< < 189 sec2 > >
(มุมมองของเบลลามี)
เราถูกช่วยชีวิตเอาไว้โดยบิลเซบับ รู้เพียงแค่นั้น
ขบวนรถไฟถูกคว่ำลงกับพื้น บางจุดเกิดการระเบิด พร้อมด้วยไฟไหม้
คนที่ลงมือก่อเหตุก็คือ ‘ทูตสวรรค์’ ผู้มีร่างใหญ่ยักษ์ และมีผมสีดำยาวซึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับปล่อยคลื่นแสงออกจากร่าง
ไม่ผิดแน่ เขาเป็นหนึ่งในคนที่บุกเข้ามาจู่โจมอาณาจักรฟัฟนิร์ในความทรงจำของเรา
“กะ ก็ว่าใคร เซราฟิม นี่เอง!!”
จากที่บิลเซบับพูด เขามีชื่อว่า ‘เซราฟิม’
เซราฟิมมองมาที่เรา และยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ถึงเวลาประหารชีวิตแล้วนะครับ ท่านโซโลม่อน”
แต่เนื้อหาที่พูดสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งบิลเซบับ ทั้งแอสโมเดียส เดินมาขวางหน้าเราเอาไว้ จากนั้นทั้งสองก็ตะโกนสวน
“แน่จริงก็อย่ามาลอบกัดสิ!!”
“ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ลงไปยังกล้าเรียกตัวเองว่าทูตสวรรค์!! นักรบผู้สูงส่งได้อีกหรือครับ!!? เริ่มจากปรับปรุงตัวเองแล้วหันหลังบินกลับไปก่อ–”
ข้างหลังของเซราฟิมเกิดแสงวูบขึ้นหนึ่งจังหวะ-เรารีบเคลื่อนตัวผลักแอสโมเดียสออกจากจุดที่ยืนอยู่
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!
ลำแสงพุ่งผ่านระหว่างแขนของเรากับร่างของแอสโมเดียสไป โชคดีที่ช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นแอสโมเดียสได้หายไปพร้อมกับความร้อนของแสงไปแล้ว
..สัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ไหลลงมาเลย เราปัดมันออก จากนั้นก็ใช่เวลา 1 วิ ในการวางแผน
“บิลเซบับ มีอะไรอยู่ในคลังกระเพาะบ้างเหรอ?”
“ออร์คหนึ่งตัว ไวเวิร์นหนึ่งตัว แล้วก็ แล้วก็–นกหนึ่งตัวค่ะ!”
อะไรทำให้ตัดสินใจกินนกด้วยอำนาจมหาบาปแสนล้ำค่ากันนะ—เราวิ่งไปจับไหล่ของแอสโมเดียสที่นั่งหวาดเสียวอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่
“เตรียมภาพลวงตาไว้นะ”
“คะ ครับ!!”
เซราฟิมที่เห็นภาพทั้งหมดได้หัวเราะออกมาอย่างสุภาพชน
“ฮะ ฮะ ฮะ พยายามเต็มที่เลยนะครับเนี่ย ท่านโซโลม่อน แต่ว่าเปล่าประโยชน์ครับ โทษประหารชีวิตของท่านมันถูกตัดสินเอาไว้แล้ว ด้วยโชคชะตาของโลกใบนี้ ต้องกล่าวขออภัยที่ผมจะต้องเป็นคนสังหารท่านลง มันอาจทำให้ท่านไม่พอใจไม่มากก็น้อย แต่ว่า-ผมจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่นะครับ”
เซราฟิมกางแขนบนท้องฟ้า เกิดแสงขึ้นนับร้อยจุด และทั้งหมดก็พุ่งลงมาประหนึ่งแสงดาว
“อาจจะเจ็บหน่อย แต่กัดฟันทนไม่ไว้นะครับ!”
“ขอบคุณ แต่เราขอปฏิเสธโทษประหารชีวิต”
เรายื่นมืออกมาข้างหน้า พลันใดนั้นเปลวเพลิงสีขาวก็ได้พุ่งมาเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ด้วยองศาที่ได้ที่พร้อมด้วยอาณุภาพการทำลายของเพลิงสีขาวที่มหาศาล ทำให้หักล้างการโจมตีสาดกระสุนของเซราฟิมได้ทั้งหมด
กระนั้นแรงสะเทือนนั่นก็ทำให้แขนเราแทบจะหลุด
“เรื่องอะไรกันครับ ทำไมท่านถึงได้ใช้พลังของจอมมารได้ ..อย่าบอกนะว่าลืมตาตื่นแล้ว?”
