านเรเซอร์ ..ประวัติก่อนหน้านี้ของผมก็ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อยขอรับ”

“ให้สรุปเลย ชินไปเข้าร่วมสงครามแล้วเผอิญตายเข้าน่ะ ก็เลยได้ฟัฟนิร์มาช่วยชีวิตไว้โดยการแบ่งหัวใจให้ครึ่งหนึ่ง ให้ว่าตามสถานะก็ถือว่าเป็นมหามังกรเหมือนๆกับฟัฟนิร์นั่นแหละ อย่างที่เห็นชินนั้นอัธยาศัยดีสุดๆ เป็นอัศวินที่ฉันเล็งไว้ตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว เป็นบคลากรที่ยอดเยี่ยมสุดๆ สามารถวางใจให้ชินได้เต็มที่เลยนะ”

ผมแนะนำปนอวยชินอย่างไม่ปิดบัง ฟัฟนิร์ส่งสายตาคาดหวังอะไรแปลกๆมาให้ พอเห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาอะไรก็ทำแก้มป๋องใส่ เคียวยะกับอานิม่าพยักหน้ารับทักทายของชินโดยไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนโทมิเรียนั้น ..

“จะว่าธรรมดาก็ไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่นะคะ ..แต่เทียบกับคนอื่นแล้วก็เหมือนคนปกติดีค่ะ มาสนิทกันไว้นะคะ คุณชิน”

“อ๊ะ นึกออกแล้วค่ะ คุณคืออัศวินที่เข้าต่อสู้กับ ‘ลิเวียธาน’ ได้อย่างสูสีนี่เอง เป็นบุคลากรที่ยอดเยี่ยมอย่างที่คุณเรเซอร์พูดไว้จริงๆเลยนะคะ”

“สะ สูสีกับมหาบาปแห่งความริษยา!?”

โทมิเรียหันควับมาทางชินอีกครั้ง และใช้ตาคู่นั้นสอดส่องทั่วทั้งร่างของชิน ก่อนจะพบกับ ดาบมนตรา อันเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองอาวุธทลายโลกา และเจอเข้ากับภูเขาสองลูกบนอกของชิน

“ผะ ผู้หญิงหรอกเหรอคะเนี่ย!!?”

เออสิจ๊ะ นมจะทิ่มหน้าอยู่แล้วนั่น

“ขออภัยด้วยนะขอรับท่านหญิงโทมิเรีย ตัวผมมักถูกเข้าใจผิดบ่อยๆด้วยเหตุผลบางประการ โดยปกติจะปิดบังสิ่งนี้ด้วยผ้าพัน แต่ด้วยงบประมานที่ไม่พอใช้ของตัวผมและท่านฟัฟนิร์ ทำให้ต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปขอรับ”

“ฟะ ฟัฟนิร์ นี่เธอเป็นนายจ้างประสาอะไรกัน!?”

“มหามังกรมีคติไม่ข้องแวะกับเงินทองนะจะบอกให้!”

“หาไม่ได้สิไม่ว่า!”

ฟัฟนิร์ทำท่าจะเถียง เช่นเดียวกันผมก็กะจะสู้เพื่อสิทธิ์ของชินสุดชีวิตสักหน่อย ส่วนชินก็มีทีท่าจะเข้ามาห้ามสงครามน้ำลายระหว่างพวกผมโดยเร็ว ทว่าโทมิเรียกลับโพล่งขึ้นมาก่อน

“ท่านเรเซอร์ ..ไม่ใช่ว่ามีมากกว่านี้อีกนะคะ?”

พูดถึงคนที่ร่วมมือกับผมในปัจจุบันสินะ

“อ่า ..ก็พอมีอยู่ แต่ตอนนี้แยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเองน่ะนะ”

อย่าง หนิง เรย์ หรืออย่างภูตในป่ามหาภูต แล้วก็วิน กระมัง?

“มีอีกสินะคะเนี่ย ..ท่านเรเซอร์”

“ว่าไง?”

โทมิเรียหรี่ตามองผมแบบเหนื่อยๆ

“ที่ท่านมีคือกองกำลังระดับอาณาจักรมหาอำนาจเลยไม่ใช่หรือไงคะนั่น?”

หากพูดในแง่ของบุคลากรระดับท็อปโลกก็คงจะใช่ แต่ผมยังขาดอะไรหลายๆอย่างอีกมาก เพราะผมไม่ใช่ผู้ปกครององค์กรหรืออาณาจักรใดทั้งนั้น เป็นเพียงกลุ่มคนที่คิดริเริ่มทำอะไรบางอย่าง พร้อมกับคนที่มีความปารถนาไปในทางเดียวกันก็เท่านั้น พูดถึงคนที่อยู่ภายใต้อำนาจของผมจริงๆมีแค่ ชินกับฟัฟนิร์สองคนนี่แหละ แล้วก็มีทีท่าจะโดนตัวขี้โกงอย่างยูจิเล็งอยู่ด้วย

อีกอย่าง ศัตรูของผมคือใครกัน? 

ผมครุ่นคิดพลางหรี่ตาลง

“แค่นี้อาจจะไม่พอก็ได้”

“ไม่พอ?”

“ใช่”

เรนตายไปแล้ว องค์กร ลัทธิ ของเรนไม่นานคงจะโดนไล่เก็บจนหมดโดยคนของอาณาจักรมหาอำนาจที่ร่วมมือกัน ต่อจากเรน— 

จอมมาร? พวกปีศาจมหาบาป? ก็อาจจะใช่ แต่ไอ้เวรที่ผมต้องไปคิดบัญชีด้วยที่สุดไม่ใช่พวกนั้นหรอก ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผมแค่พยายามกำจัดตัวขวางทางที่น่ารำคาญตัวหนึ่งทิ้งให้ได้ และก็ทำสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของสุดยอดนักรบผู้นั้น

ต่อจากนี้นี่แหละคือของจริง ..ผมจะเข้าร่วมสงครามตั้งแต่จุดเริ่มต้นของโลก—ได้เวลาเข้าสู่การต่อสู้แย่งชิง ‘สมบัติสวรรค์’ แล้ว

อานิม่ามองมาที่ผม และยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“พร้อมแล้วนะคะ”

เธอพึมพำขึ้นมาอย่างนิ่งเงียบ คล้ายกับตอนกลับความในใจของผม สมกับเป็นเทพแห่งจิตวิญญาณผู้เข้าใจในจิตวิญญาณของผู้คน

“ท่านโทมิเรีย กระทันหันหน่อยนะครับ” ผมยิ้มออกมา “แต่พวกเราจะออกเดินทางตั้งแต่คืนนี้เลย”

นอกจากสงครามการแย่งชิงสมบัติสวรรค์ ก็มีเรื่องของเอเธอร์ที่แปลกไป ผมจำเป็นต้องรีบกลับอาณาจักรฟัฟนิร์โดยเร็ว จึงไม่มีเวลามาถอนหายใจเล่นหรอก ในเมื่อเคลียร์ธุระ อธิบายทุกอย่างจนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปต่อ

เพราะต่อจากนี้ต่างหากคือของจริง

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset