เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 302

< < 188 Sec2 > >

ก็แค่เรื่องง่ายๆเลย

อาณาจักรฟัฟนิร์โดนคนที่มาจากบนฟ้าจู่โจม และกลายเป็นสภาพดังที่เห็น ไม่ได้รู้สาเหตุ หรืออะไรนอกเหนือจากนั้น แม้แต่ผู้นำระดับแองเจลิน่ายังรู้เพียงแค่นั้น 

แต่ถ้าพูดถึงความเสียหายทั้งหมด เธอพอจะบอกเล่าให้ฟังได้

โซนที่พักอยู่อาศัยของชนชั้นกลาง-ล่างถูกลบหายไปเหลือเพียงแต่พื้นดิน โซนท่องเที่ยวโดนทำลายเละจนหมดสภาพ โซนอื่นๆนอกเหนือจากนั้นมีเศษซากจากการต่อสู้ประปราย กำแพงนอกรอบเมืองโดนถล่มไปกว่าครึ่ง สามในสี่หอคอยอันเป็นที่พักอาศัยของราชวงศ์หักลงมาสู่พื้น

ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,687 คน โดยที่ตัวเลขยังไม่หยุดนิ่ง รวมถึงมีผู้ที่ได้รับอากาศบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ทั้งนี้ทั้งนั้น จำนวนเหล่านี้ไม่ได้นับรวมทหาร อัศวิน จอมเวทย์ ที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาจักร 

ความเสียหายที่เกิดก่อให้สภาวะที่ยากลำบากหลายๆอย่าง และคาดว่าคงต้องใช้เวลาเป็นปีๆกว่าจะฟื้นฟูกลับมาให้เหมือนเดิมได้เพียงแปดคนเท่านั้น คนจากท้องฟ้าไม่ถึงสิบชีวิตเข้าต่อสู้กับคนของอาณาจักรฟัฟนิร์ที่นำทัพมาโดยเสาหลักของอาณาจักร โดยที่ทางอาณาจักรสามารถชิงชีวิตมาได้เพียงสี่ชีวิต แลกกับ–

ทหาร 5,012 นาย

จอมเวทย์ 306 นาย 

อัศวิน 489 นาย

อัศวินเวทมนตร์ 76 นาย

กองทหารเสือที่มีสมาชิกชั้นยอดอยู่ราว 12 นาย ได้เสียชีวิตไปถึง 11 นาย จากทั้งหมด 12 นาย

หัวหน้ากองอัศวินเวทมนตร์ หนึ่งในชายผู้มีความแข็งแกร่งทัดเทียมคาลอส และอยู่ในฐานะเสาหลักของอาณาจักร ได้เสียชีวิตจากการต่อสู้

ดาบคู่ราชสีย์ นักดาบผู้มีความแข็งแกร่งทัดเทียมคาลอส หนึ่งในเสาหลักด้านกองกำลังของอาณาจักร ได้เสียชีวิตจากการต่อสู้

….นั่นคือรายงานความเสียหายทั้งหมด

“เสาหลักของอาณาจักร ..ตายไปสอง”

“ถ้านับคนก่อนหน้าด้วย ก็หายไปห้าคน พูดให้ถูก อาณาจักรฟัฟนิร์แห่งนี้ไม่มีเสาหลักในการต่อสู้แล้วละ ตัวตนระดับเดียวกับคาลอส ..ทุกคนไม่ตายก็หายไปหมดแล้ว ณ ปัจจุบันนี้”

อาณาจักรแห่งนี้มีเสาหลักที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากอยู่ทั้งหมด 5 คน ได้แก่ 

ราชาอัศวิน ‘คาลอส’ หัวหน้าของกองกำลังอัศวิน สถานะ : หายสาบสูญ

ราชาจอมเวทย์ ‘วินดาฟ’ ผู้นำของเหล่าจอมเวทย์ สถานะ : เสียชีวิต

อัศวินตาเดียว ‘เบลเดียล’ หัวหน้ากองอัศวินเวทมนตน์ สถานะ : เสียชีวิต

ดาบคู่ราชสีย์ ‘ทาทารัต’ หัวหน้ากองทหารเสือ สถานะ : เสียชีวิต

เจ้าหญิงมังกร ‘หนิง’ อำนาจมหามังกรแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ สถานะ : หายสาบสูญ

