< < 187 Sec1 > >
เพียงชั่วพริบตาเดียวของเวลาพักผ่อน ยามเช้าก็ได้มาเยือน ตัวผม และทุกๆคนที่จะต้องออกเดินทางตื่นขึ้นโดยที่นัดหมายเอาไว้ พวกเราจัดเตรียมข้าวของขึ้นรถม้าสำหรับเดินทาง อาบน้ำแต่งตัว ทำอะไรหลายๆอย่างให้เรียบร้อย
คนที่จะไปต่อมีแค่ ผม ชิน ฟัฟนิร์ เคียวยะ อานิม่า แล้วก็เมอัน นอกเหนือจากนั้นจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว รอให้เรื่องทุกอย่างนั้นจบ
ร่างของจาย่า ผมพาวินไปส่งให้เซเนียเวลาเช้าตรู่แล้ว ทีแรกตั้งใจจะแบกไปส่งเอง แต่วินก็ขอมาด้วย ส่วนโทมิเรียก็นั่งรอส่งพวกผมที่หน้าโบสถ์
เคลียร์ธุระทุกอย่างจนจบแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทาง
บาทหลวง ซิสเตอร์ โทมิเรีย วิน แล้วก็ลีน่า ต่างตื่นแต่เช้าเพื่อมาลาพวกผม เป็นเรื่องที่น่าขอบคุณอย่างยิ่ง
“ถ้านั้นก็”
“เรเซอร์”
วินเดินมาข้างหน้า และจูบลาผม
“ “ “เอ๊ะ?” ” ”
ทุกคนพากันตกใจ โดยเฉพาะลีน่าที่ตกใจจนเอามือมาปิดหน้าของตัวเอง
ยังดีที่แค่จูบตรงแก้ม ทำให้มันไม่ได้วุ่นวายอะไรมาก รวมถึงไม่โดนยูนาแหกปากด่าในหัวด้วย วินค่อยๆผละร่างของตัวเองออกจากตัวผม และยิ้มให้
“ฉันจะปกป้องทุกคนที่นี่เอง แล้วก็ ..จะแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็จริงที่ไม่สามารถสู้เคียงข้างเรเซอร์ได้เท่ากับเมื่อก่อน แต่ว่า–จะให้อยู่ในระดับที่วางใจให้ระวังหลังได้เอง”
ด้วยความที่เป็นหนุ่มซิงผมเลยอึ้งหน่อยๆ เล่นเอาสติเกือบหลุดเลยละ อยู่ในสภาพที่ยืนนิ่งๆพลางเอามือลูบแก้มตัวเองแบบทั้งเขินทั้งงง ช่างน่าละอายใจ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆเพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง ก่อนปั้นยิ้มตอบ
“ฝากด้วยนะ”
“อื้อ!”
จากนั้นผมก็หันไปโค้งศรีษะให้บาทหลวง และซิสเตอร์ ก่อนจะหันไปมองโทมิเรีย
“โทมิเรีย ฉันทำได้แค่ชดใช้สิ่งที่เสียไปอย่างไม่ยุติธรรมให้เธอ ที่ให้อาจจะไม่ถูกใจเธอ หรืออะไรฉันก็ขอโทษด้วย แต่ฉันให้สัญญาว่าจะรับผิดชอบชีวิตของเธออย่างถึงที่สุดเอง”
คนละอารมณ์กับวิน สำหรับโทมิเรีย เธอคือผู้เสียหายที่ผมต้องรับผิดชอบชีวิตให้ คิดเสียว่านี่คือการตอบแทนเธอที่ร่วมต่อสู้กับผม และ ..
“คิดว่านี่คือการตอบแทน ไรเดน อาคาสะ ด้วยก็ได้”
ถ้าไม่ได้คนๆนี้ ผมคงจะเอาชนะเรนไม่ได้ หรือไม่ก็ เรื่องราวอาจลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ก็เป็นได้
“ถ้าไรเดนได้ยิน เขาจะต้องดีใจแน่ๆค่ะ ..ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ”
โทมิเรียโค้งศรีษะให้ผมอย่างงดงาม ผมพยักหน้ารับ สุดท้ายก็ ..ลีน่า
ผมไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เอื้อมมือไปลูบหัวเธอราวสองสิ ก่อนจะผละตัวออก และหันหลังเตรียมขึ้นรถม้าทันที
“ท่านเรเซอร์?”
