< < 187 Sec2 > >
ตั้งแต่อดีตกาล ผู้กล้ากับจอมมารเป็นของคู่กันมาเสมอ
ระบบของผู้กล้าได้เกิดขึ้นเมื่อมีชั่งตีเหล็กผู้หนึ่งได้สร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อปราบจอมมารซึ่งจะเกิดใหม่ในทุกยุคสมัย ทว่าหากมีเพียงแค่ดาบสุดแกร่งซึ่งชนะทางจอมมารก็ใช่ว่าจะชนะจอมมารได้ จำเป็นต้องมีผู้ถือครองที่เหมาะสมตามๆกันไป
เพราะอย่างนั้นนามของผู้กล้าจึงได้เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ หลังจากยุคสมัยสงครามกับสี่มังกรธาตุมาผู้กล้าก็ได้มีอิทธิพลทัดเทียมกับจอมมาร
แล้วก็เป็นหนึ่งในสิ่งล้ำค่าของทวีป ‘แซร์อิซ’ แดนของมังกรสายลมการผจญภัย
และบัดนี้ในยุคสมัยใหม่ซึ่งกำลังมาถึง ผู้กล้าก็ได้ดำเนินไปถึงลำดับที่ 99 แล้ว และตำนานบทสุดท้ายของผู้กล้า อย่างผู้กล้าลำดับที่ 100 ก็กำลังจะได้เริ่มขึ้น ในฐานะของผู้กล้าที่ไร้ซึ่งอุดมคติ
*****
ว่ากันว่าจอมมารคือผู้สร้างความมืด ส่วนผู้กล้าคือผู้ปัดเป่าความมืด
จอมมารนำพามาซึ่งหายนะ แต่ผู้กล้าจะชี้ทางแห่งแสงสว่างให้ผู้คน
บทบาทในเทพนิยายผู้กล้ากับจอมมารอยู่คนละขั้วกันอย่างชัดเจน …แล้วในที่ไหนสักแห่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เชื่อในสิ่งนั้นสุดหัวใจ
สถาบันการศึกษาเวทมนต์แห่งอาณาจักร ‘แซร์อิซ’ มันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก…ไม่ใช่ในด้านดีเหมือนฟัฟนิร์ หรือด้านวิทยาการแบบเกรล แต่เป็นด้านความเสื่อมเสียของชื่อเสียงต่างหาก
คำกล่าวที่ว่าผู้คนในแซร์อิซล้วนต่อยตีเป็นกิจวรรตนั้นจริงครึ่งหนึ่งอย่างเถียงไม่ได้เลยละ
ตัวอย่างก็ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ณ เมือง ‘เจเนล’ แห่งอาณาจักรแซร์อิซ
เมื่องไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำ เป็นเมื่องซึ่งเปี่ยมไปด้วยซากอารยธรรมอันสวยสดงดงาม และรูปปั้นของผู้กล้าลำดับที่ 1 …ใช่ที่แห่งนี้คือเมืองอันทรงเกียรติของเหล่าผู้กล้า
ตระกูลของผู้กล้าอาศัยอยู่อาณาจักรเจเนล แห่งนี้กัน ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผู้กล้าดำเนินมาถึงรุ่นที่ 99 แล้ว …ถึงแม้เด็กหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงจะไม่ใช่ผู้กล้าก็ตามที
‘ชุน’ นั่นคือชื่อของลูกชายคนรองปัจจุบันของตระกูลผู้กล้า
เขามีรูปร่างหน้าตาที่งดงามประหนึ่งภาพวาด เส้นผมสีขาวสั้นและดวงตาสีเหลืองดูจือจาง สูงถึง 186 ซ.ม. ไหล่กว้างพอตัวและร่างกายก็แข็งแรงมากชนิดหาได้ยากด้วย
ขณะนี้ชุนสวมชุดนักเรียนผูกไถค์ และกำลังนอนเล่นอยู่บนกองคนนับร้อยซึ่งกองกันอยู่หน้าสถาบันเวทมนต์
นั่นแหละคือที่มาของคำติดปากว่า ‘คนแซร์อิซคือพวกลิงใช้เป็นแต่กำลัง’ …แม้ว่าชุนจะไม่ได้สะทกสะท้านกับคำกล่าวเหล่านั้นเลย ไม่ใช่เพราะเขาไม่สนชื่อเสียงตัวเอง แต่เป็นเพราะเขาไม่แคร์อะไรโดยแท้จริง
“ความผิดที่พวกเจ้ากระทำก็คือก่อเรื่องวุ่นวายให้คณะอาจารย์กัน บทลงโทษก็คือการต้องอยู่ในสภาพน่าอดสู่เช่นนี้ไงละ”
ชุนเอ่ยขึ้นมาทั้งๆที่ยังนอนเล่นอยู่ เขาไม่ใช่คนปากเสียหรือชอบจี้จุดอะไรด้วย แค่เป็นคนตรงไปตรงมาจนเกินไปเท่านั้น
“ทีหลังก็…หยุดสร้างความเดือดร้อนด้วย”
พูดจบชุนก็ลุกขึ้นยืนกระโดดลงจากกองคนนับร้อยลงไป
ชุนปัดเศษฝุ่นในร่างกายออกด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วก็กำลังจะเดินออกจากโรงเรียน—–จังหวะนั้นก็มีเด็กสาวผู้หนึ่งวิ่งโกยเข้ามาหาชุน แล้วก็ตบหัวเข้าให้
“…เจ็บ”
“กอรีล่าแบบพี่ไม่เจ็บหรอกน่า!”
เด็กสาวผู้นั้นคือน้องสาวของชุน มีนามว่า ‘อาเบล’
ผู้คนรอบๆต่างแตกตื่นกับการกระทำของยูดา บ้างก็กรี๊ด บ้างก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
ทั้งหมดนั่นก็เพราะยูดาคือผู้ที่มีศักดิ์เป็นถึง ‘ผู้กล้า’
ลาล่า เด็กสาวผู้มีเลืองผมสีขาวยาวถึงบ่า ดวงตาสีเหลืองเฉกเช่นผู้เป็นพี่อย่างชุน หุ่นสเลนเดอร์ อายุราว 14 ปี ขณะนี้สวมชุดเกราะสีเงินลายตัดฟ้าสุดจะสง่างาม
มีนิสัยที่ร่าเริงและกล้าหาญ เป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของผู้คน สมตำแหน่งผู้กล้า
ถึงกระนั้นก็น่าแปลกที่ชื่อของผู้กล้าถูกมอบให้เด็กที่ยังเรียนอยู่เนี่ยนะ? แต่คำถามนั้นสำหรับผู้ที่รู้จักเธอย่อมไม่มีใครเอ่ยถามออกมา แม้แต่ชุนก็ด้วยเพราะเขารู้ดีเดี่ยวกับอาเบล
ไม่มีใครที่เหมาะกับตำแหน่งผู้กล้ามากกว่าเธอแล้ว อย่างน้อยๆที่เขาเคยพบมาไม่มีเลย
“..กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ชุนถาม
“เมื่อเช้าน่ะ…เดี่ยวสิ! อย่าเปลี่ยนเรื่องนะ!”
ลาล่าเข้าไปกระชากคอเสื้อชุนอย่างรุนแรงทันทีที่ทำท่าจะเดินสะบัดก้นหนี
“พี่คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่น่ะ ในฐานะบุตรชายคนรองของตระกูลผู้กล้านั่นนับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงทีเดียว กับคนทวีปอื่นยิ่งแล้วใหญ่ ทุกวันนี้เขาไม่คิดว่าพวกเราเป็นลิงที่เอาแต่ใช้กำลังแล้วหรือไงกัน?”
โดนสวดยกใหญ่
แม้ชุนจะไม่ปรากฏสีหน้าแต่หางคิ้วเขาก็กระตุกเล็กน้อย
“ช่วยไม่ได้ เจ้าพวกนั้นมันใช้ความรุนแรงกับเด็กใหม่”
“ทำไมพี่ไม่ไปฟ้องครูแทนละ”
…
ชุนโง่เกินกว่าจะทำความเข้าใจจุุดๆนั้นได้ เขาทำแต่เพียงนำกำปั้นทุบฝ่ามือเท่านั้น
“ฉลาดนัก” ชุนกล่าวชม
“ไม่อะ” ลาล่าทำหน้าแขยงเล็กน้อย
ว่าแล้วลาล่าก็ปล่อยคอเสื้อของชุนไป ก่อนจะเท้าชะเอวชี้หน้าชุน
“ในฐานะผู้กล้า ‘ลาล่า’ ขอใช้สิทธิ์ลงโทษชุนผู้เป็นพี่ ให้ช่วยปฐมพยาบาลทุกคนที่นี่ แล้วก็ขอใช้สิทธิ์ลงโทษทุกคนที่นี่ตามกฏโรงเรียนโดยไร้ซึ่งอำนาจของผู้ปกครอง ..ทางฉันจะมาตรวจสอบใหม่อีกคราว ถ้ามีการทำผิดบทลงโทษหรืออะไร ก็จะว่ากันไปตามสมควร”
พูดจบอาเบลก็วางมือลงแล้วเท้าสะเอวแทน
“ไม่ได้จะบอกว่าพี่ไม่ผิดหรอกนะ”
“ฉันเข้าใจดี”
“จะว่าไปเย็นนี้…ไม่สิ”
ลาล่าเงียบลงก่อน นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี
“ดูเหมือนว่าฉันจะมีงานน่ะ ต้องรีบไป”
“แล้วที่บอกว่าเย็นนี้ จะขออะไรรึ?”
“..ไม่มีอะไรหรอก” ลาล่ากล่าวทั้งรอยยิ้มแล้วเดินหายไป
…
ชุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วทำหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมายต่อ———–
—-ผู้กล้า ลาล่า ผู้ถือครองดาบแห่งผู้กล้า นาม ‘จัสติสเทีย’ ดาบที่มีคุณสมบัติในการนำทุกสิ่งไปสู่กฏแห่งความเที่ยงธรรม
ว่ากันว่าดาบเล่มนี้สามารถสลายเพลิงแห่งการทำลายล้างของจอมมาร ได้โดยการฟันฉับเดียวเท่านั้น ..บ้างก็ว่าดาบแห่งผู้กล้าจัสติสเทียเล่มนี้ถูกสิงสถิตโดยเทพี(เทพ)แห่งความชอบธรรม ‘เทพีเธมิส’ หรือบ้างก็ว่าแต่ก่อนโลกแห่งนี้ได้เต็มด้วยอำนาจแห่งสิ่งชั่วร้าย แต่มันก็กลับถูกลบอีกคราวด้วยอำนาจแห่งความเที่ยงธรรมของดาบเล่มนี้ ซึ่งจะตัดให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรเสมอ
ผู้ใดที่ควรตายก็จะถูกดาบเล่มนี้สะบั้นให้คืนสู่ความจริง แต่ผู้ใดที่ยังต้องมีชีวิตต่อไปดาบเล่มนี้ก็จะให้ชีวิต