หากให้เทียบพวกเขาเหล่านี้กับอาณาจักรข้างเคียงอย่างเนลยอน พวกเขาก็เปรียบได้ดั่ง เท็งงุ เบ็นจิโร่ รึ ไรเดน อาคาสะ ที่คงอยู่ในฐานะตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด อันเป็นตัวตั้งตัวตีกับอาณาจักร และภัยร้ายทั้งหมดทั้งมวล การมีอยู่ของพวกเขาคือไม้กันหมาที่เอาไว้ข่มขู่ศัตรูจากต่างแดนทั้งหมดว่าหากคิดรุกรานที่แห่งนี้ ก็จงเตรียมต่อกรกับบุคคลเหล่านี้เสีย ..ทว่า เวลานี้อาณาจักรฟัฟนิร์ได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้ว ทั้งผู้คนจำนวนหลายชีวิต และเสาหลัก

…ผมพอรู้ว่า คาลอส ยังไม่ตาย ถึงจะโดนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ แต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวทำหน้าที่ของตัวเองเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์อยู่ ส่วนหนิงก็พร้อมจะช่วยอาณาจักรฟัฟนิร์เสมอ แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ได้ว่างจะมาช่วยเรื่องของทางนี้

เอเธอร์? ไม่มีชื่อนั้นออกมาจากปากของแองเจลิน่า ..ถึงจะสงสัยเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีเวลาให้ถามเรื่องนี้เลย

แองเจลิน่าหรี่ตามองผ่ากระจกไปยังผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้

“โดยสรุป การต่อสู้ก็จบลงด้วยการขับไล่ผู้คนจากบนฟ้าได้ พร้อมกับสังหารไปได้ถึง 4 ชีวิต แต่ว่าเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เรียกว่าเสมอยังดูดีไปด้วยซ้ำ ..อาณาจักรฟัฟนิร์ได้พ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ สถานะตอนนี้แทบจะไม่ต่างกับประเทศที่เจอภัยพิบัติขนาดใหญ่ หลากหลายปัญหาคงจะตามกันมาในไม่ช้าก็เร็ว พวกขุนนางจะมีอำนาจมากขึ้น และหมายชิงบังลังค์ของราชวงศ์ เนื่องจากว่ากลุ่มทหารที่คอยอารักษ์ขาได้ตายไปอย่างมหาศาล ..ชาวเมืองที่พอจะมีกำลังก็เริ่มพากันหนีห่างจากที่แห่งนี้ สุดท้ายพวกเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้”

…..

“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าจุดเปลี่ยนของยุคสมัยสินะ?”

“นั่นสินะครับ ..แองเจลิน่า พี่จะไม่อันตรายแย่เหรอ? เห็นได้ชัดว่าตระกูลของเราสนับสนุนราชวงศ์เต็มที่ อีแบบนี้ไม่ใช่ว่า..”

“ไม่ช้าก็เร็วคงเจอศึกหนักแหละนะ เคยแอบได้ยินว่าทางนั้นทำสัญญาพิเศษกับเทพดาบไว้ด้วย ถ้าเจอคู่ต่อสู้ระดับเทพดาบ โดยที่ทางเรามีกำลังเพียงแค่นี้ ..คงยากจะเอาชนะได้ ในท้ายที่สุดก็ยากจะเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตระกูลดราแคล์อาจจะต้องหลบหนีจากการต่อสู้ชิงอำนาจ แล้วก็ไปอาศัยอยู่ที่ไกลแสนไกลก็เป็นได้นะ”

“ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก เทพดงเทพดาบอะไรนั่น ขอแค่ 5 นาทีก็พอแล้ว”

5 นาทีที่ว่าหมายถึงไม่ผมก็คนๆนั้นต้องตายสักคนนะ ไม่ใช่ว่าผมเป็นฝ่ายชนะชัวร์ๆหรืออะไร …

“นั่นสินะจ๊ะ ทางเรามี เรเซอร์ ดราแคล์ ผู้ผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือดแล้วรอดชีวิตกลับมาหาพี่ได้อยู่นี่นา ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยก็จริงนะ” แองเจลิน่าหุบยิ้มลง ประหนึ่งกดสวิทซ์เปลี่ยนอารมณ์ “แต่ว่านะ ในฐานะพี่สาว ย่อมไม่อยากลากน้องชายเข้าร่วมสงครามอยู่แล้ว พี่สาวที่เอาตัวเองไม่รอดจนต้องให้น้องชายมาเสี่ยงตายเนี่ย ใช้ไม่ได้หรอกนะ”