ถ้าหากลืมตาตื่นที่ว่าหมายถึงการที่ตัวเราได้แปรเปลี่ยนเป็นจอมมาร และได้รับพลังที่มหาศาลกลับคืนมาคงไม่ใช่ เราก็แค่อาศัยคุณสมบัติดั้งเดิมที่เรามีอยู่เท่านั้น เราไม่ได้ชำนาญเท่าจอมมาร เลยเรียกออกมาได้แค่หน่อยเดียวเท่านั้น
แต่ว่า เราก็รู้ดี ว่าเพลิงสีขาวนี้มีความอันตรายมากขนาดไหน
อย่างน้อยๆไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าต้องรับมันไป จุดจบก็คือความตาย
อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เซราฟิมกำลังหวาดกลัวในพลังนี้อยู่
“ยังไม่รู้ตัวอีกนั้นรึ?”
ความกังวลผุดขึ้นบนโฉมหน้าของทูตสวรรค์
“..เป็นไปไม่ได้ มันยังเร็วเกินไป ตัวกระตุ้นก็ไม่มากพอ”
“เข้ามาพิสูจน์ความจริงนั้นสิ”
จากที่เซราฟิมพูด หมายความว่าเขาได้รับหน้าที่ให้สังหารเราในกรณีที่เรายังไม่ลืมตาตื่นเท่านั้น หมายความว่าตัวเราที่ลืมตาตื่นอันตรายเกินไปสำหรับพวกเขา ถ้าหากเรียกกำลังเสริม? เรื่องนั้นเป็นไปได้ยาก ทั้งๆที่เราคือเป้าหมายอันดับหนึ่งที่หมายจะเอาชีวิต แต่กลับไม่ยกพวกที่เหลือกันมารุมกินโต๊ะเรา
ก็หมายความว่า–ทูตสวรรค์ตนอื่นติดภาระหน้าที่อื่นอยู่ ที่แห่งนี้มีเพียงเซราฟิมที่เป็นอุปสรรค
ทั้งหมดทั้งมวล ก่อให้เกิดความกังวลในจิตใจ เหมือนว่าตัวตนของเราในฐานะจอมมารจะน่ากลัวเอามากๆ ถึงขนาดที่ทูตสวรรค์ซึ่งทรงด้วยอำนาจถึงเพียงนี้ยังต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนตัดสินใจสู้
ถ้าอีกฝ่ายยอมลามือไป ก็จะดีกับเรามากกว่า แต่ว่าไม่ช้าก็เร็ว เซราฟิมจะตามมาพร้อมกับกำลังเสริม ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะโดนจับตัวได้อยู่ดี
เราเวลานี้จึงมีแค่ทางเลือกเดียว …เราเดินไปข้างหน้า พร้อมกับเปลวเพลิงสีขาวปริมาณอันน้อยนิด
เราต้องเอาชนะเซราฟิมที่นี่ตรงนี้ จะไม่หนีโดยเด็ดขาด
“ท่านเบลามี ..อยู่ๆก็”
“ให้กลิ่นอายเหมือนกับสมัยก่อนเฉยเลยครับ”
แอสโมเดียส กับ บิลเซบับหันมามองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มให้กัน และลุกขึ้นมาเดินเคียงข้างเรา
“วันนี้เหยื่อตัวใหญ่หน่อยนะครับ ท่านจอมมาร”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ ฉันจะคอยสนับสนุนเอง”
“เทียบกับเทพมังกร–ก็แค่มด”
เราพูดประโยคที่ไม่สมกับเป็นตัวเองออกมา จากนั้นก็เร่งเพลิงสีขาวออกมาเป็นจำนวนมหาศาลเทียบเท่าจอมมาร
‘ประการแรก’ เพลิงสีขาวที่มากมายมหาศาลนี่เป็นเพียงภาพลวงตาของแอสโมเดียสเท่านั้น บาปแห่งราคะจะเล่นงานกับจิตใจของศัตรู โดยอาศัยแรงจูงใจภายในของเซราฟิมที่กำลังคิดว่าเราลืมตาตื่นแล้ว ซึ่งเพลิงนี่สำหรับเซราฟิมแล้วคือปริมาณปกติที่จอมมารสามารถใช้ได้ เราจึงอาศัยจุดนั้นสร้างภาพลวงตา
บิลเซบับดีดนิ้ว อัญเชิญสิ่งที่กลืนกินไปออกมา
‘ไททัน’ ยักษ์วันสิ้นโลกแห่งยุคโบราณกาล ปรากฏตัวออกมา พร้อมกับ ‘มังกรโบราณ’ มังกรยุคโบราณที่ทรงพลัง
สองสิ่งมีชีวิตที่หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันจะกลายเป็น มอนสเตอร์แรงค์ S โผล่มาถึงสองชีวิต นั่นสร้างความตกตะลึงอย่างยิ่งให้แก่เซราฟิม
“เป็นไปไม่ได้ เรื่องบ้าอะไรกัน!!? บิลเซบับ นี่เจ้ากินไปมากมายขนาดไหนแล้ว!?”
พวกเราเลือกจะไม่ตอบคำถาม
‘ประการสอง’ ตัวเราที่ถูกคิดว่าลืมตาตื่น เมื่ออยู่ข้างบิลเซบับก็ทำให้บิลเซบับดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ในสงครามยุคโบราณ คนที่น่ากลัวที่สุดของฝั่งเรามิใช่ ซาตาน หากแต่เป็น บิลเซบับ ที่ได้กลืนกินสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากมายเข้าไปในกะเพาะ รวมถึง ‘เทพมังกร’ เองก็ถูกเธอกลืนกินเข้าไป ทำให้บิลเซบับเวลานั้น กลายเป็นตัวตนสุดอันตรายที่เผลอๆอาจจะน่ากลัวกว่าตัวเราเสียด้วยซ้ำ
ความกลัวต่อตัวเราที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ความกลัวต่อบิลเซบับเองก็พุ่งสูงขึ้น จิตใจที่เต็มไปด้วยการมโนนั่นทำให้การสร้างภาพลวงตาของแอสโมเดียสออกมาได้อย่างใหญ่โต
ยักษ์ไททันที่แท้จริงแล้วเป็นออร์ค มังกรโบราณที่แท้จริงแล้วเป็นไวเวิร์นตัวเล็ก
ทุกอย่างประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว–”
กำลังจะหนี แต่ว่าไม่ปล่อยไปหรอก
วินาทีที่เราเลือกจะไม่ตาม ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายไปตามกำลังเสริมได้ แต่อาจทำให้เกิดความคิดที่ว่าเราแค่กำลังบลัฟอยู่ได้ ถ้าเกิดคิดเช่นนั้นขึ้นมา ภาพลวงตาจะอ่อนแรงลง และอาจโดนล่วงรู้ถึงความจริงได้อีกด้วย เพื่อแก้ไขสถานการณ์ เราต้องตามไป ..กระทืบ? เอาคืน? เล่นงาน?
เราเลือกคำพูดไม่ค่อยเก่ง แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือ–การทำให้เซราฟิมล้มลงนอนกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ
เปลวเพลิงสีขาวเข้าปกคลุมทุกทางออกของเซราฟิม เร็วเกินกว่าที่จอมมารจะทำได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะภาพลวงตา อะไรๆก็ทำให้เกิดขึ้นได้ และเซราฟิมที่กำลังถูกความกลัวกัดกินก็ไม่ทันคิดถึงจุดนี้ แต่เดิมถ้าเป็นคนที่เคยเผชิญหน้ากับจอมมารตรงๆมาก่อนควรจะรู้สึกตัวได้แล้ว จึงอนุมานได้อีกว่า เซราฟิมไม่เคยเข้าต่อสู้กับเราในอดีตตรงๆ
นั่นยิ่งทำให้มโนไปได้ไกลกว่าเดิม ตัวเราในจิตนาการของเซราฟิมยิ่งใหญ่กว่าจอมมารตัวจริงเสียงจริงเสียอีก เซราฟิมเอาแต่หวาดกลัวสิ่งเหล่านั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเราของจริงกำลังขืบคลานเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
บีบอัดวงภาพลวงตา สร้างทางหนีปลอมๆให้เซราฟิมหนี และจบลงที่ระยะจู่โจมของเปลวเพลิงที่เราพอจะมีเวลานี้
เซราฟิมบินตรงมาทางเรา คงกะจะเสี่ยงดวงบินผ่านเผื่อรอดชีวิต
ทุกอย่างอยู่ในการคาดเดา—-วินาทีสุดท้ายก่อนที่เราจะลงมือปลิดชีพของเซราฟิมลงด้วยเปลงเพลิงสีขาว ตอนนั้นภาพลวงตาทั้งหมดได้ดับลงไปอย่างกระทันหัน
ไม่จริง?
เซราฟิมเป็นคำทำ? ไม่ใช่ ใบหน้าของเซราฟิมที่กำลังจะร้องไห้ออกมาไม่มีทางเป็นคนแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่าบอกนะว่ากำลังเสริม?
ก้อนมานาขนาดยักษ์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สัมผัสไม่ได้เลย เราแหงนหน้าขึ้นไป และพบกับ–
“มิคาเอล?”
ความทรงจำในอดีตหวนคืนกลับมาพร้อมกับเรื่องราวมากมายในอดีต เราใจดีสู้เสือ และยื่นมือออกไปพร้อมกับเปลวเพลิงสีขาวบนฝ่ามือ
ตอนนี้ต้องตัดกำลังให้มากที่สุ—
“ใช้เป็นแต่ลูกไม้ขี้ขลาดไม่เปลียนเลยนะ จอมมาร”
แสงพุ่งลงมาจากท้องฟ้า แสงนั่นไม่ได้พุ่งใส่เรา หากแต่พุ่งใส่เซราฟิม และเปลี่ยนวิถีการบินของเขา
…ทำให้เราจบศึกไม่ได้
ร่างยักษ์ของเซราฟิมกลิ้งไปกับพื้น ร่างกายแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยจากประกายแสง ..
“เอ๊ะ?”
เซราฟิมจับทั่วทั้งร่างของตัวเอง และพึ่งสังเกตุเห็นว่าพื้นที่โดยรอบไม่ได้มีเรื่องน่ากลัวอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้อยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ท่านเซราฟิมโดนหลอกด้วยอุบายขี้ขลาดเข้าแล้วค่ะ”
“อุบาย? อย่าบอกนะว่าภาพทั้งหมดที่เจอเป็นเพียงภาพลวงตา?”
มิคาเอลลงมาเทียบสู่พื้น และตอบคำถามนั้นพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่ค่ะ”
เซราฟิมที่ได้ยินก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะที่สุภาพเรียบร้อยอีกครั้ง
“ฮะ ฮะ ฮะ ทำกันได้แสบมากเลยไม่ใช่หรือครับเนี่ย ท่านโซโลม่อน และเพื่อนๆ”
….
ล้มเหลว
มิคาเอลโผล่มาได้ยังไงกัน ก่อนหน้านี้ไม่เห็นวี่แววเลยแท้ๆ ทำไมจู่ๆถึง–
“แค่วาร์ปตามเซราฟิมมาเท่านั้นค่ะ ด้วยอุปกรณ์พิเศษที่ได้จากท่านสามี”
….ท่านสามี? มิคาเอลมีสามีด้วยเหรอ?
อ๊ะ จำได้แล้ว ราชาผู้พิชิตโอลิเว่อร์นี่เอง
แบบนี้แย่แล้ว
“ท่านเบลลามีต้องรีบหนีแล้วค่ะ!!”
เราหันไปส่งสายตาให้อีกสองคน—-ต้องรีบ
“อย่าคิดอะไรแผลงๆเชียวนะคะ”
มิคาเอลโผล่มาชกที่หน้าท้องของเรา และขยี้หัวของเราก่อนจะจับโยนลงพื้นด้วยพลังกายเหนือมนุษย์
เพียงแค่นั้น ร่างกายของเราก็ได้รับความเสียหายมากเกินไปจนกระอักเลือดออกมา และขยับร่างกายไม่ไหว
“ตัวอันตราย เคลียร์–ตัวประกอบ”
มิคาเอลยื่นมือมาขยี้หน้าอกของแอสโมเดียส
“อั้ก!!”
“เคลียร์ไปหนึ่ง ค่ะ”
จากนั้นเธอก็เหวี่ยงแอสโมเดียสลงพื้น และทำการสะบัดปีก สั่งให้ขนปีกสวรรค์ขนาดยักษ์เข้าทิ่มแทงร่างของแอสโมเดียสให้ติดกว่าพื้นกว่ายี่สิบจุด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
แอสโมเดียสร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มิคาเอลแสยะยิ้มเมื่อเห็นอาหารตาสำหรับตัวเธอเอง
ไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่มิคาเอลยังเป็นพวก S ขั้นสุดที่ไม่น่าเข้าใกล้ ..สัมผัสในอดีตมันส่งสัญญาณเตือนเช่นนั้นมาตลอด ตั้งแต่ที่มิคาเอลปรากฏตัว
“ร้องดังกว่านี้อีกสิ ไอ้ลูกหมาติดสัด!!”
ปีกที่ทิ่มแทงร่างของแอสโมเดียสขยับไปมาเพื่อสร้างความสำราญใจให้แก่ มิคาเอล
“อ๊ากกกกก ช่วยด้วย!!!!! ท่านจอมมาร–พี่–ช่วยด้วย!!!!!”
“เป็นคนที่สร้างความสำราญใจให้แก่เราได้ดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ไอ้ลูกหมาตัวน้อง”
มิคาเอลยิ้มไม่หุบ เธอหันไปมองบิลเซบับเป็นรายต่อไป
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ ไอ้ลูกหมาตัวพี่”
“..บิลเซบับ ..หนีไป–”
วินาทีนั้น บิลเซบับได้หันมาสบตากับเรา และยิ้มตอบกลับเราโดยไร้ซึ่งความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราวกับว่า ..กำลังเตรียมการณ์บางอย่างเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“บิลเซบับ ..อย่านะ”
จิตใต้สำนึกของเรามันร้องออกมาดังนี้