“ออกเดินทางกันเลยดีกว่า”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางมุ่งสู่อาณาจักรฟัฟนิร์
****
ระหว่างทางที่รถม้าเคลื่อนที่นั้นมีรถม้าอยู่ทั้งหมดสองคัน ได้แก่ คันแรกที่เคียวยะ อานิม่ากับเมอันอยู่ คันสองที่ผม ชิน และฟัฟนิร์อยู่ คันที่เหลือที่ช่วยพาโทมิเรียกับวินมาส่ง ผมก็ส่งกลับศูนย์แล้ว
ผมนั่งอยู่ภายในรถม้า พลางเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ชมวิวทิวทัศน์ฆ่าเวลา
“ชิน”
“ขอรับ?”
“นายคิดว่ามนุษย์สามารถที่จะคว้าทุกอย่างมาได้โดยไม่ต้องเสียอะไรรึเปล่า?”
“หมายถึงอะไรหรือครับ?”
“สมมุติว่าถ้าอยากจะช่วยคนพร้อมกันสี่คนในสถานการณ์ที่ยากลำบากน่ะ”
ชินได้ยินก็เงียบไป คงจะครุ่นคิดอย่างจริงจังเพื่อให้คำตอบแก่ผมอยู่
“คงเป็นไปได้ยากขอรับ ..ระหว่างที่ออกเดินทางกับท่านฟัฟนิร์ก็ทำให้ผมพบเจอกับอะไรหลายๆอย่าง—ปัญหาของตัวเอง ถ้าหากไม่แก้ไขด้วยตัวเองแล้วรอให้คนอื่นมาช่วยมันไม่ได้หรอกครับ หรือต่อให้มีคนมาช่วย แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ไม่คิดจะพยายามสักหน่อยมันก็ไม่ได้เช่นกันขอรับ หรือต่อให้ทั้งพยายามแล้ว ให้ความร่วมมือแล้ว บางปัญหาก็ต้องเป็นไปตามที่สมควรอยู่ดี หากว่าชะตาลิขิตให้ช่วยไม่ได้ มันก็คงลิขิตไว้เช่นนั้นขอรับ กลายเป็นว่าการใช้ชีวิตโดยยึดเอาตัวเองเป็นหลักคือสิ่งที่สมควรที่สุด เพราะโลกใบนี้มีแต่เรื่องที่แสนยากลำบากขอรับ”
ไม่ใช่แค่ต้องมีพลัง ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือด้วย บางทีอะไรหลายๆอย่างก็ไม่เอื้ออำนวยด้วย ทั้งหมดทั้งมวล เกิดจากการที่โลกใบนี้มันไม่ได้ง่ายดาย เพียงดีดนิ้วทุกอย่างก็จะปรากฏให้ตามใจปารถนา
ต้องเลือกสินะ? ..
“ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นเลยนี่ ต้าวเรเซอร์”
ฟัฟนิร์เอ่ยขึ้นมาขณะที่กำลังยัดขนมเค้กมีราคาเข้าปากแบบตะกละ ตั้งแต่ที่ออกเดินทาง เธอยังไม่หยุดกินเลยแม้แต่วินาทีเดียว ชวนให้คิดว่าร่างกายเล็กๆแบบนี้จะเอาที่ไหนเก็บอาหารจำนวนขนาดนั้นกันนะเลยละ
“สุดท้าย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่แล้วนี่ ถ้าช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ แต่เพราะช่วยได้ ถึงได้คิดจะช่วย ข้าคิดว่าคิดแค่นี้ก็พอแล้วละ แต่เดิมการคิดจะช่วยใครมันก็ไม่ใช่ภาระใครเลย นอกจากภาระของต้าวเรเซอร์ที่หามาใส่ให้ตัวเอง ข้าไม่เข้าใจเรื่องยุ่งยากหรอก แต่ให้พูด อยากจะใช้ชีวิตยังไงก็ใช้ไปเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว มนุษย์ก็ต้องถูกย่อยไปเป็นมานาอยู่แล้ว”
แนวคิดง่ายๆที่ว่าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เป็นแนวคิดที่ไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไหร่เลยแฮะ เพราะมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับการคิดจะทำอะไรก็ทำเลยจนซวยเข้าให้ อย่างในโลกเก่าที่ผมเคยไปไล่ต่อยเด็กนักเรียนจนโดนจับไปทำข่าว และชีวิตพังนั่นแหละ
นึกแล้วก็อยากขำตัวเองตอนนั้น
ทว่า แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ฟังที่ฟัฟนิร์พูด และไม่คิดจะปฏิเสธอะไร
“นั่นสินะ”
ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยากเลย เรื่องที่ว่าอยากจะช่วยคนสำคัญของตัวเองทุกคน
…หืม?