พูดได้สมกับเป็นแองเจลิน่าดี ทำเอาอยากสวนว่า พี่สาวที่เอาแต่ปกป้องน้องชายจนตัวเองจะตายก็ได้เนี่ยก็ไม่ไหวปะ เลยละ แต่ถึงจะเถียงไปก็คงไม่ได้บทสรุปที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย ให้พูดคือตัวใครตัวมัน อยากทำอะไรก็ทำไป

คงจะคิดอะไรเหมือนๆกันเข้า ผมกับแองเจลิน่าแค่จ้องหน้ากันก็เผลอหลุดขำออกมาทั้งคู่เฉยเลย

“เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้ แต่ว่าพี่คิดว่ามันมีเรื่องที่สำคัญกับตัวเรเซอร์มากกว่าที่พี่รู้อยู่”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“เบลลามีหายตัวไปน่ะ แม้จะทุ่มทั้งกำลังกาย และเวทมนตร์โดยคนของพี่เพื่อค้นหาก็ยังไม่พบตัวเลย คาดว่าน่าจะออกจากอาณาจักรฟัฟนิร์ไปแล้ว ..ขอโทษด้วยนะ”

….ไม่หรอก

ผมพอจะคาดเดา หรือประติดประต่ออะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเรื่องของเบลลามีและคนจากท้องฟ้า รวมถึงเรื่องของเอเธอร์ด้วย แองเจลิน่าที่อยู่ในมุมมองคนนอกไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก เธอทำดีที่สุดเพื่อผมแล้ว อาจจะทำดีเกินไปด้วยซ้ำ

“ขอบคุณนะ แองเจลิน่า ถ้านั้นผมขอตัวไปหาคนอื่นๆก่อน”

“ถ้าพวกหนูเรเซล ตอนนี้พวกเขาอยู่กันที่บาร์ของเพื่อนน้องที่ชื่อ ฮาเก้น นะ”

เป็นข้อมูลที่ช่วยได้มากทีเดียว

 

****

จากนั้นผมก็ไปหาโซเฟีย สิ่งที่ผมเห็นก็คือสภาพที่ดูน่าสิ้นหวังของพวกเธอ กอรี่บาดเจ็บสาหัสและยังคงไม่ได้สติ ทางโซเฟียปกติดีก็จริง แต่สภาพจิตใจไปกันคนละทางเลย เวลานั้นผมทำอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่ได้เลยนอกจากโอบกอดโซเฟียเอาไว้ และสัญญาว่าจะช่วยกอรี่ให้ได้ ….

ไม่ได้คุยอะไรมากมาย ผมทำได้แค่ปลอบโซเฟียในยามที่อ่อนแอ ในทีแรกตั้งใจจะถามเบาะแสอื่นๆแต่เธอตอนนี้ยังไม่พร้อม จึงไม่ถาม และให้อานิม่าอ่านจิตวิญญาณของโซเฟียแทน

ผมนั่งปลอบจนโซเฟียหลับแล้วจึงเดินออกมาจากบาร์ที่ฮาเก้นทำงาน ทักทายพ่อกับแม่ของโซเฟีย และมานั่งเล่นอยู่กลางเมืองพร้อมกับคนอื่นๆที่ตามกันมาตลอด

“เจอมาหนักน่าดูเลยนะ”

ฟัฟนิร์โพล่งขึ้น

“ชวนให้นึกถึงช่วงที่ข้านิสัยไม่ดีเลย”

“คงจะอารมณ์เดียวกันนั่นแหละ ใช้ชีวิตอยู่ดีๆก็ซวยโดนพรากหลายสิ่งหลายอย่างไปแบบนั้น ..มันน่าเจ็บใจจริงๆนั่นแหละ”

บางคนอาจจะทนไหว บางคนอาจทนไม่ไหวจนได้แต่ร้องไห้เสียใจ และบางคนที่พอมีพลังก็อาจคิดจะแก้แค้นน่ะนะ

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ? อานิม่า”

