< < 188 Sec1 > >
พวกผมเดินทางมาถึงอาณาจักรฟัฟนิร์แล้ว
รถม้าได้จอดที่หน้าทางเข้าของอาณาจักรฟัฟนิร์ ซึ่งบริเวณกำแพงรอบๆกว่าครึ่งได้พังทลายลงมา ..ผมลงจากรถม้าพร้อมกับทุกคน
“ตามที่บอกไว้ในหนังสือพิมพ์เลยนะขอรับ”
“ย่ำแย่กว่าที่คาดไว้ซะอีก”
“เจ้าพวกนั้น ..คงยังไม่รีบไปตายกันหรอกนะ”
….
ผมควบคุมลมหายใจของตัวเอง และก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในอาณาจักร
สิ่งแรกที่เห็นคือบ้านเมืองที่พังทลาย และแคมป์ที่ถูกตั้งขึ้นชั่วคราว พบกับคนหลายคนที่นอนอยู่ในแคมป์บ้าง นั่งอยู่ข้างนอกพร้อมกับอาการบาดเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมาก นอกจากนั้นก็คือกลุ่มหมอ และพยาบาลที่วิ่งสวนทางกันไปมา
เสียงร้องอวดครวญ เสียงเด็กร้องไห้ เสียงโวยวาย หลากหลายเสียงจากใครสักคนที่หลากหลายคนดังขึ้นไม่มีหยุด บรรยากาศผิดกับวันทั่วๆไปในอาณาจักรแห่งนี้
ก็จริง ที่อาณาจักรแห่งนี้ไม่ได้สวยหรู แต่ว่า ..มันคือสถานที่ที่น่าอยู่กว่าที่เห็นมาก
พวกผมเดินไปเรื่อยๆ ชมสภาพที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรมหาอำนาจ
อาณาจักรฟัฟนิร์ในเวลานี้มีสภาพที่เละเทะ แทบจะสามจากสี่ส่วนพังประปรายกันไป เกือบจะหนึ่งส่วนจากสี่ส่วนถูกลบหายไปโดยอะไรบางอย่าง หลายสิ่งหลายอย่างถูกทำลาย และถูกลบหายไป นอกเหนือจากนั้นข้างๆอาณาจักรก็ยังมีประสาทลอยฟ้า ‘เทลาเทล’ ตั้งอยู่ จากที่สังเกตุ คงจะอพยพคนเข้าไปอาศัยในนั้นเป็นการชั่วคราว ..
ในช่วงที่ผมไปงานประชุมโลก ก่อนไปจบที่อาณาจักรเนลยอน เป็นเวลาเพียงแค่เดือนเศษๆเท่านั้น เวลาแค่นั้นมันเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้เลยหรือ? กับอาณาจักรที่ทรงด้วยอำนาจ ขนาดถูกขนานนามว่า อาณาจักรมหาอำนาจ ผม ..
ระหว่างที่เดินกัน ชินสังเกตุเห็นศูนย์ฝึกอัศวินที่ถล่มลงมา
“น่าเจ็บใจนิดหน่อยนะขอรับ”
“นิดหน่อยมันน้อยไปนะสำหรับฉัน”
ผมเดินผ่านผู้คน และเศษซากมากมายจนไปหยุดอยู่ที่แคมป์หน้าคฤหาสน์ของตระกูลดราแคล์ โชคยังดีที่ที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก เลยตั้งใจจะเดินเข้าไป ทว่าเสียงเรียกก็ดังขึ้นข้างๆก่อน
“ทะ ท่านเรเซอร์!?”
เสียงที่แสนคุ้นเคย และอบอุ่น
ผมหันกลับไปหาเสียงนั้น และพบกับ ‘เรเซล’ เมดที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก และว่าที่ภรรยาของผม
“เรเซล! ปลอดภัยดีสินะ!”
“คะ ค่ะ”
ผมไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดอีกฝ่าย
“แต่เดิมทางฉันก็พึ่งกลับมาเหมือนกัน ..อ่า ฮะ ฮะ”
“ไม่ว่ายังไงปลอดภัยก็ดีแล้วละ ..”
