< < 190 > >
แอสโมเดียสลุกขึ้นยืนช้าๆในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส เขามองดูการลืมตาตื่นของนายเหนือหัว
“ท่านจอมมาร!!?”
เปลวเพลิงสีขาวจำนวนมหาศาลเข้าปกคลุมทั่วผืนหญ้า และท้องฟ้า ร่างของเบลลามีหรือจอมมารลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเพลิงสีขาวที่ไล่ตามหลังเธอมาโดยตลอดเวลา
“ชิ โดนไอ้ลูกหมาคนพี่เล่นแล้วไง”
“ประมาทไปมากเลยสินะครับ”
มิคาเอล และเซราฟิมบินเว้นระยะห่างจากคลื่นพายุเพลิงสีขาวตรงหน้า แต่ถึงแม้จะเว้นระยะห่างมากขนาดไหน แต่ไอร้อนที่เกิดขึ้นก็กำลังทำให้ขนปีกแห่งสวรรค์ค่อยๆล่วงลงอย่างช้าๆ
“อาณุภาพการทำลายล้างสุดอลังการณ์ ไม่ได้เผชิญหน้าตรงๆมานานแล้วนะคะ เล่นเอาไม่รู้เลยว่าจะรับมือยังไงดี ..”
“ถอยทัพก่อนจะดีกว่ารึเปล่าครับ?”
“อย่าลืมสิว่าตอนนี้อำนาจมหาบาปของบิลเซบับกลับคืนสู่จอมมารแล้ว เจอกันครั้งหน้า ใครจะไปรู้ว่าจอมมารไปเก็บสะสมตัวอะไรมาไว้ในกระเพาะบ้าง บางทีอาจโผล่มาพร้อมกับฝูงมอนสเตอร์ระดับ S ก็เป็นได้” มิคาเอลหัวเราะขึ้นจมูก “อาจจะฝืนตัวเองไปหน่อย แต่จะพยายามฆ่าให้ตายตรงนี้ค่ะ ท่านเซราฟิม โปรดสนับสนุนด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ”
มิคาเอลใช้แขนขวากระซากหยิบของจากกระเป๋าเวทมนตร์ออกมา
“จงออกมา ‘ดาบแสงแห่งดวงดารา’ ‘อัสโตรเฟร์ย่า’ ”
ดาบยักษ์ขนาดกว่าสองเมตรปรากฏขึ้นบนมือขวาของมิคาเอล ดาบเล่มนั้นเป็นดาบที่มีสีเป็นสีของจักรวาลและดวงดารา เป็นดาบที่สีมีความสง่างาม แต่รูปทรงดูป่าเถื่อนคล้ายกับไว้ใช้ทรมานคนอย่างไรอย่างนั้น
“ดาบเล่มนั้น ..”
“ไม่มีเวลาอธิบายค่ะ”
“นะ นั้นเหรอครับ”
มิคาเอลพยักหน้ารับ จากนั้นเธอก็โบกสะบัดปีก บินเข้าใส่จอมมารสุดแรงเกิด เซราฟิมทำหน้าที่สนับสนุนด้วยอำนาจแห่งสวรรค์ทำให้ทุกอย่างของมิคาเอลถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
นักรบทูตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดพุ่งไปด้วยความเร็วเทียบเท่าหรือมากกว่าแสง เพียงแค่อัาโตรเฟร์ย่าตั้งตระหง่าน เพลิงสีขาวก็แยกตัวออกจากกันโดยไม่จำเป็นต้องลงดาบเสียด้วยซ้ำ
“ดาบของราชาผู้พิชิต โอลิเว่อร์สินะ เป็นดาบที่มีความสามารถในการแยกทุกสิ่งออกจากกัน ไม่ว่าจะมานาหรือว่าดวงวิญญาณ เพียงแค่ดาบเล่มนี้ปรากฏบริเวณโดยรอบก็ถูกแยกออกจากกันเล็กน้อยแล้ว”
เบลลามีพูดขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน เธอยกมือขึ้น และทำการดีดนิ้ว
“ไม่ต้องพูดถึงวินาทีที่ลงดาบ ต่อให้เป็นเรา ก็คงจะไม่รอด เลือกอาวุธได้ไม่เลวเลยนะ มิคาเอล”
“ช่วยอย่าพูดจาอวดดีจะได้หรือเปล่าคะ? ไอ้จอมมาร”
“แต่ว่าก็ไม่ดีพอ”
เบลลามีรวบรวมเพลิงสีขาวมาที่จุดๆเดียว และเพลิงสีขาวนั้นก็เปลี่ยนรูปกลายเป็น ‘ดาบยาว’ ธรรมดาๆเล่มนั้น ชั่วพริบตาก่อนที่จะถูกสะบั้นคอ เบลลามีได้ใช้ดาบแสนธรรมดาที่เป็นรูปร่างของเพลิงสีขาวตั้งรับการโจมตีนั้น
ฟู่ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ดาบเพลิงสีขาวสามารถรับการลงดาบของดาบแสงแห่งดวงดาราไว้ได้
“เรื่องตลกอะไรกัน ไอ้จอมมาร”
“ก็แค่บีบอัดปริมาณมากไว้ในจุดๆเดียว ต่อให้ อัสโตรเฟย์ย่า จะเป็นดาบที่ยอดเยี่ยม แต่ว่าต่อหน้าเปลวเพลิงของเรา สิ่งนั้นก็เป็นได้เพียงแค่ดาบธรรมดาที่มีขนาดใหญ่เกินจำเป็นเล่มหนึ่งเท่านั้น”
เพลิงสีขาวที่บีบอัดเป็นขนาดเล็ก มีปริมาณที่มหาศาลถึงขนาดที่ดาบเล่มนี้ไม่อาจแยกมันออกจากกันได้ แต่เดิม สองสิ่งนี้ก็มีต้นกำเนิด และขีดจำกัดที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว
“ถ้าหากใช้สิ่งนี้ลอบกัดเรา ก็อาจสร้างรอยแผลทลอกได้บ้างอยู่นะ มิคา-เอล!”
มิคาเอลปลิวไปกับแรงเหวี่ยงที่เสริมด้วยเวทมนตร์หลากหลายอย่างของเบลลามี แต่ก็ทำได้แค่ส่งให้มิคาเอลเว้นระยะไปชั่วขณะเท่านั้น
“มิคาเอล บอกไว้ก่อนว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่การให้พวกเธอถอยทัพ แล้วถือว่าทั้งหมดเจ๊ากันไปหรอกนะ ..เธอจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป”
“หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่าเราจะให้ที่นี่เป็นหลุมศพของพวกเธอ”
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือก และเปี่ยมด้วยจิตสังหารนั่น ทำให้มิคาเอลหัวเราะออกมา สำหรับเธอนั่นเป็นเรื่องตลกประจำยุคสมัยเลยละ
“น่าสนุกดีนี่”
“ใช่มั้ยล่ะคะ?”
น้ำเสียงจากทางเบลลามีนั้นไร้ซึ่งความจริงใจ ..
“แต่ก่อนอื่น แอสโมเดียส เกาะพื้นไว้ให้แน่นๆนะ”
“เกาะพื้น? อ๊ะ รับทราบครับ!!”
เบลลามียื่นมือออกไปข้างหน้า และหลับตาลง
“รู้สึกจะชื่อ ‘การาวิเทีย’ ขอเลียนแบบพลังหน่อยนะ”
…..
….
****
แสงจากดวงจันทร์ส่งมาไม่ถึง โดรมขนาดยักษ์ที่ไกลกว่าสิบกิโลเมตร และกว้างกว่าร้อยกิโลเมตร ปรากฏขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ด้วยการควบคุมแรงโน้มถ่วงที่เลียนแบบคทาเวทย์ในตำนาน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ตรงหน้าขึ้น
“โอ้ยๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรครับเนี่ย”
“คิดว่าปกติออกนะคะ สำหรับจอมมารแล้ว”
เวลานี้ ทูตสวรรค์ทั้งสองได้ถูกลากมาภายในโดรม ไม่รู้ว่าจอมมมารได้ทำอะไรลงไปบ้าง แต่โดรมที่มืดมิดก็เลืองแสงก่อนจะปรากฏให้เห็นถึงผืนหญ้าจำลอง พระอาทิตย์จำลอง สภาพอากาศจำลอง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจำลองขึ้นมาในโดรมขนาดยักษ์ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบหนึ่ง
“เล่นตลกอะไรกัน จอมมาร”
“คิดว่าขังพวกผมไปแล้วมันจะมีความหมายหรือครับ?”
เบลลามีไม่พูดไม่จา เธอทำเพียงดีดนิ้ว
“[แบล็คโฮล]”
โลกจำลองกำลังบิดเป็นเกรียวเข้าไปในหลุมดำ ระยะทางถูกย่นระยะลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ จากสิบกิโลเมตรเหลือเพียงไม่กี่สิบเมตรเพียงชั่วอึดใจเดียว
“อย่าบอกนะว่า–”
“ศพของพวกเธอมันสกปรกเกินไป ถ้าให้เปื้อนโลกมันจะเสียมารยาทกับผืนดินเอาได้น่ะ” เบลลามียิ้มออกมา “เราเลยกะจะเก็บกวาดให้เรียบร้อยในทีเดียว”
“นี่ท่า—-อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ร่างของเซราฟิมถูกลากเข้าไปในหลุมดำ ตามด้วยร่างของมิคาเอลที่นิ่งเงียบ และจบท้ายด้วยร่างของเบลลามี
หลุมดำได้ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจำลองไปจนหมด ..
“..เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
แอสโมเดียสผู้ยืนอยู่ข้างนอกโดรมมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่อยากเชื่อสายตา ไม่คิดเลยว่าพื้นดินใกล้ๆแอสโมเดียสยาวไปจนลับสายตาจะถูกดูดมาสร้างเป็นโลกจำลองอย่างนี้ ..แถมท่านจอมมารยังเล่นสร้างในพริบตาเดียวอีก นี่มันไม่บอกว่าเหนือมนุษย์ก็ไม่รู้จะหาอะไรมาบรรยายแล้ว นอกจาก–
“สมกับเป็นท่านจอมมาร”
“แอบนินทาเหรอ?”
จอมมาร? เบลลามี? โผล่มาข้างๆแอสโมเดียสเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ๊ะ เอ๋!?”
ไม่ใช่แค่นั้น โลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นก็หายวับไปพร้อมๆกัน
เบลลามีหยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อออกมา มันคือโลกจำลองที่ข้างในมีเซราฟิมตัวน้อยอยู่ในสภาพที่ ..ไม่น่าดู ..อาจจะดูเหมือนตุ๊กตาน่ารักๆ แต่ดูดีๆแขนกับขาไปกันคนละทางไม่พอ ปีกก็หลุดออกจากร่างอีก อย่างกับตุ๊กตาที่โดนหมากัดจนเละ
“..ทำเรื่องเหลือจะเชื่อลงไปอีกแล้วนะครับ”
“ทำพลาดต่างหาก”
เบลลามีถอนหายใจ และหรี่ตามองเธอผู้อยู่ไกลออกไปนับสิบเมตร
ทูตสวรรค์ มิคาเอล อยู่ในสภาพที่แขนและปีกด้านซ้ายขาด กระนั้นเธอก็ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่รู้ร้อน รู้หนาวอะไร กับเลือดที่ไหลออกจากร่างอย่างกับน้ำรั่ว
“ท่านเซราฟิมโดนเล่นงานจนได้นะคะ”
“ดีแล้วนะ ที่ไม่ได้พา ‘ราฟาเอล’ หรือ ‘กาเบรียล’ มาด้วย”
มิคาเอลเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างร่าเริง
“..ท่านเป็นผู้ชนะ อยากจะพูดอะไรก็พูดไป แต่ว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไป เรื่องในคราวนี้ตัวเราเป็นคนประมาทเอง จึงได้พ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดายด้วยกลอุบายขี้ขลาด แต่ว่านะ จอมมาร บัดนี้ ‘ผู้กล้าที่แท้จริง’ เองก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว นับวันตายของท่านรอได้เลย ..ไอ้จอมมาร แม่เo็ด!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ก่อนที่มิคาเอลจะหายไปพร้อมกับประกายแสง เธอได้กู่ร้องออกมาพร้อมสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยโทสะ ถ้าหากว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้คือเรเซอร์ เขาคงจะหัวเราะอัดหน้ามิคาเอลไปแล้ว
“นิสัยใจคอที่มีมาแต่กำเนิดโผล่มาแล้วนะ”
ว่าง่ายๆก็ ‘สันดาน’
“สักวันเราจะกลับมาเอาคืนให้สาสมกับความอับอายในคราวนี้ค่ะ สำหรับตอนนี้ก็เชิญมีความสุขกับชัยชนะครั้งสุดท้ายไปก่อน ..”
ท้ายที่สุด มิคาเอลก็หายไปพร้อมกับแสงสว่าง ในใจก็นึกอยากจะไล่ตามอยู่หรอก แต่ว่า ..เบลลามีชำเลืองมองผู้คนจำนวนน้อยนิดที่น่าจะติดอยู่บนรถไฟ จากการบุกโจมตีของทูตสวรรค์
“เราจำเป็นต้องรีบช่วยชีวิตผู้คนก่อน น่าเสียดายนะ มิคาเอล”
……
…..
“เอาละ”
เบลลามีหันหลังกลับไป หมายจะตรงไปที่ขบวนรถไฟที่ห่างกันไม่มาก ทว่า
“ถัดจากทูตสวรรค์ ก็คนทรยศนั้นเหรอ?”
อสูรเด็กหนุ่มร่างเล็กในชุดนักมายากลปรากฏตัวตรงหน้าของเบลลามี เด็กตรงหน้ามีใบหน้าที่หล่อเหลาผสมกับน่ารักได้อย่างลงตัว นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือต่างหูสัญลักษณ์ ‘บาปแห่งความโลภ’ อันเป็นเอกลักษณ์
ใช่แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือ ‘มหาบาปแห่งความโลภ’
“ไม่ได้พบกันนานนะ ‘แมมม่อน’ ”
“เช่นกันครับ คุณดิลุค”
แมมม่อนลงไปคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ผมมาที่นี่เพื่อรับคุณครับ”
“เตรียมตัวมาดีเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่แล้วครับ”
แม้แต่เธอก็คาดเดาไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ..ถัดจากการจากไปของเพื่อนคนสำคัญ ก็คือการเป็นศัตรูกับ ‘เด็ก’ ที่เคยเลี้ยงให้ความเอาใจใส่สมัยก่อน สินะ ราวกับตัดพ้อ เบลลามีถอนหายใจออกมา
แมมม่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า และแบมือ มือคู่นั้นมีกล่องสีแดงขนาดเล็กษ์อยู่ เขนทำการเปิดมัน และปรากฏให้เห็นแหวนวงหนึ่ง
“โปรดแต่งงานกับผมด้วยครับ คุณดิลุค”
“อย่างแรกนะ แมมม่อน” เบลลามียิ้มให้ “ตอนนี้เราชื่อว่า ‘เบลลามี’ ”
…….
….
****
ปัจจุบัน
ผมเดินทางตามร่องลอยที่เบลลามีได้ทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าง่ายๆก็สะกดรอยตามนั่นแหละ
พวกเราใช้ตัวช่วยหลายอย่างในการเดินทาง จนมาถึงที่ที่น่าจะให้เบาะแสสำคัญได้ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ..ข้างบริเวณรางรถไฟที่เกิดการระเบิด และการควบคุมผืนดินอย่างผิดแปลก สภาพที่เห็นคล้ายกับพื้นที่ที่เกิดสงครามขึ้นบ่อยๆ อย่างชายแดนระหว่างประเทศ
เมื่อมาถึง ผมก็ให้อานิม่าเดินนำหน้า และทำการอ่านกระแสของจิตวิญญาณในพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมด
“มองไม่เห็นอะไรเลย ..โดนขัดขวางเอาไว้ด้วย ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ”
ดาบโคตรพ่อขี้โกงนั่นนี่เอง แค่นึกก็เสียวสันหลังแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ
“ลองสำรวจเท่าที่มีดีกว่า”
จากนั้นก็เริ่มเดินสำรวจโดยจับกลุ่มกันไว้ ให้เคียวยะ กับอานิม่า ใช้ดวงตาที่พิเศษของทั้งคู่ตรวจจับหาเบาะแส
ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเราก็มาหยุดอยู่ที่เบาะนั่งคู่หนึ่ง บนเบาะนั่งของภายในรถไฟเวทมนตร์นั้นมีอักษรเวทมนตร์เขียนติดเอาไว้
อักษรนั้นเรียบเรียงกันเขียนเป็นประโยคสั้นๆได้ว่า ..
‘ยังไม่ต้องสนใจเรา เรเซอร์มุ่งหน้าไปหายูจิก่อนเถอะ’
ยังมีอีกหน่อย
‘เรเซอร์ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เราเองก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องสะสาง’
อานิม่าวิเคราะห์สถานที่ และเหตุการณ์ที่เบลลามีได้ลงมือเขียนข้อความนั้นออกมาได้
“จอมมารตอนนี้ได้รับพลังกลับคืนมาแล้ว แต่เหมือนจะอยู่ในบุคลิกของเบลลามีนะ คิดว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
เกิดบางอย่างขึ้นจริงๆด้วย
“มีเบาะแสอีกรึเปล่า”
“แค่นี้แหละ” เคียวยะตอบ “ไม่ใช่ว่าช่วงที่ขวางไว้ไม่ให้อ่านมันจะเป็นเรื่องสำคัญเรอะ? เพราะไม่อยากให้แกได้รู้เรื่องบางเรื่องเลยทำแบบนี้”
“มีความเป็นไปได้นะ ..”
“แล้วจะเอายังไง จะตามไปต่อหรือว่ายังไง”
ผมครุ่นคิดครู่หนึ่ง และได้คำตอบที่ง่ายดาย
“คงไม่ตามไป ฉันกับเบลลามีสัญญากันแล้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วมันเกินกว่าแรง พวกเราจะร้องขอความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าเบลลามีบอกว่าไหว ก็แปลว่ายังไหว ฉันเองก็มีหลายๆอย่างต้องทำด้วยเหมือนกัน”
อย่างที่เบลลามีเขียนเอาไว้ ผมก็มีหน้าที่ของผม เบลลามีก็มีหน้าที่ของเบลลามี ..เรื่องมันก็แค่นั้น
“คิดดีแล้ว?”
เคียวยะถามย้ำผม คงจะคาดหวังให้ผมตอบว่ารีบๆตามเบลลามีไปกันเถอะ แต่ว่านะ ..
“ฉันเชื่อในตัวเบลลามี นี่คือคำตอบที่เกิดจากการเชื่อในตัวเธอคนที่ฉันรัก”
“….”
“ฉันจะไปต่อ”
เพราะเชื่อว่าเธอจะไม่เป็นอะไร
แม้จะคิดอะไรหลายๆอย่างในใจ รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเธอมากมาย แต่ว่าผมต้องไปต่อ
ด้วยเหตุนั้นผมจึงบิดขี้เกียจ และหันกลับไปที่ทางออก
“กลับอาณาจักรฟัฟนิร์กลับเถอะ”
ผมกล่าวออกมาง่ายๆ และเดินไปต่อโดยไม่เหลียวหลังกลับมา