ผมหันไปถามอานิม่าที่ส่งสัญญาณให้อ่านจิตใจของเรเซล 

“เหมือนว่าจะโดนคนจากท้องฟ้าที่ว่าบุกโจมตีในตอนที่พวกเธออยู่กับจอมมาร จากนั้นก็เกิดการต่อสู้ ระหว่างเอเธอร์ที่เข้ามาช่วยกับคนจากท้องฟ้า พวกเบลลามีก็พาเโซเฟียกับกอรี่หนีมาด้วย แต่ก็พลาดท่า กอรี่โดนคำสาปเข้า สถานการณ์วุ่นวายสุดๆ รู้ตัวอีกที โซเฟียกับกอรี่ ก็หลงทางกับพวกของจอมมาร เพราะไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี โซเฟียก็นั่งหลบอยู่แถวๆนั้นรอการต่อสู้จบลงน่ะ ..สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็นค่ะ”

….

“คนจากท้องฟ้าที่ว่า คือ?”

พอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่ผมถามอานิม่าเพื่อความแน่ใจ ยังไงซะ เธอก็เป็นถึงเทพที่อยู่อาศัยมานานแสนนาน

“ ‘ทูตสวรรค์’ ขี้ข้าของออโรโบรอส”

ตามคาด แต่เดี่ยวนะ

“ขี้ข้าออโรโบรอส? ไม่ใช่ว่าทูตสวรรค์มีหน้าที่รับใช้พวกเธอทุกคนที่เป็นสิบทวยเทพหรือไง?”

“ตามปกติมันก็เป็นอย่างนั้นค่ะ แต่สัญชาตญาณของทูตสวรรค์สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘พระเจ้า’ ที่ตายจากไป รองลงมาคือ ‘ทวยเทพทั้งสิบ’ อย่างตัวฉัน แต่ว่าเป้าหมายของออโรโบรอสคือการคืนชีพพระเจ้าขึ้นมา เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิธีคิดขึ้นมา ..จะยังไงก็ได้ ขอให้พวกเราได้รับใช้พระเจ้าสูงสุดเป็นพอ เพื่อการนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหสนับสนุนให้ออโรโบรอสที่คิดจะคืนชีพพระเจ้าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งแทน รู้ตัวอีกทีก็ ..นั่นแหละ แม้แต่ทวยเทพอย่างฉัน ถ้ามาขวางก็คงโดนซัดกะเอาตายเหมือนกัน”

เหวอ มาเฟียชัดๆนะนั่น

ทำไมโลกใบนี้มันชอบทำให้เช็ตติ้งอะไรหลายๆอย่างดูเสียของกันนะ ตั้งแต่มหามังกรที่มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง จนตอนนี้ก็เป็นทูตสวรรค์มาเฟีย ..ถ้าผมเป็นคนนอกคงจะฮาลั่นไปแล้ว แต่น่าเศร้าที่ผมดันประสบพบเจอกับเรื่องแย่ๆ เพราะไอ้พวกมาเฟียสวรรค์เวรนั่น

“เห็นบอกว่ามากันแปด แต่ตายกันสี่นี่”

ไม่น่าเท่าไหร่หรอกมั้ง?

“คงไม่แปลกหรอกที่จะมีพลาดบ้าง จากความทรงจำของเด็กคนนั้น(เรเซล) เอเธอร์เข้าต่อสู้กับทูตสวรรค์เชียวนะคะ แถมผู้คนในอาณาจักรฟัฟนิร์ก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย ไม่ว่าจะ หัวหน้ากองอัศวิน หรือว่าดาบคู่สวรรค์คนนั้น กองทหารเสือเองถ้าจับกลุ่มกันสิบสองคนก็สามารถต่อกรกับระดับทูตสวรรค์ได้เลยทีเดียว ต่อให้ทูตสวรรค์ทุกตนมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับพวกระดับท็อปโลกก็ต้องเกิดการสูญเสียบ้างเช่นกัน”

ทูตสวรรค์ทรงพลังเทียบเท่าพวกระดับท็อปโลกเลยสินะ แค่นึกภาพพวกสัตว์ประหลาดแปดคนจับกลุ่มกันบินไล่ถล่มอาณาจักรก็สยองแล้วแฮะ ..