ระหว่างทางที่เดินมา ผมจินตนาการถึงภาพหลายๆอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น แน่นอนว่ารวมถึงการสูญเสียที่ผมหวาดกลัวเหลือเกินว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ..กลัวจริงๆนะ เรเซอร์ ดราแคล์ ที่มักโดนด่าว่าโฉดชั่วเลว ไม่เว้นวัน อย่างผมก็กลัวเป็นเหมือนกัน
ผมกอดเรเซลแน่น โดยไม่สนสายตาของใครทั้งนั้น เรเซลหันไปมองคนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังผม และยิ้มเจื่อนๆอย่างเขินอาย
“โอ๋ๆ”
ก่อนที่เธอจะใช้มือที่อ่อนโยนตบหลังผมเบาๆเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตัวผมลง
“ฉันปลอดภัยดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร ท่านแองเจลิน่า ท่านเซบาสเตียน กับอันน่าเองก็ด้วย ทุกคนยังสบายดีนะคะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ..”
เรเซลผละร่างของผมออก เรเซลจ้องผมในระดับสายตาที่สูงกว่าผมทั้งที่ผมตัวสูงกว่า เนื่องจากผมเผลอลงไปทรุดลงกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้กระมัง?
“เอาเป็นว่าค่อยๆพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ ท่านเรเซอร์ เป็นอย่างไรบ้างคะ? เดินทางเหนื่อยหรือเปล่าคะ? รับประทานของว่างก่อนดีไหมคะ?” เรเซลยื่นหัวเข้ามาชนกับหัวของผม เพื่อเช็คอะไรบางอย่าง “ไม่ได้เป็นไข้หรืออะไรหรอกนะคะ?”
…เรเซล
ผมเข้ากอดเอวของเรเซล เอาหัวซุกไปที่พุงน้อยๆของเธอ
“แบบนี้แปลว่าสบายดี ไว้ค่อยๆคุยกันหลายๆเรื่องนะคะ ท่านเรเซอร์”
“..อ่า”
….
….
อานิม่าชี้นิ้วมาทางผม พร้อมกับหันหน้าไปหาเคียวยะ
“ปกติเป็นแบบนี้เหรอคะ?”
“อะ…อ่า ประมาณนั้น ..มั้ง”
“แล้วจะอายแทนทำไมเนี่ย ต้าวเคียวยะ ต้าวชินก็ด้วย”
ฟัฟนิร์ใช้ศอกแทงเคียวยะแบบแหย่ๆ แต่เหมือนเคียวยะจะไม่เล่นด้วย ส่วนชินก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแบบเขินๆ
“อย่ามาเรียกฉันว่า ‘ต้าว’ ไอ้มังกรสถุล”
“ไหงนั้นเล่า!!?”
ผมหันไปมองข้างหลังจึงพึ่งรู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องน่าอายอยู่ ไม่ดีต่อเด็ก(ทางจิตใจ)ที่รับชมอยู่อย่าง เมอัน ด้วยสิ จึงรีบผละตัวออกจากหน้าท้องอันนุ่มนิ่มน่านอนของเรเซล และลุกขึ้นยืน พร้อมกระกระแอ่มเบาๆ
“คุณเรเซอร์ผู้เกรี้ยวกราด และแพรวพราวประหนึ่งเพลย์บอยคนนี้ พออยู่กับคนรักแล้วชอบปล่อยลูกอ้อนเหมือนเด็กสินะคะเนี่ย”
“หยุดเลยนะ อานิม่า พูดมากกว่านี้หล่อนเจอดีแน่”
“เข้าใจแล้วค่ะ จะหยุดแซวนะคะ เนื่องจากว่าไม่อยากโดนจอมมารไล่ฆ่าอีกเป็นหนที่สองแล้ว ..ฮุุฮุ”
ยะ ยัยนี่กวนตีนกันอยู่นี่หว่า
ผมกำหมัดแน่น รู้สึกอับอายหน่อยๆก็จริง แต่ว่า ..ได้ยินว่ามีอีกหลายคนที่ปลอดภัยดีผมก็ดีใจ
เรเซลหันไปยิ้มให้กับแขกทุกๆคน เธอสะดุดตากับชินเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าหน้าคุ้นๆ ..ก็คนๆนั้นแหละ
“ท่านชิน?”