มีบางอย่างแปลกไป
จู่ๆก็มีรถม้าหลายคันวิ่งผ่านรถม้าของผมไป แถมยังไม่ใช่แค่คันเดียวด้วย เพราะดูจากวิวข้างนอก จะเห็นได้ชัดเลยว่ามีทั้งรถม้า และรถเข็นที่ชาวบ้านพากันขนอยู่ เห็นอย่างนั้นผมจึงยื่นหัวออกไปข้างนอก และหันไปถามคนขับรถม้าที่ผ่านมา
“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
“ขุนนางเหรอ? ..ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยหรือไง?”
หนังสือพิมพ์? ที่เมืองชันไมไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจเลยนะ
ผมส่ายหัวตอบ เจ้าตัวได้ยินก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ผม และเร่งรถม้าเดินไปต่อทันที
“เดี่ยวสิ”
ก่อนไป ผมโยนเหรียญให้คนขับรถม้าตอบแทน ก่อนปิดกระจก และกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บนรถม้า
……
…..
‘สงครามภายในอาณาจักรเนลยอน’
‘ตระกูลขุนนางยักษ์ใหญ่ถูกลดอิทธิพลเป็นอย่างมาก สายเลือดขุนนางที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องถูกลดสถานะทางสังคมไปเป็นเพียง ‘อัศวิน’’
‘การเสียชีวิตของ ไรเดน อาคาสะ’
‘การเสียชีวิตของภัยพิบัติแห่งโลก เรน’
หน้าแรกเป็นข่าวความโกลาหลของอาณาจักรเนลยอตามที่คาด เพียงแค่วันสองวันข่าวสารก็ผ่านไปได้เร็วขนาดนี้เลยสินะ ผมพลิกหน้าต่อไปอ่านต่อ
‘มังกรยักษ์สองตนต่อสู้กันในป่า สร้างความเสียหายให้ผู้คน และระบบวิเนศอย่างหนัก’
‘พบเห็นซากศพคนจำนวนมากในที่แห่งนั้น คาดว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายที่ร่วมมือกับเรน’
‘ป่าไม้บริเวณนั้นหลักจากการต่อสู้ก็แห้งไปอย่างน่าพิศวง’
ไม่ใช่แค่อาณาจักรเนลยอน โลกตอนนี้เต็มไปด้วยข่าวที่น่าตื่นตกใจสินะ ให้เดา มังกรยักษ์สองตนอาจเป็นการต่อสู้ระหว่างหนิงกับเทียนหลง ยูจิคงจะไปชิงสมบัติสวรรค์แล้วก็เกิดการต่อสู้หลายๆฝ่ายขึ้นมาโดยปริยาย
เรื่องราวฝังนั้นผมยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาทางจดหมายเลยแฮะ ถึงจะรู้สึกเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นหนิงกับเรย์ในตอนนี้คงจะไม่เป็นอะไรมากแน่ๆ โลกคงไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดให้ทั้งสองไปสู้กับระดับท็อปโลกหลายๆคะหรอก
ต่อจากนั้นก็ ..
“เอ๊ะ?”
ข่าวในหน้ากระดาษสุดท้ายก็คือ—- ‘คนจากท้องฟ้า’
‘อาณาจักรฟัฟนิร์ถูกถล่มโดยคนจากท้องฟ้า’
‘เสียหายกว่าครึ่ง’
‘สูญเสียราชาจอมเวทย์ สูญเสียราชาอัศวิน สูญเสียเหล่าทหารเสือ และเสาหลัก’
‘สู่จุดต่ำสุดของประวัติศาสตร์ ถึงคราวล่มสลาย’
อาณาจัดรฟัฟนิร์?
“..ทุกคน”
ใบหน้าของใครหลายต่อหลายคนผุดขึ้นมาในหัวของผม ..พร้อมกับความวิตกกังวลที่พุ่งสูงสุดขีด แต่ก็ยังพอยับยั้งมันเอาไว้ได้
“ชิน ฟัฟนิร์”
ผมยื่นหนังสือพิมพ์ให้ชินอ่านต่อ และโพล่งขึ้น
“พวกเราจะต้องไปอาณาจักรฟัฟนิร์ให้เร็วที่สุด–”
แม้แต่วินาทีเดียวก็ยังดี
****
ณ วังของอาณาจักรแซร์อิซ อันเป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์ ดังเช่น เจ้าหญิงมรกต ‘อาเบล’ หญิงสาวผู้มีดวงตาที่แปลกกว่าใครๆ และมีรูปโฉมที่สง่างามเหนือกว่าใครๆ เป็นหนึ่งในหญิงสาวที่สวยงามที่สุด เคียงข้างกับ เจ้าหญิงมังกร และเจ้าหญิงโทมิเรียแห่งเนลยอน
เวลานี้เอง อาเบลก็นั่งอยู่ ณ ศาลาไม้ในสวนของวัง พร้อมกับอ่านเอกสารรายง่านด่วนพิเศษจากฝ่ายสืบข่าว และเนื้อหาที่เธอกำลังอ่านอยู่ก็คือเรื่องของ ‘อาณาจักรฟัฟนิร์กับคนจากท้องฟ้า’
อาเบลอ่านจนจบก็เก็บเอกสารเข้าซองจดหมายตามเดิมอย่างสงบนิ่ง พลางจิบชาเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตามองชายที่อยู่ตรงหน้า
“ก็ว่าอยู่ว่าท่านที่งานยุ่งเหตุใดจึงเร่งกลับมา เพราะมีข่าวใหญ่ขนาดนี้นี่เองสินะคะ ..ท่านผู้กล้า’
ชายตรงหน้าก็คือ ‘ผู้กล้า’ ‘แอสทอเรียส’ ผู้กล้าลำดับที่ 100 สิ่งมีชีวิตที่ถูกขนานนามว่ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้กล้ารุ่นแรกผู้ที่เป็นคนปราบจอมมารด้วยตัวเอง แม้ในอดีตผู้กล้าจะเป็นบุคคลที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ แต่หลังจากหมดยุคของผู้กล้ารุ่นแรกไป ผู้กล้ารุ่นถัดๆไปก็เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบในอาณาจักรแซร์อิซ และกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดของอาณาจักรแซร์อิซ
ถึงหลังๆจะตกต่ำไปอย่างมาก เพราะตระกูลผู้กล้าก็อยู่ในสภาพล่มสลายไปแล้วจากการบุกโจมตีของเผ่าปีศาจที่เหลือรอด ทว่าไม่นานหลังการจากไปของผู้กล้ารุ่นที่ 99 ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวของแอสทอเรียส ผู้กล้าแอสทอเรียสก็โดดเด่นขึ้นมา จนกลายเป็นตัวตนแสนสำคัญในอาณาจักรแห่งนี้ไปเสียแล้ว และก็ถูกลืออย่างหนาหูอีกด้วยว่าผู้กล้าแอสทอเรียส กับเจ้าหญิงมรกตนั้นสนิทสนมกลมเกลียวกัน ถึงขนาดที่ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งสองคงจะได้หมั้นหมายกันในที่สุด
อย่างไรก็ช่าง เวลานี้ผู้กล้าได้มาหาเจ้าหญิงมรกตเพื่อจะสนทนาเรื่องบางเรื่องด้วย
“แอบน้อยใจนิดหน่อยนะคะ คิดว่าท่านผู้กล้าจะมาหาดิฉัน เพราะคิดถึงเสียอีก”
อาเบลพูดหยอกแอสทอเรียส แต่นั่นไม่อาจสร้างความเสียหายทางจิตใจใดๆให้แอสทอเรียสได้เลย เพราะเขาคือผู้กล้าที่มีความโดดเด่นทางด้านการป้องกันทางจิตใจสูง
“กระผมไม่คิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์เช่นนั้นนะครับ”
“ถ้าหากฉันจริงจัง?”
“นั่นสินะครับ ..”
พูดเพียงเล็กน้อย ท่าทางของแอสทอเรียสก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การป้องกันทางจิตใจที่โดดเด่นนั่นอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งก็เป็นได้ อาเบลยิ้มมุมปากราวกับคาดเดาท่าทางเช่นนี้ไว้แล้ว แต่เธอไม่คิดจะรุกล้ำไปมากกว่านี้
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับดิฉันหรือคะ? ถึงต้องลำบากมาหาถึงที่นี่ ทั้งๆที่ท่านผู้กล้าน่าจะเข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ช่วงนี้เริ่มออกอาละวาดอย่างผิดสังเกตุ”
“..ด้วยความพยายาม และความช่วยเหลือของผู้คนมากมาย กระผมถึงสืบหาผู้ให้ความร่วมมือแก่เรน และพอจะรู้ตัวตนของผู้มาจากบนฟ้าในข่าวแล้วครับ จึงได้รีบมาที่แห่งนี้”
“นั้นหรือคะ?”
“ครับ ..ท่านอาเบล”
ผู้กล้าแอสทอเรียสลุกขึ้นยืน และชักดาบแห่งผู้กล้าออกมาชี้ไปที่อาเบลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขา
“ท่านคือคนทรยศครับ”
“ผิดคาดเลยนะคะเนี่ย คิดว่าเป็นแค่ผู้ชายที่ใช้เป็นแต่กำลังเสียอีก”
อาเบลลุกขึ้นยืน ไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อหน้าจิตสังหารของผู้กล้า “เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กัน!? คิดจะทำลายอาณาจักรคู่แข่ง? ไม่สิ หรือว่าคิดจะยึดอำนาจของราชาการันเต้กัน? ผมไม่เข้าใจความคิดของท่านเลย อาเบล ท่านไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอย่างการขายข้อมูลให้ภัยพิบัติต่อโลก เพื่อมาทำร้ายพวกพ้องตัวเองได้ลงคอแท้ๆ ..ท่านเป็นคนที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ คนที่ยื่นมือมาให้ผมในวันที่ไม่เหลืออะไรอย่างท่าน จะต้องมีเหตุผลแน่นอน”
“กล่าวคือต้องการจะทราบเหตุผลของดิฉันสินะคะ? ถ้าหากไม่บอก หรือถือบอกไปไม่ถูกใจตามสามัญสำนึกที่ท่านมีต่อตัวฉัน จะทำยังไงต่อไปหรือคะ?”
“..ถ้าหากว่าท่านเป็นภัยต่อความมั่นคงของผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้ ผมจะลงมือสังหารท่านทันที ณ ที่แห่งนี้”
อาเบลได้ยินก็หัวเราะพึมพำในลำคอ พลางหันหน้าไปชมทุ่งดอกไม้อย่างเรียบเฉยต่อคำขู่ของผู้กล้า
“ถ้าหากฉันมีเหตุผลส่วนตัวอันเห็นแก่ตัวที่สำคัญพอ ..ท่านจะยอมอยู่เคียงข้างดิฉันหรือเปล่าคะ?”
“..หมายความว่ายังไงกันครับ”
“ท่านผู้กล้า ท่านเข้าใจผิด และกำลังทำผิดต่อจิตใจของตัวเองอยู่นะคะ ดิฉันจะบอกให้อย่างหนึ่งนะคะ ..ท่านคงกำลังคาดหวังในคำตอบที่แสนหวานชวนชื่นใจจากดิฉันอยู่ ท่านคาดหวังเช่นนั้น กับคนทรยศอยู่นะคะ—ถ้าหากต้องการปกป้องอาณาจักรแห่งนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าในฐานะผู้กล้าแล้วก็ควรจะลงมือสังหารดิฉันก่อนจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้รึคะ?”
…..
“ท่านกำลังหลงทางอยู่ หลงคิดไปว่าสิ่งสำคัญของตัวเองคือรอยยิ้มของผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วสิ่งสำคัญของท่านก็คือ ‘ดิฉัน’”
…
อาเบลลุกเดินเข้าไปหาผู้กล้า จนกระทั่งร่างแทบจะติดกัน อาเบลใช้มือเล็กๆนั่นจับที่แก้มของผู้กล้า ค่อยๆลูบไล้ไปทั่วร่างก่อนจะหยุดมือที่อกของผู้กล้า และใช้แรงผลักจนล้มลงไปนั่งกับพื้น ..อาเบลอาศัยท่านั่งของผู้กล้า ขึ้นไปนั่งค่อมบนตัว ทำให้เธออยู่ในจุดที่สูงกว่า
แอสทอเรียสพยายามจะผลักเธอออก แต่เรี่ยวแรงราวสัตว์ประหลาดก็ได้จางหายไปโดยไม่รู้ตัว ..เห็นเช่นนั้นอาเบลก็รู้สึกเอ็นดูเสียจนอดไม่ได้ที่จะสัมผัสใบหน้าของแอสทอเรียสผู้แสนน่ารัก ลูบไปมาจนกว่าจะพอใจจึงหยุดมือไปเอง
“ช่างงดงามอะไรขนาดนี้ สมกับที่เป็นคนจากตระกูลผู้กล้าที่เลื่องชื่อด้านหน้าตาเลยนะคะ ขนาดน้องสาวของท่านที่ล่วงลับไปก็มีใบหน้าที่งดงามไม่ได้ด้อยไปกว่าดิฉัน”
“อย่าพูดถึงเธอ ..”
“ทำไมกันคะ? ถ้าพูดแล้ว ท่านจะโกรธดิฉันได้ลงคอหรือ?”
“..อึก ..ท่านอาเบล..ท่าน..”
เหตุผลที่อาเบลไม่ตื่นตระหนกอะไรเลย เพราะเธอรู้ดีถึงภายในจิตใจของผู้กล้าแอสทอเรียส รู้ดียิ่งกว่าใครๆ เพราะคนแรกที่พบกับเขา คือเธอ สำหรับเธอแล้ว ..แอสทอเรียสคือสมบัติที่อยู่ในการควบคุมของเธอ
แค่ออกลู่นอกทางนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร
“เหตุผลของฉัน มันแสนเห็นแก่ตัว และเกินกว่าจะให้อภัย”
“..”
“ดิฉันหวาดกลัวเหลือเกินว่าท่านจะทิ้งห่างกับดิฉัน ท่านคงรับไม่ได้กับปีศาจร้ายในตัวดิฉัน เพราะอย่างนั้นเลยพยายามปิดบังมาโดยตลอด”
ความจริง และการหลอกลวง ผสมปนกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ทุกถ้อยคำของเธอเต็มไปด้วยมนต์สะกด ยิ่งกว่าเสียงของไซเรน หรือว่าเวทมนตร์สเน่ห์
“ก่อนจะเล่าให้ฟัง อยากให้ท่านสัญญากับดิฉัน ..ว่าจะไม่ทิ้งดิฉัน ต่อให้เล่าทุกอย่างไป”
“…ขึ้นอยู่กับเรื่องเล่าครับ”
“ถ้าหากไม่ถูกใจ ท่านจะทิ้งดิฉันหรือคะ?”
….
แอสทอเรียสกลืนน้ำลายดังอึก เขากัดฟันกรามแน่น เบือนหน้าหนีจากปีศาจสาวตรงหน้า อาเบลเห็นก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ เธอถึงกับอดใจไม่ไหว จนขยับหน้าเข้าไปจูบกับริมฝีปากของแอสทอเรียส
“..หยุด..นะ!”
เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถนำร่างของอาเบลออกห่างจากตัวเองได้ ทว่า อาเบลก็ไม่พูดไม่จา เขยิบตัวเข้าไปชิด และจูบริมฝีปากของแอสทอเรียสอีกครั้ง
เป็นเวลากว่าหนึ่งนาทีเต็มๆที่ทั้งสองได้จูบกัน โดยที่อาเบลเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่าง ขณะนี้อาเบลยังคงนั่งค่อมแอสทอเรียส กลับกัน แอสทอเรียสเวลานี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของผู้กล้า หรือจิตใจอันสูงส่ง
“ท่านคงตั้งใจจะฆ่าดิฉันแน่ๆถ้าหากรู้ความจริงไป”
“..เพราะว่าเหตุผลนั้นมันเลวร้ายสินะครับ”
“ใช่ค่ะ ต่อให้เป็นท่านก็คงจะฆ่าดิฉันแน่ๆ อาจลังเลในทีแรก แต่สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการตายของดิฉัน”
….
คราวนี้ เป็นทางแอสทอเรียสที่ยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของอาเบล
“เข้าใจผิดแล้วครับ ..ผม ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถฆ่าท่านได้หรอก อาเบล ..ผมรักท่าน”
ไร้ซึ่งคำหลอกลวง คำพูดของผู้กล้านั้นเต็มไปด้วยใจที่บริสุทธิ์
“ดิฉันก็เช่นกัน”
กลับกัน
คำพูดของอาเบลเต็มไปด้วยคำหลอกลวง ผิดกับก่อนหน้านี้ที่มีทั้งความจริงและการหลอกลวงปะปนกัน ใช่ อาเบลไม่ได้หลงรักแอสทอเรียสเลยแม้แต่เล็กน้อย เธอเห็นเขาเป็นเพียงสมบัติของตัวเองเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘รัก’ เธอยังไม่ตัดสินใจที่จะกล่าวออกมาโดยตรง
มีหรือที่ผู้เป็นผู้กล้าจะดูไม่ออก แต่ว่า ..นั่นเป็นคำโกหกที่แสนหอมหวาน
สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องอยู่เคียงข้างเธอคนนี้ ….และประกาศตนเป็น ‘ศัตรูของโลก’ เพื่อเธอคนนี้