เคียวยะที่นั่งฟังเงียบๆมาตลอดเริ่มพูด

“พวกมันทั้งหมดใครแข็งแกร่งที่สุด หรือมีลักษณะเด่นอะไรกันบ้าง พอรู้มั้ย อานิม่า”

“สี่คนที่ตายไปน่าจะอ่อนแอที่สุดนั่นแหละค่ะ แต่อีกสี่คนบนเทียบกับมาตรฐานในปัจจุบันของหมู่ท็อปโลกก็อยู่ในระดับค่อนข้างสูงทีเดียว ให้ตีไว้คร่าวๆว่าทุกตนแข็งแกร่งเท่ากับหรือมากกว่า เมอันที่เป็นมหามังกรแสงกับความมืดนะคะ” อานิม่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “แต่ถ้าให้พูดถึงตัวตนที่ต้องระวังให้มากที่สุดก็หนีไม่พ้น ‘มิคาเอล’ ค่ะ เธอเป็นหัวหน้าของทูตสวรรค์ ทั้งยังเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคโบราณ นอกเหนือจากนั้นก็ ..เอ่อ”

อานิม่าดูอึดอัดหน่อยๆ แต่ไม่นานก็ทำใจแล้วโพล่งออกมา

“ในอดีต มิคาเอลเป็นภรรยาของ ‘ราชาผู้พิชิต’ ‘โอลิเวอร์’ น่ะค่ะ”

……

…..

หา?? เดี่ยวนะ ภรรยาของราชาผู้พิชิต? ทูตสวรรค์แต่งงานกับราชาผู้พิชิต? นี่มัน ..อะไรกันฟร้ะ

“ทั้งสองตกลงกันไว้ค่ะ ว่าถ้ามิคาเอลยอมมาเป็นภรรยาของเขา เขาจะให้สมบัติทั้งหมดที่ตัวเองมีหลังจากตาย แล้วก็พร้อมมอบโลกใบนี้ให้โดยไม่ติดขัดอะไร ..น่ะค่ะ”

อะ อะ ไอ้เปรตโอลิเว่อร์นั่นมันขายชาติ—ไม่สิ ขายมนุษย์ชาติเลยนี่หว่า จะเกินไปแล้วนะโว้ยยย

ไม่ใช่แค่ผมที่เดือด เคียวยะจู่ๆก็เลือดขึ้นมา และลุกขึ้นมาโวยวาย

“ฉันขออาสาขยี้มันเอง โอลิเว่อร์อะไรนั่นตอนนี้เป็นวิญญาณระดับเทพอยู่สินะ จะตามไปขยี้ให้เละเอง ช่วยบอกทีอยู่มาที”

“ปัจจุบันทำพันธสัญญากับ ‘ปัญญาพระเจ้า’ ‘มาเจล’ อยู่ค่ะ สามารถตามไปเล่นงานได้เต็มที่เลยนะคะ”

ท่านเทพแห่งจิตวิญญาณไม่รู้มีความแค้นอะไรกับโอลิเว่อร์ถึงได้กำซับมาเช่นนั้น ..พอผมสงสัย หล่อนก็หันมาตอบคำถาม

“จริงๆฉันเริ่มอาศัยอยู่ป่าอาถรรพ์ก็ช่วงยุคของโอลิเว่อร์น่ะค่ะ ส่วนเหตุผลที่ต้องไปอาศัยอยู่ที่ป่านั่นอย่างช่วยไม่ได้ เป็นเพราะฉันไม่เห็นด้วยกับการคืนชีพพระเจ้า โอลิเว่อร์กับภรรยาของเขา มิคาเอล จึงลากฉันเข้าป่าอาถรรพ์เพื่อปิดผนึกฉันไว้ ..”

ต่อให้เป็นเทพแห่งจิตวิญญาณที่เข้าใจในจิตใจของผู้อื่นดีกว่าใครๆ จนไม่ว่าจะโดนกระทืบ โดนเละ โดนต่อย หรือโดนอะไรก็เกลียดใครไม่เป็น ทว่า ..