“ไม่ได้พบกันเสียตั้งนานนะขอรับ ท่านหญิง”
ชินโค้งศรีษะให้อย่างงดงาม ฟัฟนิร์เห็นก็พยายามเลียนแบบแต่ก็ได้แค่เลียนแบบ
“ท่านชินยังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วย แถมยัง ..ไม่ปกปิดตัวตนแล้วด้วย” เรเซลพูดพลางจ้องไปที่หน้าอกของชิน “..เอ๊ะ? ท่านหญิง”
“ใช้เรียกท่านเรเซลที่มีศักดิ์เป็นคนรักของท่านเรเซอร์ขอรับ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็แก้มแดงขึ้นมา ผิดกับเรเซลที่ดูสงบเสงี่ยมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คิดว่าวิธีนี้ดูดีเกินไปสำหรับผู้สูงส่งอย่างท่านชินนะคะ แต่ว่า ..ดีใจจังเลยค่ะ”
จังหวะที่ยิ้มแก้มของเรเซลก็แดงขึ้นมาหน่อยๆ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
น่ารักเกินไป-แล้ว!
ผมกระอักพลังแห่งความรัก และทรุดลงกับพื้นอย่างหมดหนทางต่อกรกับสถานะทางจิตใจนี้ ได้แต่ขยี้หัวใจตัวเอง และร้องออกมาว่า น่ารักโว้ย!!!
“ไม่ชอบหรือครับ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือว่า ..”
เรเซลคงจะกังวลเกี่ยวกับสถานะทางสังคมของตัวเองที่ต่ำกว่าผมมาก แต่สำหรับผมนั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เรียกได้ว่าโยนมันทิ้งๆไปเถอะเรื่องพวกนั้น ต่อให้ผมกับเรเซลจะปฏิบัติตัวไม่สมฐานะกันและกัน แต่แล้วยังไง ใครจะมาหยุดให้ผมเลิกรักใครสักคนได้ (น้ำเน่า)
“เรียกอย่างนั้นก็ได้นะชิน”
เรเซลมองสลับไปมาระหว่างผมกับชิน ก่อนที่จะยิ้มแบบน่ารักอีกครั้ง
“ฝากตัวด้วยนะคะ ท่านสามี”
โดนอีกดอกจนได้
“ชะ ช่วยพักสักห้านาทีก็ยังดีนะ เรเซล”
ตอนนี้เรเซลเองก็ใช่ว่าจะใสซื่อถึงขนาดไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหยอกคำหวานใส่ผมอยู่ เธอทำท่ายิ้มเหมือนโดนจับได้ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องทันที คงกะจะให้ผมพักแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นจะนำทางไปพักผ่อนกันก่อนนะคะ”
ในช่วงที่พวกเราไม่ได้พบกันนาน เธอเปลี่ยนไปมาก แบบมากจริงๆ ว่าตามตรง อันนาตอนนี้ยังดูใสซื่อกว่าเธออีก ฮะ ฮะ ..
****
ภายในคฤหาสน์ของตระกูลดราแคล์เองก็รับเอาคนบาดเจ็บหลายคนเข้าไปรักษา คงจะเป็นคำสั่งของแองเจลิน่าละมั้ง เพราะได้ยินว่าพ่อกับแม่ของผมเขาไปเป็นทูตอยู่ที่อาณาจักรอื่นอยู่เลย
อย่างไรก็ช่าง พวกเราเดินมาจนถึงหน้าห้องทำงานขนาดยักษ์ เรเซลผลักประตูนั้นเข้าไป และพบกับคนคุ้นหน้าอีกสามคน
คนแรกที่เห็นก็คือ-ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ‘แองเจลิน่า ดราแคล์’ พี่สาวของผมเอง
ถัดจากเธอก็เป็น อัศวินประจำตระกูล ‘เซบาสเตียน’ แล้วก็เมดเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญของผมอีกคน ‘อันนา’ ที่เคยแซวเธอบ่อยๆว่าเป็นนางแมวร้าย แต่ตอนนี้เหมือนจะเปลี่ยนฉายามาให้เรเซลสวมแทนแล้ว
ผมเดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับคนอื่นๆโดยมีเรเซลนำทาง
“เรเซอร์!?”
“ไม่ได้เจอกันนานนะ แองเจลิน่–อุ้ก!!”
เล่นพุ่งมาพร้อมกับเวทย์สายลมเลยเรอะ!!? อีแบบนี้ถ้าไม่ใช่ผมนี่เจ็บสาหัสนะเห้ย
ผมเซ และล้มลงกับพื้นทันที ตัวผมเปล่าๆที่ไร้บัพหรือการป้องกันใดๆไม่ได้มีพลังที่ดีเลิศขนาดรับร่างคนที่แฝงด้วยเวทย์สายลมได้อยู่แล้วน่ะนะ ตามปกติ
“เดี่ยวเซ้ แองเจลิน่า ก็เข้าใจหัวอกที่คิดถึงน้องสาวผู้น่ารักอยู่หรอกนะ แต่เล่นทำแบบนี้สาหัสได้นะเห้ย”
“เรื่องงานประชุมโลกพี่ก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ทำไมไม่บอกพี่เรื่องไปร่วมสงครามที่อาณาจักรเนลยอนเลยละ!!”
…จะว่าไปผมก็ไม่ได้บอกอะไร แองเจลิน่า เลยนี่นะ คิดว่าไม่ได้สำคัญหรือเกี่ยวข้องอะไรกับแองเจลิน่าอยู่แล้วเลยไม่ได้บอกอะไร แต่ดูท่าจะทำให้เธอลำบากไม่น้อยเลย
แองเจลิน่าที่นั่งอยู่บนตัวผมมีใบหน้าคล้ายกับคนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาเธอซึมออกมาเลยละ อีกนิดเดียว หน่อยเดียวก็จะร้องออกมาแล้ว
“พี่กังวลมากเลยนะ เพราะไม่ได้ข่าวอะไรนอกจากเรเซอร์ไปเข้าร่วมเลย พอจบเรื่องทางนั้น เรื่องทางนี้ก็วุ่นวายจนไม่มีเวลาไปสืบให้ได้เรื่องได้ราวเลย ..นึกว่ากำลังลำบากอะไรเข้าซะอีก”
“คิดตามปกติ ต่อให้ไม่ลำบากก็ไม่น่าโผล่หัวมาฟัฟนิร์ในไม่กี่วันได้หรอกนะครับ เอาเป็นว่าใจเย็นๆก่อนนะ แองเจลิน่า พี่ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว”
ตามปกติเรื่องสามัญสำนึกแค่นี้ ไม่น่าต้องให้ผมสอนด้วยซ้ำแท้ๆ เล่นสติหลุดเรื่องผมแบบนี้หวังว่าจะไม่มีผลกระทบกับงานเข้านะ บอกได้แค่สมกับเป็นแองเจลิน่าที่มีรักให้ผมมากล้นจนเกินพอ ..
“โทษที พี่เผลอตัวไปนิด”
ไม่นิดละนะอีแบบนี้
ว่าแล้วแองเจลิน่าก็ลุกขึ้นจากตัวผม และสังเกตุเห็นแขกหน้าใหม่หลายคน เธอทำกระแอ่มเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ว่าแต่พาใครมาบ้างจ๊ะเนี่ย เรเซอร์”
อานิม่าเดินมากระซิบข้างหูผมเบาๆ
“พี่กับน้องเหมือนกันเลยนะคะ”
“ในแง่ไหนฟร้ะ? เดี่ยวก็จับย่างซะหรอก”
“ขออภัย”
มาแซวผมตามใจชอบจบแล้วก็เดินกลับไปจุดๆเดิม แองเจลิน่าที่เห็นผมดูสนิทกับแขกคนใหม่ดีก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
ผมถอนหายใจเฮือกโต จากนั้นก็สังเกตุได้ถึงสายตาของอันนา ..
‘ผู้หญิงคนนั้นใคร?’
ราวกับถูกตั้งคำถามเช่นนั้นอย่างรุนแรง ผมถึงกับขนลุก และลุกขึ้นยืนตัวตรงเยี่ยงชายชาติทหาร
“มะ ไม่เจอกันนานนะ เซบาสเตียน ..อันนาก็ด้วย ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงรึเปล่า?”
“งานค่อนข้างยุ่งเลยไม่ค่อยมีเวลาสนใจนายน้อยสักเท่าไหร่ ..ทางนายน้อยเองก็คงมีอะไรหลายๆเนื่องจากพวกเราไม่ว่างปรนนิบัติ จนอาจเผลอไปเก็บหมาที่ไหนมาได้รึเปล่า? กำลังกังวลเช่นนี้ค่ะ”
วะ วิธีพูดโหดร้ายเป็นบ้า แถมจู่ๆก็ดึงหน้าทำงอลซะอย่างนั้น ผมที่กำลังหน้าซีดผิดกับการต่อสู้อันดุเดือดหลายต่อหลายครั้ง ..กำลังคิดอยู่ว่าควรทำอย่างไรต่อดี
ถ้าหากว่าผมไม่ผิดจริงก็คงอาจทำเมิน แล้วยิ้มแย้มได้อยู่หรอก แต่ ..เรื่องของวินนี่สิที่ทำให้ผมกลายเป็นตาเฒ่าขุนนางโรคจิตสายเก็บคอแรคชั่นสาวชาวบ้าน!! เลวร้ายโคตรๆ!!
“เอ่อ ขอแนะนำตัวฝั่งนี้ก่อนนะ”
อันนามีสายตาที่หลักแหลม แองเจลิน่าเคยกล่าวไว้ว่าเธอน่าจะไหวพริบดีกว่าตัวแองเจลิน่าเองเสียอีก ย่อมมองออกถึงเบื้องลึงของผม
ผมกำลังทำเรื่องผิดมหันต์บางอย่างอยู่ เธอจับได้จากสีหน้าของผม
“..อ่า อย่างที่รู้กันดี นี่ เคียวยะ ตอนนี้เติบโตเป็นสุภาพบุรุษที่น่าคบหาแล้ว”
“หา?”
“ว่าไงจ๊ะ เคียวยะน้องรัก ไม่ได้เจอกันนานเลยน้า”
ล่าสุดก็งานเทศกาลโลหิตมังกร ช่วงหลังงานประชุมโลกก็เล่าเรื่องเคียวยะให้แองเจลิน่าฟังบ้างเล็กน้อย เลยอาจไม่ได้ห่างเหินกันเท่าไหร่ในมุมของแองเจลิน่า
“..อ่า ครับ ไม่ได้พบกันนาน”
เคียวยะโค้งศรีษะตอบกลับคำทักทาย ไม่ถึงกับมีมารยาท แต่ก็ไม่ได้ดูห่างเหินเหมือนที่ปฏิบัติกับคนอื่น
“คุณหนูไอริสคิดถึงน้า”
“…ครับ” เคียวยะหันหน้ามาสบถ “ยัยนั่นคิดจะเล่นอะไรกัน”
ไม่ได้เล่นหรอกนะหนุ่มน้อยผู้มีดวงตามหาปราชญ์ แต่ก็ไม่อาจรับรู้ใจจริงของหญิงสาวได้เลย ว่าง่ายๆก็บื้อชะมัดเคียวยะ แกนี่มันอ่อนหัดจริงๆ ไม่ได้เติบโตขึ้นเลย รู้สึกเศร้าใจจริงที่แอบเรียกแกว่าสุภาพบุรุษในใจเนี่ย สงสารไอริสจริงๆ
เฮ้อ ไม่ไหวๆ
ด้วยความผิดหวัง ผมก็รีบแนะนำคนต่อไปทันที
“เด็กคนนี้ชื่อ ‘เมอัน’ เคียวยะเก็บมาได้”
“มะ เมอันค่ะ ถูกเก็บมาเลี้ยงดูโดยพี่เคียวยะค่ะ!”