หนึ่งในดาบที่ถูกบันทึกไว้ว่าทรงอำนาจที่สุด ดาบแห่งผู้กล้า ‘จัสติสเทีย’ กล่าได้ว่าในโลกนี้ไม่มีดาบที่ดีเด่นยิ่งกว่บ ‘ดาบแห่งผู้กล้า’
ดาบเล่มนี้ผู้ที่ถือครองจะมีแค่สายเลือดของผู้กล้าเท่านั้นที่ใช้ได้ ตั้งแต่อดีตโบราณมาแล้ว
ขณะนี้ชุนกำลังปฐมพยาบาลนักเรงที่เขาพึ่งจัดการไปอยู่ ตรงสนามหญ้าข้างๆการทะเลาะวิวาทหน้าโรงเรียน
เขาทำโดยที่มีนักเรียนและคณะอาจารย์รอบๆพากันนินทา เพราะยังไงซะก็เป็นถึงส่วนหนึ่งของตระกูลผู้กล้า
“ผู้ถือครองคนปัจจุบันดันเป็นเพียงเด็กอายุ 14 เท่านั้น…ดาบเล่มนั้นเป็นดาบแห่งความเที่ยงธรรมจริงๆเรอะ”
ชุนเฝ้าถามตัวเองตลอดว่าทำไมน้องสาวของตนถึงได้รับเลือก และไม่ได้คำตอบอย่าแน่นอนเพราะผู้ที่ให้คำตอบเขาได้มีเพียงน้องสาวเท่านั้น
แต่สำหรับเขา เขาค่อนข้างไม่ไว้ใจในดาบแห่งผู้กล้านั่น เพราะมันเลือกให้เด็กอายุแค่ 14 ต้องไปสนามรบ ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีทางเป็นดาบที่ดีได้
ถ้าหากดาบเล่มนั้นมีเทพีแห่งความยุติธรรมอยู่จริงๆ เขาจะไม่ให้เด็กคนหนึ่งถูกชะตาที่ไม่ยุติธรรมกลืนลงไปแบบลาล่าแน่นอน ..แต่ชุนไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากถอนหายใจและภาวนาทุกคราวให้ลาล่าปลอดภัยในการร่วมสงครามตลอด
ใช่แล้ว ลาล่าในฐานะผู้กล้าต้องเข้าสงครามอย่างหนักหน่วง ไม่ใช่แค่สงครามเล็กๆแต่เป็นสงครามขนาดใหญ่ระหว่างมนุษย์กันเอง หรือกับมอนสเตอร์ที่มีอยู่มากมายภายในทวีปแซร์อิซ สำหรับทวีปแห่งนี้นั้นถูกขนานนามว่าสวรรค์ของนักผจญภัย ไม่ว่าจะดันเจี้ยน หรือว่ามอนสเตอร์บนโลกล้วนอาศัยอยู่ภายในทวีปนี้กว่าครึ่ง
ผู้กล้าได้ห่ำหั่นกับปีศาจมาตลอดตั้งแต่อดีต ก่อนเปลี่ยนมาเป็นมอนสเตอร์ แม้คู่ต่อสู้หลักจะเป็นจอมมาร แต่จอมมารไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทุกร้อยปี บ้างก็เว้นช่วงไปเป็นพันปีเลย เพราะชุนอยู่ตระกูลผู้กล้าเขาเลยรู้ประวัติโดยมากได้ว่าผู้กล้าที่เคยประจันกับจอมมารมีแค่หนึ่งคนเท่านั้น
“แต่จอมมารก็จะกลับมาเกิดใหม่แน่นอน บางที..”
เขานึกถึงหน้าของลาล่าขึ้นมา
ลาล่าแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อของผู้กล้าก็ได้ เธอก็ยังแข็งแกร่งชนิดหาได้ยาก ใช้เวทมนต์ถึงขั้นสูงได้ตั้งแต่อายุ 14 ปี ฝึกตอนวงจรเวทย์สมบูรณ์เพียงปีเดียวเท่านั้น วิชาดาบเองก็อยู่ตั้งขั้นสูงระดับต้นๆ แกร่งกว่าตัวชุนที่มีพลังกายมหาศาลมาก นอกจากนั้นยังได้ข่าวว่าลาล่าเป็นผู้กล้าที่เข้ากับดาบแห่งผู้กล้าได้ดีที่สุดในรอบ 20 รุ่นที่ผ่านมา ทั้งหมดหากเทียบกับผู้กล้าก็คงแค่มาตรฐาน แต่อาเบลเธอพึ่งวงจรเวทย์สมบูรณ์ได้ปีเดียวเท่านั้น
กล่าวได้ว่าอาเบลคืออัจฉริยะในรอบร้อยปีก็ไม่เกินจริง ..ถึงกระนั้นเธอก็ยังเป็นเด็ก และน้องสาวที่รักของชุน
แม้จะแกร่งเกินใครแต่ก็ไม่ต้องการให้สู้หรอก ในฐานะพี่ชาย
“…บ้าจริง …อ๊ะ” ชุนพึ่งสังเกตุว่าตัวเองพันแผลพลาด ไปพันคอพวกนักเลงเข้า “ถ้าเผลอดึงตะกี้มีคนตายแหง”
ชุนถายหายใจเฮือกใหญ่ จังหวะนั้นเองก็มีคนมานั่งหยองข้างๆชุน
เป็นหญิงสาวที่มีผมสีเขียวอ่อนๆและดวงตาราวกับมรกต ร่างเล็กมาก อายุแค่ 10 ขวบได้ ไม่สิ น่าจะ 8 ขวบนั่นแหละ สวมเสื้อวันพีชสีขาว
กระนั้นการวางท่าอะไรต่อมิอะไรก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างน่าแปลก เยือกเย็น และดูฉลาด
ชุนคิดว่านั่นคือเอกลักษณ์ของเด็กแปดขวบไปโดยไม่รู้ตัว
“พันผิดนะคะ”
เด็กดวงตาสีมรกตกล่าวก่อนจะช่วยเขาพันให้อย่างถูกวิธี … ‘เด็กนี่ฉลาดจริงๆ’ ชุนเกาหัวตัวเองงึกๆ
“โทษทีนะ แต่มันคืองานของฉันน่ะ จะให้เด็กช่วยไม่ได้”
“ใครบังคับมาเหรอ?”
“น้องสาว ..ผู้กล้าน่ะ”
เด็กสาวสีตามรกตยิ้มให้
“ลำบากแย่เลยนะคะ มีน้องสาวเป็นผู้กล้าเนี่ย”
“นั่นสิ ..แม้จะเป็นน้องสาวที่น่ารักก็ตาม แต่ก็ลำบากจริงๆ”
‘แต่ไม่เห็นต้องให้เด็กมาปลอบเลย’ ชุนถึงกับเอือมตัวเอง
“ไม่จำเป็นต้องช่วยหรอก ฉันรู้วิธีทำแล้วเหลือแค่พันแผลพวกนี้ให้หมด”
“ค่ะ ถ้านั้นขอนั่งด้วยเฉยๆนะค่ะ”
ว่าจบเด็กสาวตาสีมรกตก็นั่งลงกับพื้นหญ้าในท่าพับเพียบไม่เหมือนเด็กทั่วไป …เป็นเด็กที่ดูลึกลับเหลือเกิน
ชุนนึกถึงเด็กสาวตาสีมรกตข้างๆเขาไปและพันแผลไปจนรู้ตัวอีกทีก็เสร็จเรียบร้อย
”งานดีใช้ได้เลยนะคะ” เด็กสาวกล่าวชม
“ถูกผู้กล้าบังคับน่ะ จริงๆไม่อยากทำหรอก”
“นั้นหรือคะ?”
บทสนทนาจบไปอย่างเงียบๆ เพราะเขาทั้งสองไม่ใช่คนพูดมากแต่เดิม ที่สำคัญพึ่งเจอกันครั้งแรกอีก
ชุนลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นออก ก่อนจะหันไปหาเด็กสาวสีมรกต
“หลงทางมารึเปล่า? ผู้ปกครองชื่ออะไร?”
เด็กสาวมรกตนิ่งไป ก่อนจะรู้สึกตัว เธอจึงส่งยิ้มอ่อนๆให้
รอยยิ้มของเด็กสาวที่เหมือนกับผู้ใหญ่ทำให้ชุนอึ้งไปชั่วขณะ
“ฉันหลงทางเหรอ?”
“ใช่สิ จะนำทางไปหาผู้ปกครองเอง”
“ฝากด้วยนะ”
พูดออกมาราวกับผู้ใหญ่จบเธอก็ยืนอยู่เฉยๆ
“นำทางทีสิ ผู้ปกครองของฉัน ..นั่นสินะ รู้สึกว่าจะชื่อ ‘ริริ’’”
“…รู้สึกว่าเนี่ยนะ” ชุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เข้าใจแล้ว ริริสินะ จะออกประกาศให้เอง”
“ค่ะ”
****
ชุนเริ่มนำทางให้ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาผู้ปกครองที่ชื่อริริให้ไม่เจอ
จนตะวันจะตกดินก็ยังไม่เจอ
“ผู้ปกครองชื่อริริแน่นะ?” ชุนถามไปด้วยความขุ่นเคือง
“ค่ะ ถ้าผู้ปกครองหมายถึงคนที่คอยดูแลฉัน ก็ใช่ค่ะ”
ถ้าหมายถึงน่ะเหรอ?
ชุนเดาได้ว่าเด็กมรกตน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับครอบครัวแหง
“มีปัญหากันสินะ”
“..ปัญหาหรือคะ?”
“ถ้าจุ้นเกินไปก็ขอโทษด้วยละ แต่เธอมีปัญหากับครอบครัวอยู่ใช่มั้ย? ไม่ต้องบอกก็ได้ แค่จะบอกว่า ..ฉันเองก็เหมือนกัน”
ชุนไม่รู้จะทำให้เด็กสาวมรกตสบายใจได้ยังไง เขาจึงพูดเรื่องตัวเองขึ้นมา และทั้งหมดก็ถูกมองออกทะลุปุเปลือกโดยเด็กสาวมรกต
เธอเห็นท่าทางของชุนก็เกิดคิดขึ้นมาว่า ‘คนๆนี้น่ารักดี’
“จะว่ามีปัญหาก็ได้ค่ะ”
“อ่า”
“..เหมือนว่าฉันจะเป็นแค่เครื่องมือของทางบ้านค่ะ”
คนใหญ่คนโตแหง
…ปัญหาเกินกว่าที่ชุนจะรับได้โขเลย แถมอีกฝ่ายเป็นเด็กไม่กี่ขวบด้วย
“-บ แบบนี้นี่เอง”
คำพูดเสี่ยวๆมันไม่ช่วยให้ปัญหาครอบครัวแก้ได้หรอก เขารู้กับตัวเองเพราะน้องสาวเขาพูดอะไรเท่ๆให้ที่บ้านฟังเท่าไหร่ ปัญหาของตัวชุนก็ยังไม่จบสักที คำพูดเท่ๆมันไร้ความหมาย ต้องเอาของจริงมาพิสูจน์ในการแก้ปัญหาเด็ดขาด
ถามว่าทำได้มั้ย? ก็ไม่ ชุนรู้ดีถึงจุดนั้นเลยไม่รู้จะพูดยังไงไป ..
“ไม่หรอก พวกพ่อแม่คงมีเยื้อใยบ้างแหละ”
“เหมือนว่าท่านแม่ฉันจะต้องออกรบจนตายตั้งแต่ฉันพึ่งคลอด ส่วนท่านพ่อก็เอาแต่ทำสงคราม แล้วว่างๆก็ชอบจับดิฉันโยนเข้าฝูงมอนสเตอร์ พร้อมกับมีดสั้นค่ะ”
ดาร์คยิ่งนัก หนักกว่าปัญหาของชุนมากๆหากเทียบสเกลกันแล้ว
“….ทำใจ”
“…ฮิๆ”
เด็กสาวมรกตส่งเสียงหัวเราะมีเลศนัยออกมา ทำให้ชุนจับสังเกตุได้
“ล้อเล่น…เหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
เธอพูดโดยที่เล่นเหลี่ยมใส่ชุน ทั้งหมดที่พูดคือความจริงแต่เธอแค่อยากจะล้อกับชุนเล่นเท่านั้นจึงพูดออกไป
ชุนไม่สามารถตามการละเล่นของเด็กสาวทันได้
“อย่าทำให้ตกใจสิ ..ไอ้เด็ก…เด็ก” ชุนเกาหัวตัวเอง “จะว่าไปเธอชื่ออะไรรึ?”
“เจอกันมาตั้งนานพึ่งจะถามกันได้นะค่ะ”
“โทษที”
เด็กสาวมรกตยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นชุนมีสีหน้ารู้สึกผิดชอบกล เธอค่อยๆโค้งศรีษะและยกชายกระโปรงขึ้นมาตามฉบับการทักทายของชนชั้นสูง
“ดิฉัน ‘อาเบล’ ค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ ธรรมดาๆที่มีผู้ปกครองชื่อ ริริ ค่ะ”
อาเบลผู้มีดวงตาสีมรกตกล่าวด้วยรอยยิ้มมากสเน่ห์เกินวัยของตัวเอง
เป็นเด็กโข่งที่สุดยอดจริงๆ
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชุนเอง …ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปพักบ้านฉันก่อนมั้ย?”
“ต๊ายยย”
“-ป เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าทำเสียงแบบนั้นนะ! หมายถึงว่าฉันจะไปให้ผู้กล้าช่วยกระจายหาเสียงต่อ จะได้เจอง่ายขึ้นไงระหว่างนั้นก็พักในบ้านก่อนด้วย เดินมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่” ชุนชี้ไปที่เท้าของอาเบลซึ่งแดงไปหมดแล้ว “ยังเด็กอยู่ด้วย ถึงจะเป็นเด็กโข่งก็ตาม”
อาเบลจับคางตัวเองนึกคิดกับตัวเองสักพัก
“เข้าใจแล้วค่ะ คนที่อ่อนโยนอย่างคุณไว้ใจได้”
พึ่งเจอกันไม่ถึงวันแท้ๆ ..
“อย่าเชื่อคนง่ายเชียว”
“คุณที่เตือนฉันอย่างนั้นไว้ใจได้ค่ะ แค่มองก็รู้แล้ว”
ดวงตาสีมรกตเธอเป็นประกายขึ้นมา ราวกับมันมีบางสิ่งอยู่ข้างใน
นั่นทำให้ชุนลืมหายใจไปชั่วอึดหนึ่ง
“เข้าใจแล้ว ..ผู้กล้าน่ะไว้ใจได้ เธอทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยนกว่าฉันไปพึ่งเธอดีกว่า”
“ผู้กล้าอ่อนโยนไม่ได้หรอกนะคะ”
…..
อาเบลเผยสีหน้าที่เย็นชาออกมา ก่อนที่เธอจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้
“ผู้กล้าต้องฆ่ามนุษย์ผู้เป็นศัตรูตามคำสั่งของอาณาจักร โดยไร้ซึ่งข้อแม้ นอกจากนั้นแม้กระทั่งคนที่เห็นการก็ต้องถูกดาบแห่งผู้กล้าฟาดฟัน ..ทุกคนที่ผู้กล้าฆ่ามีครอบครัวอยู่คะ เพราะฉะนั้นทุกการใช้ชีวิตของผู้กล้าจะอ่อนโยนไม่ได้เด็ดขาด เช่นนั้นอุดมคติที่ยึดมั่นจะสั่นคลอนเอา”
เธอพูดโดยที่เข้าใจมันดี บทบาทของผู้กล้าไม่มีใครเข้าใจมันได้เท่าอาเบลแล้ว
“ถ้าผู้กล้าต้องเลือกบางสิ่งที่สำคัญพอกัน สิ่งที่ต้องเลือกก็ต้องเป็นอุดมคติที่นำมาก่อน …คิดว่าผู้กล้าคือตำแหน่งที่มีดีเพียงอุดมคติ สำหรับฉัน คนที่เป็นผู้กล้าได้ต้องเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่งเสียจนทำเรื่องต่ำๆได้ลงคอ”
อุดมคติของผู้กล้า น้อยคนที่จะทักท้วงถึงสิ่งนั้น ถึงอุดมคติที่ไร้ซึ่งความจริงของผู้กล้า …สุดท้ายผู้กล้าก็ฟาดฟันต่อไป โดยหารู้เลยว่า สิ่งที่เขาทำคือการทำลายอุดมคติของตัวเอง
นั่นก็เป็นหนึ่งในน้ำหนักที่ผู้กล้าต้องแบบรับ ตัวตนแสนจะย้อนแย้ง นั่นแหละผู้กล้า
อาเบลใช้ดวงตาสีมรกตจ้องไปที่ชุนราวกับจะมองให้ทะลุออกไปให้ได้
“แล้วสำหรับท่าน คิดว่าผู้กล้าอ่อนโยนรึเปล่าคะ?”
“…ฉันไม่รู้หรอก ไม่ได้ฉลาดถึงมาคุยเรื่องพวกนี้ได้หรอก แต่—-ฉันจะไม่ยอมเป็นผู้กล้าที่ถูกทุกคนยอมรับ แต่เป็นผู้กล้าเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ..สุดท้ายแล้วอุดมคติก็แค่ของบังหน้าไม่ใช่หรือไง? ทุกคนพากันเลี่ยงตำแหน่งผู้กล้าสุดตัวแล้วยกมันให้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ โดยใช้คำว่าอุดมคตินำหน้าเพื่อหลอกเด็กคนหนึ่ง”
“หมายถึงผู้กล้าลาล่าหรือคะ?”
“ใช่แล้ว โกหกเธอไปก็เปล่าประโยชน์ เหมือนจะรู้หลายๆเรื่องดีกว่าฉันอีก”
ชุนกำหมัดตัวเองแน่นและกัดฟันกรามอย่างเจ็บใจ
“ลาล่าน่ะ ..แค่หลงมัวเมาไปกับอุดมคติเท่านั้น เป็นแค่คนโง่เขลาที่ให้พวกเบื้องบนเศษสวะหลอกใช้ เธอก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเองแท้ๆ”
“…นั่นสินะคะ แต่ลาล่าในมุมของฉันเป็นผู้กล้าที่ดีนะคะ” อาเบลยิ้มให้พลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราตรี “ผู้กล้าแต่เดิมก็เอาอะไรไม่ได้อยู่แล้วคะ พวกเขาแค่สู้เพื่ออุดมคติเท่านั้นเอง ลาล่าก็เช่นกัน เธอสู้เพื่ออุมดมคติของตัวเอง ผู้กล้าคืออุดมคติที่จะไม่สั่นคลอน ..ที่อาณาจักรเราอยู่รอดปลอดภัยถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะผู้กล้าแบบลาล่า เพราะคนเขลาที่สู้เพื่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเท่านั้น สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโง่เขลา แต่เส้นทางที่ผ่านไปของผู้กล้ามันได้ช่วยคนมากมายไว้ไม่ผิดแน่”
แม้อุดมคติจะไม่มีทางเป็นจริง แต่ระหว่างทางก็มีคนถูกช่วยไว้ได้อุดมคติจอมปลอมนั่น
“สำหรับฉัน ผู้กล้าคือคนโง่ที่ช่วยผู้คนไว้มากมายคะ ..แต่ถ้าฉันได้เป็นผู้กล้า ฉันจะไม่สู้เพื่ออุดมคติเด็ดขาด”
“นั่นสินะ ฉันก็เหมือนกัน แต่เดิมก็ไม่ได้มีอุดมคติโลกสวยอะไรพรรค์นั้นอยู่ด้วย”
นั่นแหละสิ่งที่มีแค่ผู้กล้าเท่านั้นที่มี ไม่ใช่ความอ่อนโยน แต่เป็นความมุทะลุ
ทั้งสองเดินกันต่อไปจนถึงบ้านพักแล้ว