“พอทำความเข้าใจกับจิตใจของเขาก็ ..รู้สึกให้อภัยไม่ไหวอยู่ดีค่ะ คนๆนั้นคือกลุ่มก้อนของกิเลศที่ไร้จุดสิ้นสุด ทั้งยังเป็นความโลภที่แสนบริสุทธิ์ ไร้สาเหตุ เหตุผลในการเป็นตัวของเขา เขาเกิดมาเพื่อพิชิตทุกสิ่ง และทำทุกอย่างตามใจตัวเองอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีเบื้องลึกอะไร ..ว่าง่ายๆ เป็นตัวตนมิติเดียวที่น่าขยะแขยงค่ะ”

มาแล้วครับ มาแล้ว สิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกรังเกียจโดยแม่พระอานิม่า แหม่ ไอผมก็เข้าใจอยู่นะถ้าโดนเข้าไปขนาดนั้น เป็นผมนี่แค้นถึงขั้นอยากบีบคอให้ตายทั้งผัวเมียเลย แต่ว่าอานิม่ากว่าจะเกลียดก็ไปที่ขั้นตอนการทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณ พอได้เหตุผลว่า อ่อ ไอ้หมอนี่มันแค่บ้าตามใจเมียแค่นั้น ก็เลยเลือดขึ้นหน้าอย่างช่วยไม่ได้

นึกๆดูแล้ว โอลิเว่อร์ตามคำบอกเล่าของอานิม่าเนี่ย เป็นตัวตนที่เหมือนกับ มาเจล ผู้ใช้งานเลยแฮะ ไอ้ที่เรียกว่าตัวตนมิติเดียวที่น่าหมันไส้นั่นน่ะ สมกับที่ทำพันธสัญญากับโอลิเว่อร์ได้

“เอ่อ ขอโทษนะคะ พูดเรื่องของโอลิเว่อร์ยาวไปหน่อย ที่อยากจะให้ระวังมิคาเอลเป็นพิเศษ เพราะลำพังตัวเธอก็ทรงพลังมากแล้ว แต่ตัวเธอเวลานี้มีสมบัติของราชาผู้พิชิตอยู่กับตัวด้วย ความอันตรายจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สำหรับคุณเรเซอร์ ขอให้คิดไว้ว่าการรับมือกับมิคาเอลนั้น เทียบเท่ากับการเข้าต่อสู้กับ ‘เอเธอร์’ ค่ะ”

ระดับเดียวกับเอเธอร์เลยสินะ แค่คิดผมก็รู้สึกสยองแล้ว อย่างที่รู้กันดีว่าในอดีตผมเคยโดนเอเธอร์สั่งสอนอย่างดีหนึ่งครั้ง และนั่นเป็นการโดนเอเธอร์กระทืบฝ่ายเดียวที่ผมจะจำไม่มีวันลืมเลยละ ..บางที สำหรับผมการต่อสู้กับเอเธอร์มันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดไปแล้ว

ความรู้สึกไร้พลัง ไร้ทางสู้ มักจะผุดขึ้นมาเสมอเมื่อคิดว่าหากตัวเองต้องสู้กับเอเธอร์อีกครั้ง แต่ว่าผมคือคนเดียวในโลกที่สามารถเอาชนะเอเธอร์ได้ เพราะเป็นจอมมารที่สามารถแหกกฏแห่งความแข็งแกร่งของเอเธอร์ได้ ..ต่อให้จะกลัวมากขนาดไหน แต่ผมก็จะถอยไม่ได้เด็ดขาด

ถ้าต้องสู้กัน ผมจะเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่การคาดหวัง แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้

“ระหว่างทางก็ช่วยอธิบายเรื่องของทูตสวรรค์แต่ละคนให้ฟังด้วยละกันนะ อานิม่า”

น่าเสียดายที่ในนิยายต้นฉบับไม่มีกล่าวถึงพวกทูตสวรรค์เลย ทำให้ผมไร้ซึ่งข้อมูลสำคัญ ราวกับว่ามีคนตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น?

“ระหว่างทาง?”

“จะให้อยู่เฉยๆได้ยังไง ไม่ใช่แค่เรื่องของทูตสวรรค์หรอกนะที่ต้องเตรียมตัว พวกเราต้องตามหาเบลลามีด้วย”

ผมลุกขึ้นยืน และแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

“..เบลลามี”

 

ป.ล.บอกเผื่อไว้สำหรับคนที่อ่านก่อนแก้ ตอนแรกผมเขียนชื่อโซเฟียผิดเป็นเรเซลนะครับ สำหรับคนที่อ่านก่อนแก้
 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset