< < 191 > >
พวกผมกลับมาที่อาณาจักรฟัฟนิร์ดังที่บอกเอาไว้ เพื่อเตรียมการณ์หลายๆอย่าง จึงอาจต้องใช้เวลาราวครึ่งวันก่อนจะออกเดินทางต่อทันที
เมื่อกลับมาแล้ว ผมก็เรียกเรเซลมาเข้าห้องทำงานของแองเจลิน่าด้วย จากนั้นก็เล่าความจริงทุกอย่างออกไปโดยไม่ปิดบัง ใช่ ผมเล่าทุกๆเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเรื่องที่เบลลามีเป็นจอมมาร เรื่องสงครามล้านๆปีที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เรื่องที่ยูจิเป็นเทพที่กลับมาเกิดใหม่ เรื่องที่ผมพยายามทำมาตลอด เล่าออกมาโดยยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองมีความทรงจำในนิยายต้นฉบับเอาไว้อยู่
แน่นอนว่าเรื่องที่ผมเป็นข้อผิดพลาดของโลก รึ ที่รู้จักกันในนาม ‘จอมมาร’ เองก็เล่าออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
อย่างน้อยๆคนที่อยู่ในห้องนี้ อย่าง แองเจลิน่า เรเซล อันนา เซบาสเตียน แล้วก็เรเซลก็เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมอย่างมาก จึงตัดสินใจไม่ปิดบังอะไร
เมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว หลายคนก็มีหลายปฏิกิริยา
ลำดับแรก เซบาสเตียนยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉย เป็นเรื่องยากที่จะทราบใจจริงของเขา
ลำดับที่สอง เรเซลกับอันนามีสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนัก เธอคงรู้สึกกลัวว่าผมจะเป็นอะไรไปกระมัง แต่ก็ยังเข็มแข็งไว้ เพราะรู้ดีว่าถ้าตัวเองแสดงท่าทางอ่อนแอให้ผมเห็น ผมจะรู้สึกแย่ ..
ลำดับที่สาม เรเซลร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทั้งเรื่องของผม เรื่องของยูจิ เรื่องของเบลลามี รวมถึงเรื่องของเอเธอร์ ทุกคนล้วนสนิทกับเธอ และยากจะทำใจที่พวกเขาเหล่านั้นต้องไปเผชิญกับเรื่องวันสิ้นโลกสุดจะไร้สาระนั่น
ลำดับสุดท้าย แองเจลิน่า เธอรับฟังเรื่องทั้งหมด และไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเป็นพิเศษ เหมือนกับเซบาสเตียน
“นั้นเหรอ ..ลำบากแย่เลยนะ”
แองเจลิน่ากล่าวออกมาสั้นๆ เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนจากโต๊ะ
“เริ่มมืดแล้วด้วย จะออกเดินทางกันวันนี้เลยหรือเปล่า?”
“ไม่พรุ่งนี้เช้าครับ ต้องกลับไปเตรียมอุปกรณ์หลายอย่างเลย”
“เรเซล อันนา ช่วยนำทางเรเซอร์กับคนอื่นๆไปห้องพักทีนะ” แองเจลิน่าเดินออกจากโต๊ะ และเดินผ่านผมไป “พักผ่อนให้เต็มที่กันก่อนนะ คืนนี้”
…
“อ่า”
****
ระหว่างที่เรเซลกับอันนากำลังนำทางพวกผม จู่ๆคนคุ้นหน้าอีกคนก็โผล่มาโดยไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง
หญิงสาวจากตระกูลขุนนางชั้นสูง ‘ไอริส’ หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียน ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเคียวยะในปัจจุบันนั่นเอง
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน
“โย่ว”
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านเรเซอร์ แขกคนอื่นๆมากมาย แล้วก็คุณเคียวยะ”
ไอริสยิ้มให้สวยๆหนึ่งที แต่นั่นทำให้เคียวยะรู้สึกความดันขึ้น
“มีอะไร”
“แค่จะมาแจ้งว่าห้องพักที่คฤหาสน์แห่งนี้มีจำนวนไม่พอสำหรับอาศัยอยู่ให้ครบทุกคน ท่านแองเจลิน่าเลยฝากให้ฉันพาส่วนเกินราวคนสองคนไปพักที่คฤหาสน์ของฉันแทนน่ะค่ะ”
และคนส่วนเกินที่ว่าก็ไม่พ้น ‘เคียวยะ’ แหละนะ
“พาไอ้ตูดหมึกนี่”
หมายถึงผม
“ไม่ก็ยัยเห่ยนั่น”
หมายถึงอานิม่า
“ตูดหมึกอะไรฟร้ะ เคยเห็นรึไงหะ”
“ร่างที่แท้จริงของฉันไม่ได้เห่ยหรอกนะคะ คุณเคียวยะ”
ผมกับอานิม่าช่วยกันแย้งสุดเสียง แต่ไอ้เอาแต่ใจแบบเคียวยะไม่คิดจะรับฟังอยู่แล้ว
“ให้เจ้าพวกนี้ไปแทนซะสิ ส่วนฉันจะนอนที่นี่”
“ดื้อด้านจังเลยนะคะ เรื่องแค่นี้ทำตามคำสั่งคนสำคัญอย่างฉันหน่อยก็ไม่ได้ เฮ้อ ..”
“คนสำคัญเรอะ อย่าถือตัวดีหน่อยเลย ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับแกมันก็แค่นายจ้างกับลูกจ้างที่มีสัญญายาวเกือบห้าปีเท่านั้น”
“เขาเรียกว่าผูกพันธ์กันในหน้าที่การงาน จน ..โอ๊ะ”
ไอริสพึ่งสังเกตุเห็น เมอัน ซึ่งเธอกำลังหลบอยู่หลังเคียวยะ ทั้งเกาะหลัง และพิงตัวเคียวยะได้แบบไม่มีเสียงบ่นใดๆเลย ตามปกติเรื่องพวกนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นกับเคียวยะได้ แค่จับปลายเสื้อของเคียวยะเบาๆ เจ้าตัวก็น่าจะโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ
ทำให้อนุมานได้ว่า เมอันมีความสำคัญต่อเคียวยะระดับหนึ่ง จึงพุ่งตรงไปที่จุดอ่อนนี้
“คุณหนูชื่ออะไรหรือคะ?”
“..เมอันค่ะ”
“เมอัน สนใจมาพักกับพี่สาวหรือเปล่าคะ?”
เมอันหันไปมองหน้าเคียวยะ สลับกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของไอริส สุดท้ายก็ ..
“คะ ค่ะ”
“เมอันแล้วหนึ่งคนค่ะ มีใครอีกคนจะอาสาจะไปกับเมอันบ้างคะ? คุณเคียวยะปฏิเสธไม่ไปแล้วหนึ่ง น่าเสียดายก็จริง แต่ไม่มีปัญหาค่ะ” ไอริสนั่งยองข้างๆเมอัน และพูดคุยด้วย “ไว้คืนนี้พี่สาวจะเล่าเรื่องน่าอายของคุณเคียวยะให้ฟังนะคะ เห็นเป็นคนวางมาดเข้มแบบนี้ แต่จริงๆแล้วค่อนข้างเปราะบา–”
“ฉันจะไปด้วย”
“..แหม่”
ไอริสแสยะยิ้มออกมา เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผน
สรุปคือเคียวยะกับเมอันก็ต้องแยกไปนอนกับทางไอริสอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้แองเจลิน่าก็มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่านะ ..บางทีมันอาจเป็นแผนสร้างอำนาจโดยการดึงเคียวยะมาเป็นพวกก็ได้ เพราะทั้งสองตระกูลก็อยู่ฝ่ายสนับสนุนราชวงศ์เหมือนกันด้วยสิ
เอาเป็นว่า สู้ๆนะเคียวยะ ฉันจะเฝ้าดูการเติบโตของนายไม่ว่าจะดีหรือร้าย
“บัดซบเอ้ย”
“ไปกันเถอะค่ะๆ”
ไอริสลากเคียวยะกับเมอัน ออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ ก่อนจะไปก็หันมาโบกมือทักทายพวกผมด้วยอารมณ์ที่ดีอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเคียวยะกับท่านไอริสสนิทกันหรือคะ?” เรเซลนึกสงสัย
“ดูยังไงให้สนิทล่ะคะนั่น” อันนาตบมุก
“แล้วแต่มุมมอง แต่ที่รู้ๆมีไม่เยอะหรอกนะคนที่ทำให้หมอนั่นยอมทำตามได้น่ะ”
เท่าที่รู้จักก็มีแค่ผมกับเบลลามี แล้วก็ไอริสแหละ
ฟัฟนิร์เห็นภาพที่เกิดขึ้นก็หัวเราะเยาะเย้ยเคียวยะแบบไม่ปิดบัง
“เป็นมนุษย์ที่เก่งแต่ปากจริงๆนะ”
“หล่อนไม่ต้องทำเป็นพูดเลย”
ฟัฟนิร์หยุดหัวเราะกระทันหัน และเดินไปต่ออย่างว่าง่าย สิ่งนี้สามารถเรียกว่าการพัฒนาตัวละครได้อยู่มั้ง
ไม่นาน ก็มาหยุดอยู่ที่ห้องเพียงสองห้องที่พวกเรเซลบอกว่าว่าง
“ตอนนี้มี ฉัน ชิน ฟัฟนิร์ แล้วก็อานิม่า แบ่งกันห้องละสองคน ..อ๊ะ”
ไม่สิ
“แบ่งเป็นชายหญิงจะดีกว่านะคะ คุณเรเซอร์”
อานิม่าเสริมขึ้นมา
“เล่นให้ฉันนอนคนเดียวในห้องสำหรับสองคน นี่ก็ชวนให้รู้สึกผิดกับเคียวยะที่จากไปนะ บ่องตง”
“แต่จะให้คุณเรเซอร์ที่มีสัญชาตญาณของวัยรุ่นผู้ชายมานอนจับคู่กับหญิงสาวที่ไม่ได้เป็นอะไรกันก็ไม่น่าดีหรอกนะคะ”
“ถ้านั้นอานิม่า หล่อนก็แปลงร่างเป็นเซบาสเตียนแล้วมานอนกับฉันแทนสิ”
เรเซลกับอันนาเอียงคอฉงน คงไม่เข้าใจว่าแปลงร่างที่ว่าหมายถึงอะไร
อนึ่งเรื่องของอานิม่า ผมไม่ได้เล่าให้ฟังนะว่าเธอเป็นเทพแห่งจิตวิญญาณน่ะ
“ต่อให้ตัวจะเป็นชายได้ แต่ใจฉันรวมถึงร่างที่แท้จริงแล้วเป็นผู้หญิงนะคะ”
“ฉันไม่มีอารมณ์กับรุ่นทวดของทวดไม่รู้กี่ร้อยรุ่นหรอกนะ”
“อยากนอนกับฉันขนาดนั้นเลยหรือคะ? ทั้งๆที่มีคนรักที่แสนวิเศษอยู่ใกล้ๆแล้วตั้งสองคน”
อานิม่ายิ้มสวยๆให้ประหนึ่งมองขาดในทุกเรื่อง ผมถึงกับสะดุ้งโหยงและหันไปหาสองเมดที่ล้วนมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป
เรเซลยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ อันนามองแรงใส่ผมโดยที่ปลายตาเธอมีน้ำตาซึมๆ
“คะ คือ นึกว่าพวกเธอจะมีห้องนอนของตัวเองกันอยู่แล้ว ..”
ไม่สิๆ แต่เดิมประเด็นแรกคือการที่ผมไม่รังเกียจที่จะแบ่งห้องนอนกับคนอื่น และสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ ส่วนอานิม่าก็มีความเห็นว่าให้แยกห้องนอนชายหญิงกันดีกว่า แค่นั้นไม่ใช่รึไง แล้วทำไมผมต้องรู้สึกผิดอะไรด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยวุ้ย
“ท่านเรเซอร์ขอรับ”
ชินโผล่มากระซิบข้างหูผม
“ท่านเรเซอร์ กับทั้งสองคนว่าโดยสถานะคือคนรักทางใจกันแล้วมิใช่หรือครับ? อุตส่าห์แยกจากกัน ไม่มีโอกาสได้พบกันเสียตั้งนาน ทั้งนี่ยังเป็นคืนสุดท้ายก่อนแยกกันไปทำงานอีกด้วย ไม่คิดว่าน่าเห็นใจบ้างหรือครับ?”
จู่ๆก็โดนชินพูดเตือนเหมือนตำหนิ
ผมหันไปมองสองเมด และครุ่นคิดพักหนึ่ง
ตัวผมเนี่ยไม่มีเซ้นต์เรื่องพวกนี้เลยแฮะ ต้องให้คนอื่นๆช่วยเตือนตลอดเลย แต่ในเมื่อโดนเตือนแล้วก็ต้องรับคำเตือนนั้นไว้จำให้ขึ้นใจ และปฏิบัติตัวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ใช่ ถึงผมจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมจำเป็นต้องพยายามเพื่อรักษาความสัมพันธ์แสนวิเศษระหว่างพวกเราไว้ให้ได้
“เรเซล อันนา ..คืนนี้มานอนกับฉันเป็นไง?”
นะ แน่นอนว่าแค่นอนนะ
ทั้งสองยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ ..
****
จากนั้นก็เข้ามาในห้องนอน เป็นห้องขนาดกลางๆซึ่งสามารถนอนได้ถึงสามหรือสี่คนเลย ถ้าเกิดเบียดๆกันหน่อย หรือถ้าอยากนอนสบายๆก็นอนได้สองคน ในห้องมีห้องน้ำแล้วก็ระเบียงห้อง ทั้งยังมีพื้นที่นั่งเล่นพร้อมโซฟาให้ด้วย เป็นห้องที่หรูสมกับที่อยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลดราแคล์
เมื่อเข้ามาภายในห้องแล้ว ผมก็ลงไปนั่งบนโซฟา เรเซลกับอันนาก็ลงมานั่งข้างผม
….
“เป็นยังไงกันบ้างเหรอ ช่วงที่แยกกัน”
ผมเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนใคร
“พวกเราทำงานให้ท่านแองเจลิน่าได้อย่างไม่มีปัญหาค่ะ หากให้ประเมินก็คิดว่าทั้งฉันทั้งเรเซลสามารถทำได้เกินกว่ามาตรฐาน” อันนาตอบกลับอย่างจริงจัง
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องงานสิ ..เรื่องทั่วๆไป ประมาณว่าทำอะไรมาบ้าง มีงานอดิเรกอะไรมั้ย จำพวกนี้”
อยู่ดีๆอันนาก็แก้มแดงขึ้นมา
“ทำไมต้องคุยเรื่องที่เหมือนกับคนรักคุยกันด้วยคะ!?”
“ช่วงนี้ฉันทำอาหารได้อร่อยขึ้นเยอะเลยค่ะ แล้วก็เริ่มฝึกพวกศิลปะการต่อสู้เล็กน้อยแล้วด้วย เพราะในอนาคตอาจได้รับหน้าที่ให้คอยตามท่านแองเจลิน่าไปอย่างอันนา เลยต้องป้องกันตัวเองได้บ้างค่ะ”
ผิดกับอันนาที่เขินอายแล้วทำซึนกับทุกเรื่อง เรเซลพูดเรื่องที่อยากพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม แค่นั้นไม่พอเธอยังเขยิบเข้ามาใกล้ผม และเอาแขนคล้องกับแขนของผมแบบฉบับที่คู่รักวัยรุ่นชอบทำกัน
กไากไฟกไากาไกไากฟากาไฟกาไากฟาไฟกาไฟากาไกาไกไกไกไกไกไกไก
ประทานโทษ เครื่องรวนเล็กน้อย
ผมตั้งสติได้ด้วยการใช้วิหคอมตะประคลองจิตใจตัวเอง บอกได้เลยว่าเกือบไปแล้ว
“อาหารของเรเซลเหรอ อยากลองกินจังเลยนะ ฮ่าๆ”
“ก็ตั้งใจฝึกให้ท่านเรเซอร์กินอยู่แล้วนะคะ เพียงแต่ไม่ค่อยมีเวลาที่พวกเราว่างตรงกันเท่าไหร่”
วิธีพูดที่เหมือนกับคู่สามีภรรยาที่ต่างคนก็ต่างยุ่งนั่นมันอะไร ..เอ๊ะ
ไม่ใช่แค่เรเซล อันนาเองก็เขยิบตัวมาคล้องแขนผมไว้เหมือนกัน แต่ดูเกร็งๆต่างกับเรเซล
“อันนา?”
“ทะ ทำไมคะ!? เป็นเรื่องปกติที่คนรักเขาทำกันไม่ใช่เหรอคะ!?”
ตะกึ้พึ่งด่าผมไปเองแท้ๆ ..เรเซลขยิบตาให้ผม เป็นสัญญาณบอกว่า ‘ดีจังเลยนะคะ’ ว่าโดยง่ายอันนาเคลื่อนไหวตามกลยุทธิ์นางแมวร้ายของเรเซลนั่นแหละ
ย้ำอีกครั้ง เด็กคนนี้เติบโตได้อย่างชั่วร้ายเหลือเกิน
พอได้มานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้ ผมก็รู้สึกดีจนไม่รู้จะอธิบายยังไงเลย ทำเอาอยากจะตะโกนออกมาว่านี่น่ะหรือความรัก อยากจะออกไปเที่ยวด้วยกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาส แล้วก็ ..รู้สึกผิดในใจขึ้นมากับเรื่องบางเรื่องอันแสนสำคัญ
“..นี่ คือฉันมีเรื่องต้องสารภาพ”
“นอกใจมาเหรอคะ?”
“ว่าแล้วเชียว”
“เอ่อ นี่ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเรื่องอะไร”
เรเซลกับอันนาหันไปสบตากัน ก่อนจะยิ้มให้ผมพร้อมด้วยจิตสังหารที่น่ากลัวกว่าเอเธอร์เป็นไหนๆ
“ “ทำไมกันนะคะ” ”
…….
ขะ ของมันแรงจริงวุ้ย!! น่ากลัว!!! เบลลามีช่วยด้วย!! ยูนาช่วยด้วย!!
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ?”
อันนาพูดขึ้น
“พวกเราอยากจะฟังแล้วก็นำไปประกอบการตัดสินใจน่ะค่ะ ถ้าหากท่านเรเซอร์ไม่รังเกียจอะไรละก็”
ที่เรเซลพูดดูสุภาพแท้ๆ แต่มันแฝงไปด้วยภัยอันตรายบางอย่าง
ผม ..เล่าทุกอย่างให้ฟังแบบหมดเปลือก
ใช่แล้ว เรื่องที่เล่าคือเรื่องเกี่ยวกับ ‘วิน’ ที่ผมออกตัวรับผิดชอบเธอนั่นแหละ
เมื่อได้ฟังเรื่องของวินไปแล้ว ทั้งสองก็เริ่มออกความเห็น โดยที่อันนาเป็นฝ่ายนำ
“นายน้อยเป็นขุนนาง ตั้งแต่ที่ตัดสินใจรักท่าน พวกเราก็ยินยอมที่จะให้ท่านมีภรรยาหลวง หรือว่าภรรยาน้อยที่มีสถานะสูงส่งกว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พวกเราก็ขอแค่ได้ใช้เวลาร่วมกับนายน้อย อย่างตอนที่คุณเบลลามี พวกเราก็ยินดีอ้าแขนรับคนที่นายน้อยรักมาโดยตลอด” อันนาถอนหายใจ “แต่ว่าการนอกใจมันอีกประเด็นนะคะ นายน้อย”
….อันนาโกรธอยู่ละ
“ฉันไม่ได้โกรธ ท่านเรเซอร์หรอกนะคะ คิดว่าขอแค่ได้อยู่ด้วยก็พอใจแล้ว เรื่องที่ท่านเรเซอร์จะมีคนอื่นๆเพิ่มมาต่อให้เป็นสิบคนฉันก็จะรักท่านเรเซอร์ไปตลอดค่า ..แต่พอรู้สึกเหมือนกำลังโดนนอกใจ มันก็ชวนให้คิดหน่อยๆว่าหรือว่าฉันไม่ดีพอกันนะ?”
“ยะ อย่าพูดบ้าๆนะ เธอไม่ได้ผิดสักหน่อย ทำไมต้องรู้สึกเหมือนตัวเองดีไม่พอด้วยเล่า!?”
“ก็ถ้าดีพอ ท่านเรเซอร์คงไม่ทิ้งพวกเราไปไหน ..”
เรเซลไม่ได้โกรธ แต่กำลังเสียใจอยู่ เสียใจมากๆด้วย
อ้าาาาาาาา!!!!!!! ผมทำอะไรลงไป ผมทำอะไรลงไป ทำเอาลงไป!!!!!!!! ….ตั้งสติไว้ เรเซอร์ ดราแคล์ ห้าวหาญให้ได้เหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งซะสิ บอกเจตนารมณ์ไปเลย
เจตนารมณ์? เรื่องที่ผมอยากจะบอกคืออะไร ให้บอกว่าช่วยรับวินเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเธอทีเถอะ แบบนี้เหรอ? ก็รู้ๆอยู่ว่าทั้งสองคนมิสิทธิ์ปฏิเสธผมซะทีไหน ต่อให้ไม่ชอบ ก็มีแต่ยอมรับเนื่องจากสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน
….
“…ฉันรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมาก แต่ว่า ..ฉันอยากจะบอกว่าสำหรับฉัน พวกเธอสองคนคือที่หนึ่ง ฉันจะทำตามที่พวกเธอพูด จะให้เกียรติเธอถึงที่สุด จะไม่มัดมือชกแล้วบอกว่ารับคนนี้เข้ากลุ่มทีนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ตอนนี้ก็ได้ ไว้พวกเธอค่อยเจอกับวินแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีกันก็ได้”
ผมเดินลงไปนั่งกับพื้น และคุกเข่ากราบขออภัยอย่างสุดซึ้ง
เพราะผมยังอ่อนหัดกับเรื่องรักๆใคร่ๆ ผมเลยคิดวิธีไหนไม่ออกเลยนอกจากการแสดงใจจริงของตัวเอง
“ฉันสัญญาว่าทำอะไรจะมาปรึกษาก่อนเสมอ ..ขอร้องละ”
ยะ ..
“อย่าทิ้งฉันไปไหนเลยนะ”
ในมุมหนึ่ง ทั้งสองคนอาจกลัวว่าผมจะทิ้งพวกเธอ แต่ว่าผมเองก็กลัวเหมือนกัน ทำเรื่องเห็นแก่ตัวขนาดนี้ไป ถ้าเกิดเรเซลหรืออันนาไปเจอกับสุภาพบุรุษที่ดีกว่าผมในทุกๆด้านเข้า แล้วเลือกจะทิ้งผมไปหาเขาขึ้นมาละก็ ..แค่คิดผมก็ปวดจิตปวดใจโคตรๆแล้ว
ผม ..
สัมผัสของฝ่ามือลูบที่หัวของผม มือของเรเซลลูบหัวผมไปมาเหมือนกับลูบขนศรีษะของหมา ผมจึงเงยหน้าขึ้นไป เห็นเรเซลกำลังยิ้มแย้มมีความสุข และเห็นอันนาทำกอดอกเชิดหน้าไปทางอื่น
“ไม่ทิ้งไปไหนหรอกค่ะ”
“ฉันเองก็ไม่มีทางทิ้งค่ะ”
..ทั้งสองคน
“แล้วก็อย่างที่บอก ฉันกับวินไม่ได้ล่วงเกินอะไรกันเลย อย่างมากก็แค่จับมือกันไปเที่ยว ..”
“ได้ยินแล้วก็ชวนหึงหน่อยๆเลยนะคะ เรเซล”
“ใช่ค่ะ โดนบอกว่าแค่เที่ยวจับมือหนุงหนิงกันแบบมีความสุขแล้วก็รู้สึกต้องพยายามสักหน่อยแล้วค่ะ”
ผมสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายบางประการจากน้ำเสียง
เรเซลเดินมาช่วยดึงแขนผมให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ลากผมไปที่หน้าเตียง ก่อนจะผลักผมลงกับเตียง ไอ้ผมพอโดนจับก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณ
“เอ่อ เรเซล ..ใจเย็นนะ”
“บอกว่าจะให้เกียรติกันสินะคะ?”
“..ครับผม”
ไม่มีสิทธิ์จะเถียง
เรเซลขึ้นมานอนบนเตียง และเขยิบมาข้างตัวผม ในท่าคลานทำให้เห็นหนองโพคู่นั้นของเรเซลแกว่งไปมา …ผมปิดตัวตัวเอง แต่โดนเรเซลดึงมือหนึ่งข้างออก และโดนมือเล็กๆของเรเซลควบคุมให้ไปสัมผัสที่บริเวณหน้าอกของเธอ
“…”
อ๊ะ
เอ๋
เดี่ยว
เดี่ยวก่อนนะ
ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ อันนาหันมาสบตากับผม พวกเราทั้งคู่อ้าปากค้าง และกรี๊ดร้องออกมา
“ “เอ๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!?” ”
“เป็นไงบ้างคะ?”
“ระ เรเซลลลล”
ผมร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนจะร้องไห้ผสมขาดอากาศหายใจ อันนาวิ่งตรงมาข้างๆเตียงนอน
“เรเซลนี่เธอ ..คะ ..คะ คะ คิดจะทำอะไรกันคะ เรื่องหยาบคายพรรค์นั้น คิด ..คิดอะไรอยู่กัน!!? ยัยลูกไก่เรเซล!!!”
“อันนา ฉันไม่รอแล้วนะ”
“..เอ๋?”
“จริงๆพวกเราอยากจะทำพร้อมกับท่านเบลลามีนะคะ ท่านเรเซอร์ แต่ว่า ..ทนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ”
….
“คะ ครับผม”
แบบว่าสติจะหลุดยังไงไม่รู้
“พอคิดว่าวันหนึ่งอาจโดนใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ในหมู่พวกเราแย่งไปแล้ว มันก็ทนไม่ไหวแล้ว ขอโทษนะคะ ท่านเรเซอร์ อันนาด้วย แต่ว่าฉันขอไปก่อน”
อันนายื่นหน้ามา และประกบปากกับผมเต็มๆ ..เป็นจูบที่ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไร แค่ประกบปากกันง่ายๆเหมือนเด็กจูบกัน แต่ว่าอันนากลับทำอย่างนี้ซ้ำไปมาหลายต่อหลายครั้ง และเริ่มลูบไล้มือของตัวเองไปทั่วร่างกายของผม
หลายๆส่วนในร่างกายถูกสัมผัส รวมถึงส่วนที่อ่อนแอเป็นพิเศษด้วย …จากนั้นมือของเรเซลก็เคลื่อนมาปลดกระดุมผมออกทีละเม็ด โดยที่ผมไม่รู้สึกตัวเลย เรเซลลงมือถอดเสื้อเชิ้ตของผม และใช้ลิ้นของตัวเองตวัดตั้งแต่ลำคอไปจนถึงหน้าท้องของผมอย่างบรรจง เธอลงมือทำทุกอย่างด้วยความอ่อนโยน และนิ่งเงียบ เหมือนกับการลงมือทำความสะอาดที่เธอทำเป็นประจำในทุกๆวัน เธอได้ทำความสะอาดทุกส่วนในร่างกายของผม
สติจะหลุดจริงๆแล้ว …แต่ว่านี่คือเรื่องที่ผมต้องทำ
ผมฮึดสู้โอบกอดร่างของเรเซลกลับ ตอนนั้นเองอันนามองภาพตรงหน้าด้วยความเคลิมเคลิ้ม ไม่นานก็ขึ้นมาบนเตียงด้วยเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็ …..เกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่าง
****
ผมตื่นขึ้นมายามค่ำคืน ไม่ทราบเวลา แต่ตอนนี้น่าจะเลยคำว่าหัวค่ำมาไกลแล้ว ในทีแรกผมนึกอะไรไม่ออกเลย จนกระทั่ง …ข้างซ้าย และขวาของผม เป็นร่างของคนรักที่เปลือยเปล่า ทั้งสองนอนหลับฝันดีด้วยใบหน้าที่พึงพอใจกับอะไรบางอย่าง
“…ทะ”
…
“ทำลงไปแล้ว”
และนี่ก็คือประสบการณ์ครั้งแรกของผม