พอพูดถึงเมอัน เซบาสเตียนก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง จู่ๆเจ้าตัวก็เผลอเอามือไปสัมผัสที่ด้ามจับดาบ ก่อนจะรู้สึกตัวก็รีบเก็บมือลง แต่หลายคนในที่นี้ก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน
..คงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างนั่นแหละนะ ในฐานะอัศวินประจำตระกูลแล้ว
“ต่อไป .. ‘อานิม่า’ ฉันได้รับฝากให้ดูแลโดยเพื่อนน่ะ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทางชั่วคราว”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ท่านดัชเชสแองเจลิน่า ท่านเซบาสเตียน แล้วก็ภรรยาของคุณเรเซอร์”
อานิม่าโค้งศรีษะให้อย่างสง่างาม เล่นเอาแองเจลิน่าประทับใจหน่อยๆเลยละ—
“ภะ ภะ ภรรยา!? ภรรยาเนี่ยนะ!?”
อันนาแก้มแดงขึ้นมา จากนั้นเดเระก็เริ่มแตก
“ไม่ใช่ภรรยาสักหน่อยค่ะ ตามฐานะแล้ว กะ ก็แค่ ..น้องชายของนายเหนือหัว ไม่สิ ..เอ่อ” เธอหันมาสบตากับผม ก่อนจะหลบตาในทันที “..แค่สถานะที่ยังไม่ผูกมัดกันและกันค่ะ”
“แต่ใจฉันโดนเธอผูกไว้แล้วน้า อันนา!!”
“คึก!! พะ พูดอะไรต่อหน้าผู้คนจำนวนมากกันคะ? นายน้อย! ช่วยระมัดระวังเรื่องมารยาทหน่อยสิ!! เรื่องพวกนี้มันต้องพูด..ที่ที่ไม่มีคนอยู่สิ! โธ่เอ้ย โธ่เอ้ย ..โธ่”
หลุดการควบคุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันนาวิ่งวนไปมาพร้อมกับถูแก้มตัวเองไปมา ก่อนจะหยุดเดินและหรี่ตามองผมสลับไปมากับพื้น ทำเอาหมดมาดเมดอัจฉริยะไปเลย
แหม่ อันนานี่เล่นด้วยง่ายดีแฮะ ผิดกับเรเซลที่เหมือนผมจะเป็นฝ่ายโดนเล่นเอง ..ส่วนเบลลามีก็ ..อ่า ไม่พ้นผมโดนเล่นกระมัง?
เอาเป็นว่า-ผมหันไปไทไฟต์กับอานิม่า สมกับเป็นเทพแห่งจิตวิญญาณ ทำใจสลายความกังวลของอันนาเพื่อให้ผมสบายใจนี่เอง สุดยอดจริงเชียว
ผมกับอันนามองหน้ากัน หลบตากัน และยิ้มให้กันเป็นจังหวะราวกับรู้ใจ
“นี่ ช่วยพอสักทีได้รึเปล่านะ?”
แองเจลิน่าโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกไปถึงทรวง ความโสดคงจะกัดกินแองเจลิน่ากลายเป็นคนที่อิจฉาเวลาน้องชายมีความรักไปแล้วกระมังเนี่ย
“ช่วยไม่ได้นะ ..ต่อไปก็ ‘ชิน’ หรือชื่อจริง ‘ชินดร้า’ แห่งตระกูลคามาเลีย”
ชินโค้งศรีษะให้อย่างสวยงาม และทำการแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“ ‘ชินดร้า คามาเลีย’ ขอรับ นับจากวันนี้จะเป็นมือเป็นเท้าให้ท่านเรเซอร์ในฐานะอัศวินข้างกายขอรับ ถ้าหากไม่รังเกียจอะไร สามารถเรียกกระผมสั้นๆว่า ‘ชิน’ แทนได้นะขอรับ”
แนะนำอย่างกับคนไม่เคยรู้จักกัน
ไม่ใช่แค่ แองเจลิน่า รึ อันนา ด้วยที่ตกใจ เซบาสเตียนก็ดูจะตกใจเล็กน้อย
“ชิน ..ชินคนนั้น?”
แองเจลิน่าส่งสายตามาทางเรเซล เรเซลตอบรับโดยการยิ้มให้
“น่าเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าที่เรเซอร์บอกว่าชินยังไม่ตายจะเป็นเรื่องจริงนะคะเนี่ย นึกว่าเด็กคนนี้พยายามหลอกตัวเองอยู่ด้วยซ้ำ ..ว่าไงดี”
“ของจริงค่ะ ท่านแองเจลิน่า” อันนาพูดขณะที่จ้องหน้าอกของชินอยู่ “ดิฉันไม่เคยลืมวันนั้นเลยค่ะ”
อันนาโพล่งด้วยสีหน้าที่จริงจังสุดๆ คล้ายว่าไปเจอเรื่องฝังใจบางอย่างมา ..รู้สึกแปลกๆแฮะที่มีความลับที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับชิน อย่างเรเซลก็มีปฏิกิริยาในการยืนยันตัวตนของชินเหมือนกับอันนาเป๊ะๆเลยด้วย
“วันไหนจ๊ะเอ่ย แหม่ อันนานี่บางครั้งก็แปลกเนอะ อย่าไปใส่ใจเลยนะจ๊ะ ชินดร้า”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ต่อจากชินก็ตัวปัญหานิดหน่อย
ผมกับฟัฟนิร์หันมาจ้องหน้ากัน โดยไม่ทันบอกให้ทำอะไร ฟัฟนิร์ก็เดินมาข้างหน้าพร้อมกับท่าเท้าสะเอวสุดเย่อหยิ่งต่อหน้าดัชเชส ถึงแองเจลิน่าจะไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ไม่งามนะอีแบบนี้
“ฟัฟนิร์เอง ปกติกินวันละห้ามื้อ นอนอย่างน้อ–”
“ประเดี่ยวก่อนนะขอรับ ..ท่านฟัฟนิร์ ทำตามผมสิครับ”
“อย่าห้ามข้า ต้าวชิน!”
ชินถอนหายใจเฮือกโตอย่างยากจะได้เห็น จากนั้นก็เห็นเธอเข้าไปซุบซิบกับฟัฟนิร์เล็กน้อย ก่อนที่ฟัฟนิร์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“ฟัฟนิร์ค่ะ!! มีอะไรให้ใช้งานก็บอกได้นะคะ เต็มที่ค่ะ!! ปกติ..กินวันละสี่มื้อ นอนวันละสิบชั่วโมงค่ะ!!”
คาแรคเตอร์เปลี่ยนเยอะไปแล้วเฟ้ยยัยนี่!! แล้วที่พล่ามออกมาเนี่ยต่างกับเดิมหน่อยเดียวเอง จะโลภก็ช่วยโลภให้ไม่สวนทางกับการกระทำหน่อยได้ปะ? ทำแบบนี้มีแต่จะหมันไส้กว่าเดิมนะจะบอกให้
แต่ผิดคาด
“เป็นเด็กที่น่ารักดีนะเนี่ย ชื่อ ฟัฟนิร์ เหรอจ๊ะ ชื่อเหมือนกับท่านมหามังกรเพลิงเลย เพาะมากเลยจ๊ะ”
“..คนดีนี่นา”
ฟัฟนิร์หันมามองหน้าผม คล้ายตั้งคำถาม
เออสิ นี่พี่สาวตู ต้องแสนดีกว่าใครๆอยู่แล้ว แม้จะคิดอย่างนี้แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปหรอก
เอาเป็นว่า เอาเป็นว่า ในที่สุดก็จบการแนะนำตัวที่เต็มไปด้วยเรื่องน่ารำคาญสักที ..
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เข้าเรื่องเลยนะ แองเจลิน่า”
แองเจลิน่ารับรู้ได้จากน้ำเสียงผมว่าได้เวลาจริงจังแล้วเธอก็พยักหน้ารับ
“เกิดอะไรขึ้นที่อาณาจักรแห่งนี้กันแน่”
ได้ยินเช่นนั้น แองเจลิน่าก็หลับตาลง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง–