< < 192 > >
ทำลงไปซะแล้ว
ถ้าให้บรรยายความรู้สึกของการมีอะไรกันครั้งแรกในชีวิตละก็–ช่วงแรกก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่ว่าหลังจากนั้นมันเหมือนสนามรบยังไงไม่รู้ ต้องคอยกะเวลา สลับฝั่งระหว่างเรเซลกับอันนาติดต่อกันไม่ให้ใครรู้สึกน้อยใจได้ ทำทุกอย่างโดยหวังว่าพวกเธอจะรู้สึกดีที่สุด สุดท้ายก็รับภาระหนักเกินไปจนถึงกับต้อง ..ผมกุมขมับตัวเองแบบเครียดๆ
“วิหคอมตะไม่ได้มีไว้ทำอะไรแบบนี้นะเฟ้ย”
ในระหว่างที่ทำเรื่องพวกนั้นมันค่อนข้างหนักเลยน่ะนะ ไอ้การจัดลำดับการหายใจหรือการออกแรงไม่ให้เหนื่อยน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ที่เป็นปัญหาคือให้รันยาวสองชั่วโมงดังที่เกิดขึ้นมันไม่ไหวหรอก ผมเลยไม่มีทางเลือก ถึงกับต้องใช้การเยียวยาไพ่ตายของผมสู้ศึกบนเตียงซะอย่างนั้น น่าอับอายชะมัด
“นายน้อย ..รู้สึกดีจังเลย ..ค่ะ”
อันนานอนละเมอมาอย่างนั้น ทำเอาผมอดรู้สึกคุ้มค่ากับที่พยายามลงไปเลยละ
ใช่แล้วละ ถ้าที่ทำมันทำให้ทั้งสองคนพอใจละก็ ..ไม่มีปัญหาละนะ
“หล่อนเองก็ช่วยอ่อนโยนกับฉันหน่อยนะ ถือว่าขอ”
ผมลูบศรีษะของอันนา ก่อนจะผละตัวออกจากเตียงนอน หยิบเสื้อผ้าที่ตกตามพื้นของตัวเองขึ้นมาสวมใส่ และเดินออกจากห้อง กะจะเดินเล่นสักหน่อย
ผมออกมาข้างนอก เดินเล่นไปตามระเบียง ใช้มือสัมผัสกำแพงรอบๆด้วยความรู้สึกที่สงบเป็นพิเศษในใจ
“การมีเซ็กซ์มันช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งนี่เอง”
ก็ว่าทำไมคนเราชอบมีอะไรกันเพื่อแก้เครียด มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง
ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ได้รู้สึกกดดัน หรือตึงเครียดอะไรเป็นพิเศษ คิดแค่ว่าเรื่องพวกนี้ค่อยไปคิดเอาหลังจากออกเดินทาง นี่คือเวลาพักผ่อนของผม ผมก็ควรจะพักผ่อนตามที่วางกำหนดการณ์เอาไว้ เพราะคิดแบบนั้นเลยออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย
และตอนนั้นเองก็บังเอิญเห็นแองเจลิน่านั่งอยู่ตรงน้ำพุภายในคฤหาสน์
“…”
ผมตัดสินใจเดินลงไปข้างล่าง เพื่อไปพบกับแองเจลิน่า
เรื่องที่จะคุยไม่มีหรอก แค่อยากจะไปนั่งข้างๆพี่สาวของตัวเอง ทำแค่นั้นเดี่ยวเรื่องที่จะคุยมันก็ผุดขึ้นมาเอง ว่าง่ายๆ ผมแค่อยากไปหาแองเจลิน่าเท่านั้น ผิดหรือไงที่อยากจะอยู่กับพี่สาวของตัวเอง?
ว่าแล้วก็
“จู่ๆก็มีอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นมาเหรอ แองเจลิน่า”
“เรเซอร์เหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ผมลงไปนั่งไขว่ขาข้างๆแองเจลิน่า และเท้าคางมองพระจันทร์บนท้องฟ้า
“อารมณ์สุนทรีย์พี่มีอยู่ตลอดแหละนะ ถ้าไม่ได้เกิดมาเป็นขุนนาง พี่คงเป็นศิลปินชื่อดัง”
“เชื่อครับ ไม่โม้”
“เหมือนประชดกันเลยนะ”
“คิดไปเองน่า”
แองเจลิน่าหันมาจ้องหน้าผม ขมวดคิ้วและเบะปากอย่างกับนักเลง
“เพราะไปไกลกว่าพี่หน่อยเลยนึกเฮิมเกริมขึ้นมาเหรอ?”
…พูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย
“แค่มีคนรักแล้วก็ O#@$ ครั้งแรกก่อนก็ทำมาเป็นอวดพี่เลยเหรอ!!?”
รู้ได้ไงวะเนี่ย!!? ไม่สิๆ
“ปะ ประทานโทษนะ แองเจลิน่า ช่วยเบาหน่อยนะ”
“เห็นพี่เป็นหมาหัวเน่าหรือไงหะ ถึงมา—กไฟกไฟกาไฟกไรกรฟไกไ”
แองเจลิน่าผีเข้าแล้ว!! ความโสดกำลังกัดกินแองเจลิน่าอย่างหนัก และโหดร้าย เพื่อหยุดยั้งการโวยวายประจานตัวเองของเจ้าหล่อนผมจึงต้องถือวิสาสะปิดปากแองเจลิน่าเอาไว้ ผมปล่อยให้เธอโวยวายอยู่ในมือของผมไปพักใหญ่ๆก็เริ่มหมดแรงไปเอง …เธอหรี่ตามองผมแบบงอนๆ ผมจึงปล่อยมือออก
“พี่ก็ไม่ตั้งใจแอบฟังหรอกนะ แค่เดินไปถามอาการ กะจะไปแซวสักหน่อยว่าอย่าทำอะไรไม่งามเชียวนะ ไอที่เขาเรียกว่าช่วงชงนั่นแหละนะ แต่พอเดินไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงดังฟังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่หน้าประตูถึงรู้ซึ้งเลย ..เด็กเมื่อวันวาน ตอนนี้กำลังลุกเป็นไฟกับน้องสาวของตัวเองอยู่” แองเจลิน่าหัวเราะแห้งๆ “หันกลับมาที่ตัวเอง แห้งแล้งอย่างกับอยู่ในทะเลทราย”
ให้สอนมั้ย? เกือบจะเอ่ยไปอย่างนั้น ดีที่ห้ามตัวเองทำ
“คุ้นๆจังเลยนะการเปิดประโยคคุยอย่างนี้”
“ทำไมเหรอจ๊ะ”
“มันทำให้นึกถึงตอนที่แองเจลิน่าฉลองวันเกิดให้น่ะ”
ตอนนั้นเองก็นั่งอยู่ตรงน้ำพุ แล้วก็คุยเรื่องพวกนี้นั่นแหละ ไม่คิดเลยว่าผ่านมาหลายปีแล้วแองเจลิน่าก็ยังอยู่ในสถานะโสดสนิทตามเดิม ดูท่าอนาคตอาจกลายเป็นเหมือนที่แองเจลิน่าเดาไว้ตอนแรกก็เป็นได้
“ไม่เจอคนที่ถูกใจสักคนเลยเหรอ?”
“นั่นสินะ ถึงพี่จะบ่นเรื่องรักๆใคร่ๆตั้งมากมาย แต่คิดว่ายังไม่ใช่เวลาคิดเรื่องพวกนั้นหรอกนะ”
ใกล้จะสามสิบแล้วแท้ๆ สำหรับขุนนางมันสำคัญจะตายไป
“ถ้าไม่หาให้ได้ก่อนสามสิบ ระวังโดนจับแต่งงานเอานะครับ”
“ถ้าหาไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ..ถึงจะโดนจับไปแต่งกับใคร แต่ก็มีหน้าที่แค่ทำลูกสักสองถึงสามคน แล้วก็ลาขาดกันแค่นั้น ไม่มีอะไรต้องใส่ใจหรอก”
ที่แองเจลิน่าพูดสวนทางกับสีหน้าและน้ำเสียงเธอสุดๆ ในใจลึกๆ เธอเองก็เป็นเพียงผู้หญิงทั่วๆไปที่หวังอยากมีรักแท้ซึ่งหาเจอด้วยตัวเอง แค่จังหวะมันไม่ค่อยดีหลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นว่าผู้ชายดีๆในยุคของเธอก็โดนจองตัวไปหมดแล้ว
“จะว่าไปน้องเนี่ยร้ายกาจเหลือเกินนะ สเป็คสูงไม่พอยังอันตราย เล่นไปจีบระดับจอมมารเนี่ย จอมมารเลยเชียวนะ ตัวตนระดับท่านผู้กล้าเชียวนะ”
เธอพูดถึงเบลลามีอย่างออกรส ถึงจะบ่น แต่ก็ไม่ได้รังเกียจทีเดียวที่ผมเกี่ยวข้องกับเบลลามีในเชิงนั้น
“พี่เองก็เถอะ เห็นแอบคุยๆจีบๆกับท่านผู้กล้าคนแรกอยู่เลยนี่”
แองเจลิน่าได้ยินที่ผมแซวก็หัวเราะออกมาเสียงดังโดยไม่สนมาดผู้นำตระกูลดราแคล์
“ถ้าเห็นว่าพี่กำลังจีบเอเธอร์เขาอยู่ พี่คงเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจไม่เบาเหมือนกันนะที่ไปจีบบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลผู้กล้า ที่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีเหลนของเหลนกี่คนแล้ว”
ตามอย่างที่ว่ามาเลย มองที่อายุมันก็เป็นการจีบตาลุงดีๆนี่เอง ..แต่ผมที่จีบเบลลามีก็ไม่น่าต่างกันเท่าไหร่แฮะ คิดๆดูแล้ว
“สบายใจได้ พี่กับเอเธอร์ก็แค่เพื่อนร่วมโต๊ะชากันเฉยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรทั้งนั้น แล้วก็สเป็คพี่ขั้นต่ำสุดเลยคือต้องเป็นคนที่ไม่วางตัวเป็นศัตรูกับเรเซอร์ด้วย ซึ่งเอเธอร์ไม่ผ่านอย่างแรงจ๊ะ”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้น่าจะผ่านอยู่แท้ๆ”
แองเจลิน่าแหงนหน้าขึ้นฟ้า ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“จะว่าใช่ก็ใช่อยู่นะ”
เอเธอร์ก่อนถอนตัวจากอาณาจักรฟัฟนิร์ และก่อนเป็นศัตรูกับผม พร้อมไปด้วยคุณสมบัติชั้นยอด ไม่ว่าจะอำนาจ ชื่อเสียง และพลัง ถ้าไม่ติดเรื่องแกเป็นตาลุงอายุเป็นล้านปี ผมก็อาจเชียร์ให้แองเจลิน่าลองจีบอยู่หรอก
“นั่นไงเล่า”
“…เอเธอร์เป็นศัตรูกับน้องจริงๆเหรอ?”
“นึกเสียดายเอเธอร์ขึ้นมารึครับ”
แองเจลิน่าส่ายหัวตอบ เธอมีสีหน้าที่จริงจังในเวลานี้
“พี่บังเอิญเจอเขาระหว่างทางไปอาณาจักรฟัฟนิร์น่ะ พวกเราสวนทางกัน และแวะคุยกันแปปเดียว ตอนนั้นสภาพของเอเธอร์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล สติดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วยังบอกเรื่องที่ทำฝห้พี่นอนไม่หลับออกมาด้วย”
….
“เขาบอกว่า .. ‘ตัวเองคงไม่สามารถเป็นพี่ชายที่ดีได้แล้ว’ แหน่ะ”
“…”
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่เห็นสีหน้าที่ดูอ่อนแอของคนๆนั้น เรื่องระหว่างเอเธอร์กับเบลลามี มันอาจจะไม่ใช่แค่คนสองคนไล่ฆ่ากัน เพื่อแก้แค้นอย่างเดียวก็ได้นะ”
ผมหลับตาลง นึกถึงเรื่องราวระหว่างเอเธอร์กับเบลลามี
“เรื่องของเบลลามี ผมรู้แค่ว่าเธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปกับเอเธอร์ แต่ว่าเอเธอร์เนี่ยสิ คิดอะไรอยู่กันแน่ อยากจะเป็นพี่ชายที่ดีแท้ๆ แต่กลับเลือกจะไล่ฆ่าน้องสาวตัวเอง ความแค้นครอบนำ? เป็นไปไม่ได้หรอก คนอย่างเอเธอร์เนี่ยนะจะเจ้าคิดเจ้าแค้น .. ว่าตามตรง ผมไม่เข้าใจเรื่องของทั้งสองคนหรอก และคิดว่าก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองที่จะไปยุ่งด้วย เพราะมันคือเรื่องของพี่น้องที่ต้องเคลียร์กันเอง แต่ว่า—ถ้าเอเธอร์มาขวาง ผมจะไม่ปล่อยไว้แน่”
“คิดว่าสู้กับเอเธอร์แล้วจะชนะเหรอ?”
แองเจลิน่าหรี่ตามองพื้น ส่วนผมก็ไม่สามารถตอบที่เธอถามได้แบบเด็ดขาดนัก จึงเกาศรีษะตัวเองแก้เขิน
“ชนะเมื่อไหร่จะมาเล่าให้ฟังนะ”
“น้องเนี่ยนะ นึกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดวิเคราะห์แล้วซะอีก ไปสู้กับคนระดับนั้นแบบไม่ได้เตรียมตัวเลยมันได้ที่ไหนกัน”
เธอถอนหายใจเฮือกโต และเขยิบตัวมากอดผมแบบไม่บอกกล่าวอะไร
ทำเอาผมตกใจนิดหน่อย
“ตัวใหญ่ขึ้นจริงๆนะ โตเป็นหนุ่มแล้วสินะเนี่ย”
ถ้าเป็นตัวผมเมื่องานวันเกิด แขนสองข้างของแองเจลิน่า น่าจะสามารถกอดทั้งร่างของผมได้เหมือนกอดสัตว์เลี้ยง แต่ว่าตอนนี้แขนของเธอไม่ยาวพอจะทำอย่างนั้นแล้ว ทั้งไหล่ และขนาดตัวของผมกว้างขึ้นเป็นอย่างมาก
“บอกตามตรงนะ แอบแปลกใจนิดหน่อยนะที่แองเจลิน่าไม่คิดจะห้ามอะไรกันเลย นึกว่าจะโวยวายจนต้องกล่อม หรือกล่อมไม่ไหวก็ต้องแอบหนีออกจากอาณาจักรซะอีก”
“พี่ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องห้ามอะไรเลยเสียหน่อย ไม่วันใดวันหนึ่ง เรเซอร์ก็ต้องแยกไปใช้ชีวิตเป็นของตังเอง ไม่ว่าจะก่อร่างสร้างตัว เริ่มมีคนรัก และสร้างครอบครัวเล็กหรือใหญ่ขึ้นมา ณ ที่ไหนสักแห่งซึ่งไม่รู้ว่าไกลกับที่ทำงานของพี่มากน้อยแค่ไหน บางทีนะ เรเซอร์อาจจะพลาด เป็นตายร้ายดียังไง พี่ก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้แล้ว อย่างมากก็ได้แค่สนับสนุนเล็กๆน้อยๆ ..เพราะชีวิตนี้เป็นของเรเซอร์ไม่ใช่ของใครอื่น พี่เลยไม่สามารถไปบงการเพื่อความสบายใจของตัวเองได้”
แองเจลิน่าใช้หัวของตัวเองหนุนไหล่ของผม เธอยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่กอดผมไปด้วย
“ตอนนี้ วันนั้นมาถึงแล้วก็เท่านั้น ..แต่ว่าพี่ขอบงการสักหน่อยได้มั้ย แค่เรื่องเดียวพอนะ”
“ครับ”
“ถ้าจะตายก็ช่วยตายหลังจากที่พี่ตายทีนะ”
เป็นการบงการที่ดูอ่อนโยนดีจริงๆ
ทำเอาแอบคิดได้เลยว่าถ้าผมชิงตายไปก่อน แองเจลิน่าจะต้องลงมือสังหารตัวเองตายตามผมไปแน่ๆ เธอรักผมถึงขนาดนั้นเลยละ เพราะฉะนั้น–
“ผมจะไม่ตายจนกว่าจะถึงวัยอันควร ขอสาบานในฐานะน้องชายของ แองเจลิน่า ดราแคล์ ..”
ผมก็น้องตอบแทนความรักนั้น โดยการไม่ยอมตายเด็ดขาด
“นั้นเหรอจ๊ะ ดีจังเลยนะแบบนั้น”
แองเจลิน่ายิ้มออกมาทั้งน้ำตา—‘ไม่นั้นเธอจะไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้เลยในสักวัน’
คำพูดนั้นของเซเนียยังติดอยู่ในหัวของผมก็จริง ..มันคือคำเตือบที่แสนมีค่าจากผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ว่าผมเป็นวัยรุ่น ต่อให้นับอายุชาติก่อนก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ดีถ้าเทียบกับเซเนีย และวัยรุ่นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะใฝ่หาอุดมคติมากกว่าความจริงเสมอ
ต่อให้สิ่งที่ผมอยากจะคว้ามันเป็นเพียงอุดมคติ ผมก็จะไม่สนใจ …ขอโทษนะ เซเนีย คำเตือนของคุณมันเปล่าประโยชน์ และไม่มีค่าอะไรเมื่อนำมาบอกผมเลย
ผมมาที่นี่เพื่อคว้าทุกอย่างเอาไว้ให้ได้ จะไม่เลือกอะไรทั้งนั้น จะไม่มีตัวเลือกหนึ่งหรือสองให้ผม ตัวเลือกเดียวที่ผมจะเลือกก็คือ ‘ถูกทุกข้อ’
****
เช้าวันต่อมาก็จวนจะถึงเวลาออกเดินทาง
ผมนั่งอยู่บนโซฟา ขณะเดียวกันข้างหน้าของผม เรเซลกับอันนาก็กำลังแต่งตัวกันอยู่ พวกเธอพึ่งจะตื่นจากคืนที่แสนดุเดือดนั่น ทำให้มีท่าทางดูเขินๆเกร็งๆกัน ไม่เว้นแม้แต่เรเซลที่ดูจะใจกล้าสุดในหมู่พวกเรา
“….”
“….”
“….”
“เมื่อคืนฉันมีความสุขมาก ว่าไงดี ทำเอาหายเครียดเลย”
พูดอะไรออกไปเนี่ยเรา ถ้าจะพูดก็ช่วยประดิษฐ์คำพูดสวยๆมาหน่อยไม่ได้รึไงกันตัวผม ..เฮ้อ
“ขอบคุณนะ”
“ไม่หรอกค่ะ ทางพวกเราต่างหาก ..รู้สึกดีเหมือนกัน …ค่ะ”
อันนาตอบกลับแบบเขินๆ เรเซลยิ้มให้ผมขณะที่กำลังติดเม็ดกระดุมเสื้อ
ผมหันไปมองนาฬิกาที่ใกล้ได้เวลาออกแล้วจึงลุกขึ้นยืน
“ขอตัวก่อนนะ ….”
ผมเตรียมข้าวเตรียมของทั้งหมดยัดลงกระเป๋าเวทมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลาออกมาจากห้องนอน เลยเดินออกจากห้องไป ..ทว่า ผมดันประตูกลับเข้ามาใหม่ในห้องอีกครั้ง
“ระ รักนะ เรเซล!! รักนะ อันนา!! ขากลับเดี่ยวซื้อของฝากมาให้ด้วย ตั้งตารอครั้งหน้าได้เลยนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะๆ จะไปก็รีบไปเถอะค่ะ นายน้อย”
“เดินทางปลอดภัยนะคะ ท่านเรเซอร์”
กล่าวจบผมก็รีบวิ่งลงมาข้างล่างด้วยท่าทางที่ดูมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ ผมเดินไปอยู่หน้าคฤหาสน์ที่มีรถม้ารอไปรับไปส่งราวสองคัน
ที่แห่งนั้นคนอื่นๆที่จะเดินทางด้วยก็มารอเหมือนกัน
ฟัฟนิร์เมื่อเห็นผมก็ยิ้มออกมา และตรงมาหาโดยที่มีชินเดินตามมาด้วย
“เมื่อคืนเสียงดังมากเลยนะต้าวเรเซอร์!!!”
“ทะ ท่านฟัฟนิร์ อย่าพูดเรื่องเสียมารยาทสิขอรับ”
ชินลงมือลากฟัฟนิร์กลับที่เดิม แต่ก่อนจะไปเจ้าตัวหันมายิ้มเจื่อนๆให้ผมด้วย ….ที่แองเจลิน่าบอกว่าเสียงดังดูท่าจะจริง ไม่ใช่แค่ฟัฟนิร์ที่เดินมาเยาะเย้ยผม
“คุณเรเซอร์เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“…..”
ผมเลือกจะไม่ตอบโต้อะไร ทำเพียงกระพริบตาปริบๆตอบกลับ อานิม่าเห็นก็หัวเราะร่า และเดินกลับไปที่เดิม ..ยัยเทพแห่งจิตวิญญาณนี่พักหลังๆเริ่มรู้สึกน่าหมันไส้ขึ้นมาแล้วสิ
ต่อจากยัยนี่ก็—เคียวยะที่ยืนกอดอก กับเมอันที่ยืนเกาะหลังเคียวยะ แล้วก็ไอริสซึ่งมาส่งถึงที่
“จากคำบอกเล่าคงจะเป็นค่ำคืนที่ดีไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ท่านเรเซอร์”
ยัยนี่อีกคน …
“บอกไว้ก่อนว่าฉันคนนี้ไม่คิดจะแข่งเรื่องจำพวกนี้กับแกหรอก สบายใจได้”
“ยังดีนะที่นายยังมีพอความเป็นคนอยู่ สมกับเป็นเพื่อนซี้ของฉัน”
“คู่แข่งต่างหาก หึ!”
เคียวยะเชิดหน้าหนีไปทางอื่นแบบซึนๆ เมอันเห็นก็ทำเชิดหน้าตาม กลายเป็นตัวอย่างไม่ดีให้เด็ก(ทางจิตใจ)อีก
ผมถอนหายใจเฮือกโต ก่อนจะเดินขึ้นรถม้าไป ….
“เรเซอร์!!!”
เสียงเรียกของโซเฟียดังขึ้นจากข้างหลัง เธอโผล่มาในสภาพที่ฮอบแรง เหมือนว่าวิ่งมาที่นี่อย่างไรอย่างนั้นเลย
“ว่าไง?”
“พาทุกคนกลับมาให้ได้นะ! ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้!!”
….ผมชูสองนิ้วตอบกลับ โซเฟียเห็นก็ดีใจแล้วชูสองนิ้วตอบกลับ
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
เซบาสเตียนมายืนรอผมอยู่ข้างๆรถม้า เขาคงจะรับหน้าที่ลาส่งผมกระมัง
“อ่า เซบาสเตียนเองก็อย่าฝืนตัวเองนะ”
เพราะเหลือแค่แขนเดี่ยวนี่นะ น่าเสียดายที่ทางอาณาจักรเนลยอนไม่ให้อนุญาติให้ผมลงมือฆ่าอลิซาเบธ ทำให้สิ่งที่หล่อนกลืนกินไปในเคียวก็ยังอยู่ รวมถึงแขนของเซบาสเตียนด้วย
“ท่านเรเซอร์ก็เช่นกันครับ”
“แล้วก็ฝากแองเจลิน่าด้วยนะ สำหรับฉัน เธอสำคัญที่สุด”
เซบาสเตียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มที่มุมปากเบาหวิว พร้อมโค้งศรีษะให้ผม
“รับบัญชาครับ”
“ไว้เจอกันนะ”
ผมขึ้นมาบนรถม้า พร้อมกับทุกคน จากนั้นก็—มุ่งหน้าไปสู่อาณาจักรเกรลเป็นสถานที่ต่อไป
“ลำดับแรกก็ต้องนัดพบกับเจ้าพวกนั้นก่อนน่ะนะ ..หนิง เรย์”
ขอฟังเรื่องฝั่งพวกนายหน่อยละกัน