< < 61 > >
ผมขึ้นมานั่งบนอัฒจันทร์เพื่อคอยดูการต่อสู้ของเคียวยะ
การประลองจะเป็นแบบแบ่ง 8 สาย แต่ละสายจะสุ่มคนมากองๆรวมกันหลายคนแล้วสู้แบบตะลุมบอนภายในสนามของโคลอสเซียมที่ใหญ่เอาเรื่อง โดยจะมีกฎกำหนดไว้ว่า 5 คนสุดท้ายที่ยืนอยู่จะได้ไปรอบถัดไป และรวมกับ 7 สายที่เหลืออีกมาตะลุมบอกอีกครั้ง
ทั้งหมดก็เพื่อความรวดเร็วในการแข่งขัน ถ้าเกิดมีตัวบัคเข้าไปในงานแข่ง เพียงไม่กี่นาทีงานจะจบทันที ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าผมได้ร่วมงานและเอาจริง ไม่รวมเวลาทำการงานน่าจะจบภายในสามสิบวิละมั้ง
แน่นอนส่วนหนึ่งทำได้ขนาดนี้ก็เพราะยูนาด้วยล่ะนะ
“เอาละ ..เคียวยะอยู่ไหนกันนะ”
ผมพึมพำขึ้นพร้อมกับชายตามองไปรอบๆ
“เคียวยะ? เพื่อนน้องคนก่อนหน้าสินะ”
“ใช่ครับ เห็นเจ้าตัวบอกจะลงแข่งเลยรู้สึกสนใจหน่อยๆน่ะ”
“เหรอจ๊ะ จะคอยเอาใจช่วยละกันนะ”
ว่าจบเซบาสเตียนก็ยื่นแท่งไฟสำหรับเชียร์วงดนตรีให้พี่สาว และเมดๆรวมถึงผมด้วย
“ “ “3 2 1 เคียวยะสู้ๆ เคียวยะสู้ๆ” ” ”
ทุกคนออกเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันเห็นแล้วก็น่าอาย แต่ผมใจดีสู้เสือตะโกนเชียร์เคียวยะด้วยเหมือนกัน
“เคียวยะสู้ๆ เคียวยะสู้ๆ!”
ผู้คนพากันส่งสายตามาทางพวกผมและซุบซิบกันสนุกสนาน หัวข้อหลักๆคือ ‘มาเชียร์คนในครอบครัวเรอะ’ ประมาณนี้
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เจอ ..อ๊ะ เจอแล้วๆ
เคียวยะมองมาทางผมด้วยสายตาที่อาฆาตแค้นแต่คราวนี้ผมทำเป็นไม่เห็นกลับบ้าง
“ท่านเรเซอร์คิดว่าผู้ใดจะชนะหรือครับ?”
เซบาสเตียนเอ่ยถามผมเบาๆ เหมือนกะจะให้ผมได้ยินแค่คนเดียว
“การแข่งนี้มันไม่แฟร์เท่าไหร่น่ะนะ ..ห้าคน นี่คือจำนวนคนที่สามารถตั้งได้ แรกเริมเราสามารถฟอร์มทีมห้าคนได้เชียวนะ มันไม่ใช่การต่อสู้ตะลุมบอนหนึ่งต่อหนึ่ง แต่เป็นการยกพวกมาตะลุมบอนกันมากกว่า”
“จะบอกว่าคนที่ฟอร์มทีมมาดีคือผู้ชนะสินะขอรับ”
“..นั่นสินะ ต้องดูที่เนื้อผ้าด้วย ดูตอนนี้ไปก็ไม่ได้คำตอบหรอก ฉันไม่ได้มีดวงตามหาปราชญ์เหมือนใครสักคนน่ะนะ”
ผมเท้าคางรอคอยการแข่งขัน
“ดวงตามหาปราชญ์ รู้จักด้วยสินะครับ ..แปลว่าท่านก็รู้จัก ‘เอเธอร์’ ด้วยสินะ”
‘เอเธอร์’ มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เป็นตัวตนเพียงไม่กี่ตนที่แกร่งทัดเทียมหรือเหนือกว่าเหล่าวิญญาณระดับเทพสมัยมีชีวิต
ภายในเนื้อเรื่องต้นฉบับเองเขาก็เป็นหนึ่งในตัวเสริมสำคัญของเรื่องด้วย ทุกวันนี้ฉากปะทะกันของเขากับจอมมารมันยังตราตรึงใจผมไว้อยู่เลย ถ้าหากพลังของเขาเท่ากับในโลกนิยายล่ะก็ ..อย่าว่าแต่ผมเลย แม้แต่จอมมารก็เป็นการยากที่จะเอาชนะได้ ไอ้ตัวตนที่เหมือนจุดบัคของโลกนั่นน่ะ
ฉะนั้นแล้วการนิยามหมอนี่ว่าเป็นมนุษย์คือเรื่องเสียมารยาท เขาจึงมีฉายาว่า ‘สัตว์ประหลาด’ แทน
และหนึ่งในที่มาความแข็งแกร่งของเอเธอร์ก็คือ ‘ดวงตามหาปราชญ์’ เช่นเดียวกับที่เคียวยะมี
“นิดหน่อยน่ะ ข่าวลือของสัตว์ประหลาดย่อมเข้าหูบ้างเป็นธรรมดา”
“นั้นหรือครับ ..เหมือนการแข่งขันจะเริ่มแล้วนะขอรับ”
“อ่า”
ผมจ้องเคียวยะโดยไม่กระพริบตา——————————-ไอ้บ้านั่นแพ้ตั้งแต่รอบแรกเลย
ภายใต้เสียงหัวเราะระรื่นย์ของพวกคลายอัศวินปี 1 ที่คิดกะจะชิงตำแหน่งประธานนักเรียนจากหนิงนั้นมีเคียวยะนอนกองกับพื้น
..แพ้ล่ะ
เซบาสเตียนถูคางประเมินเคียวยะ
“ไม่เลวนะครับ เพื่อนของท่านเรเซอร์ แต่ติดประมาทมากครับ เขาจ้องจะหนึ่งต่อหนึ่งตลอดทั้งๆที่มันเป็นการตะลุมบอน ผลสุดท้ายเลยถูกผู้ชนะทั้งห้าซึ่งเป็นเพื่อนกันร่วมมือจัดการได้ในที่สุด ทั้งๆที่ว่ากันตามคุณภาพโดยรวมแล้วท่านเคียวยะดูจะเหนือกว่าอย่างมากเลยครับ”
เซบาสเตียนว่าอย่างตรงไปตรงมา เกิดเคียวยะบังเอิญมาได้ยินเข้า ต้องหัวร้อนและร้องไห้โวยวายแหงๆ
“ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้พวกคลาสอัศวินด้วยมั้ง เจ้าพวกนั้นเข้าขากันได้ดีสุดๆเลย ฉันเผลอคิดไปเลยล่ะว่าต่อให้โดนรุมแค่สามต่อหนึ่ง เคียวยะก็น่าจะเสียท่าเหมือนเดิม”
ดูถูกไม่ได้เลยล่ะ สมกับเป็นห้องอัศวินที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญาของห้องทฤษฎีและพลังของห้องปฎิบัติ
“แต่ก็มาไกลแล้วแหละ อุตส่าห์ได้ตั้งที่ 6”
ถึงจะมีที่ให้ไปต่อแค่ห้าคนก็ตามที แต่เคียวยะคือคนเดียวในสนามที่ฉายเดี่ยวแล้วมาไกลได้จนเกือบผ่านเข้ารอบ
เคียวยะพยุงร่างขึ้นและปัดฝุ่นออก ระหว่างที่จะเดินหนีจากสนามแข่งก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“เป็นถึงคณะกรรมการนักเรียนแท้ๆ! เคียวยะผู้สยบโจรกกน.แพ้อย่างหมดรูปเลยเว้ยเฮ้ย!”
“ไอ้หมอนั่นก็ไม่ได้ดูเก่งอะไรนี่ ..อ๊ะ คิดชื่อออกแล้ว–กระสอบทรายแห่งเรดฮอต ฉายานี้เท่ดีป่ะ”
“ก๊ากๆๆ! กระสอบทรายแห่งเรดฮอตเนี่ยนะ ตลกเป็นบ้า”
“โคตรเชย”
กลุ่มนักเรียนวัยรุ่นของวิทยาลัยเรดฮอตกลุ่มหนึ่งพากันหัวเราะเยาะเคียวยะ เจ้าพวกนั้นส่วนใหญ่คือพวกที่มีปัญหากับคณะกรรมการนักเรียนทุกเวลา ว่าง่ายๆก็ศัตรูโดยธรรมชาติของเคียวยะ เป็นเด็กเกเรประจำโรงเรียน
เพราะไม่สามารถทำอะไรเคียวยะได้เลยเอามาลงตอนเคียวยะแพ้ชาวบ้าน พูดเยาะเย้ยซะสนุกปากเลย
ซัดให้ล่วงสักคนดีมั้ยนะ?
ผมลุกขึ้นและตรงปรี่ไปหาพวกปากดีทั้งหลาย เจ้าพวกนั้นที่เห็นพบก็พากันสะดุ้งโหยง
“หะ เห้ย เรเซอร์มาว่ะ”
“ไอ้บ้าที่กล้าไปขโมยกางเกงในไอริสสินะ ..มีข่าวลือว่าพักหลังๆมันเป็นคนคุมพวกจิกโก๋ห้องปฎิบัติทั้งหมดด้วย”
“หมัดเหล็กกอรี่ก็เป็นลูกน้องมันไปด้วยล่ะเห็นว่า”
ข่าวลือไร้สาระทั้งนั้น ใครมันปล่อยมาฟร้ะ
ผมไม่สนใจคำพูดของพวกมัน เพียงครู่เดียวผมก็ยืนอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นเดียวกันกับพวกปากหมา อีกไม่นานผมจะอัดหมัดเข้าเบ้าหน้าพวกมันเรียงตัว—ทว่าเคียวยะกลับตะโกนห้ามไว้
“หยุดเลยไอ้เบื้อก!!!!”
เคียวยะแหกปากและชี้หน้าผม
“ฉันแพ้ จะพูดยังไงก็ตามใจ ..ถ้าพวกนั้นมันเก่งจริงมันไม่เอาแต่พูดหรอก แค่นี้แหละ”
ว่าจบเคียวยะก็เดินออกจากสนามไป ..ผมมองส่งเคียวยะ ก่อนตัดสินใจได้ว่าต้องลงไปดูอาการหน่อย
“พี่แองเจลิน่า ขอตัวก่อน”
“จ๊ะ”
ผมรีบวิ่งลงมาข้างล่างอัฒจันทร์เพื่อหาเคียวยะ
โชคยังดีที่เคียวยะเดินแบบเชื่อยๆทำให้ตามทัน ผมรีบวิ่งตามเคียวยะไปและพบว่ามันเข้าไปในตรอกซอยคนเดียว เห็นแล้วจึงรีบตามไป
แน่นอนเคียวยะที่มีดวงตามหาปราชญ์ย่อมจับสัมผัสของผมได้อยู่แล้ว
“..มีอะไร”
เคียวยยะยืนดักผมอยู่ในตรอก หมอนั่นไม่แม้แต่จะมองหน้าผม
“พยายามได้ดีแล้วน่า”
ดูฝืนสุดๆแต่ควรพูดละมั้ง ..
“ถ้าเป็นแกคงจะชนะได้ไม่ยากสินะ ต่อให้ไม่เอาจริงก็คงผ่านเรื่องที่ฉันผ่านไม่ได้ ..ทำไมกันนะ..ทำไมแกถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้นกัน–บ้าเอ้ย”
เคียวยะร้องไห้ออกมา หมอนั่นลงไปนั่งพิงกับกำแพงบ้าน
“แค่นี้ก็พอแล้ว ฉันจะไปตามแกทันได้ยังไงกัน ..ไม่ต้องพูดถึงตามทันเลย แค่เก่งพอจะเห็นแผ่นหลังของแกฉันยังทำไม่ได้เลย ทำไมฉันถึงอ่อนแอขนาดนี้กัน สภาพฉันตอนนี้สู้เรย์ไม่ไหวด้วยซ้ำ บางทีอาจจะแพ้ยูจิด้วยซ้ำ ..พลังแค่นี้ไม่มากพอจะซัดหน้าแกได้ แม้แต่หมัดเดียวก็ไม่ไหว”
..
“..ขี้โกงเป็นบ้า..ทำไมถึงได้ไปไกลตั้งขนาดนั้นกันฟร้ะ..ทำยังไงให้ไปถึงจุดนั้นได้กัน ไม่แฟร์เลยเบื้อกเอ้ย”
สภาพเคียวยะที่ร้องไห้อย่างหมดรูปไม่ได้เห็นมานานแล้ว ครั้งล่าสุดก็ช่วงแรกที่เปิดใจให้กัน ตอนที่เคียวยะถูกจับได้ว่าเป็นโจรขโมยกางเกง
เคียวยะผู้อ่อนแอและเปราะบางกลับมาให้เห็นอีกแล้ว
“ฉันคิดว่าอีกไม่นานจะตามแกได้ทัน ก็อย่างที่รู้ ฉันคนนี้มีดวงตามหาปราชญ์อยู่เลยนะเฟ้ย สุดยอดพลังที่หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งได้ ..แต่ถึงจะพยายามฝึกทั้งร่างกายและเวทมนตร์แบบเอาเป็นเอาตายแค่ไหน มันก็ยากจะขึ้นมาเทียบกับแก ..น่าสมเพชชะมัด มีพรสวรรค์ฟ้าประทานมากับตัวแท้ๆเชียว”
เคียวยะลุกขึ้นยืนปัดน้ำตาออกจากตาจนหมด และเชิดหน้าใส่ผม
ประโยคต่อไปที่จะพูดคือ–ต่อว่าผมละมั้ง
“ไม่มีข้ออ้างอะไรทั้งนั้น”
เคียวยะใช้สองมือตบหน้าตัวเอง
“สักวันฉันจะแกร่งกว่าแกให้ดู จำใส่กระโหลกไว้ซะ”
ขอถอนคำพูด ..เคียวยะที่อ่อนแอและเปราะบางน่ะไม่มีอีกแล้ว–ให้ได้แบบนี้สิ
ทำไมดูจะยึดติดกับความแข็งแกร่งจังนะเจ้าหมอนี่ เอาเถอะ
ผมเท้าสะเอวและทำทีเชิดหน้ายิ้มเหยาะเคียวยะ
“ก็เอาสิ คิดว่าตามทันก็ลองดู สิ่งที่นายเห็นไม่ใช่ทั้งหมดของฉันหรอกนะ”
“แน่นอน ฉันคนนี้นี่แหละที่จะทำให้แกหน้าจุ่มกับพื้น หึ..แค่คิดก็รู้สึกสนุกแล้วสิ เย็นนี้มาเป็นคู่ซ้อมให้ที”
อาจไม่ใช่ในปีสองปีนี้ แต่ไม่แน่อีกห้าปีต่อจากนี้ ผมน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้หรือเป้าหมายของเคียวยะอีกต่อไปแล้ว ก็โลกนี้น่ะแสนจะกว้างใหญ่ คนที่แข็งแกร่งกว่าผมไม่สามารถนับด้วยสองมือสองเท้าได้ มันมีมากกว่านั้น ทั้งผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้แสงสปอร์ตไลท์ที่มีชื่อกะช่องไปทั่วโลกหรือผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในเงามืดก็ดี
ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้แข็งแกร่งก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่ง ..ผมกล้ารับประกันเลยว่าสักวันเคียวยะจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งแน่นอน
ช่วงนี้ที่ผมยังชูหน้าชูตาเหนือกว่าเคียวยะได้เป็นเพราะความรู้ในโลกเก่าและการฝึกฝนตรงจุดตั้งแต่เด็ก ผมแค่รู้มากกว่าเท่านั้น ไม่นานเคียวยะจะดันตัวเองมารู้เท่ากับผมและไปได้ไกลกว่าก็ได้
แต่–จะถึงเวลานั้นตอนไหนไม่มีใครรู้ แม้แต่เคียวยะผู้ถือครองสุดยอดดวงตาเอาไว้ก็ไม่อาจมองได้
“ให้เตรียมหน่วยพยาบาลเผื่อไว้ม่ะ?”
หน่วยพยาบาลที่ว่าหมายถึงเบลลามีน่ะนะ ว่างๆพวกเราสามคนจะออกมาเล่น(หมายถึงใช้เวทย์ปล่อยหมัดซัดหน้ากัน) โดยที่มีผมกับเคียวยะเป็นตัวหลักแล้วมีเบลลามีเป็นคนคอยรักษาคนอื่น
“เอาสิ”
ผมโบกมือให้และกะจะเดินออกจากซอย แต่เคียวยะก็รั้งพูดไว้ก่อน
“อีกเรื่อง”
“ว่ามาเลย สหาย”
เคียวยะเขินนิดๆเมื่อถูกเรียกว่าสหาย แต่ก็เงียบไป เหมือนพูดอะไรไม่ออก
“..เก็บไว้บอกแกพร้อมๆกับเบลลามีละกัน ฉันคนนี้ไม่ชอบพูดซ้ำ”
“ครับ ครับ จริงๆก็พอเดาได้อะนะว่าจะพูดอะไร พวกซึนเดเระก็มีประโยคเฉพาะตัวอยู่เหมือนกันหมด”
“เงียบปากไปซะ”
ผมหัวเราะร่า ทางเคียวยะทำเป็นกอดอกเข้มขรึม
“มีเงินเท่าไหร่หนู”
มีเสียงเล็ดออกมาจากภายในตรอกซอย ผมและเคียวยะหันหน้าไปพร้อมกันและคิดอะไรเหมือนกันในทันที
พวกเรารีบก้าวเท้าตามเสียงไป เพราะถ้าให้อนุมานเอาง่ายๆคือมีคนกำลังโดนไถตังค์อยู่
เคียวยะคือคณะกรรมการนักเรียน ส่วนผมคือ..ประธานชมรมหนังสือพิมพ์อาจเจอสกู๊ปข่าวเด็ดๆก็เป็นได้ ประมาณว่า ‘ด้านมือของอาณาจักรฟัฟนิร์’ ไรงี้
เหมือนจุดเกิดเหตุจะอยู่ซอยด้านซ้ายในตรอก พวกเราเริ่มจากแอบมุมมองก่อน
“..เด็กเรอะ”
เคียวยะเผลอหลุดออกมาเมื่อเห็นรูปลักษณ์คร่าวๆของเหยื่อที่ส่วนสูงพอกันกับเด็กอายุ 10-12 ขวบ
เด็กน้อยแต่งตัวค่อนข้างปกปิดตัวตน เขาสวมผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนขนาดเกินตัวจนปิดร่างแทบจะมิด จะมีแค่เส้นผมสีดำปนขาวที่หลุดออกมาเท่านั้น
“..สีผมน่าสงสัยมาก”
ผมสีขาวสลับดำเนี่ยนะ? บนโลกเรามีคนที่มีเส้นผมแบบนี้ด้วยรึ ไม่สิ อาจจะย้อมมาก็ได้อย่าไปคิดมากเลย
“ไปล่ะ ถ้าพวกมันคิดจะหนีฝากดักด้วย”
“อ่า”
เคียวยะเดินเข้าไปกลางวงกลุ่มนักเลงโดยไม่หวั่นเกรง พวกนักเลงที่เห็นเคียวยะมาพากันแยกเขี้ยวใส่
“มีอะไรหา?”
“อย่ามาไถตังค์ในฐิ่นของฉัน”
นั่นใช่คำพูดของคณะกรรมการนักเรียนมั้ยครับคุณเคียวยะ ..
“หา?? ใช่ถิ่นแกที่ไหนฟร้—พร๊วก!!!”
เคียวยะไม่รีรอซัดหน้าหัวโจกลงไปกองกับพื้นในหนึ่งหมัด จากนั้นเขาก็ใช้อีกหมัดเสยคางของคนที่ตัวสูงที่สุดจนไปนอนดิ้น
พวกนักเลงมีกันสามคน คนสุดท้ายรนรานพุ่งมาเหวี่ยงหมัดใส่ แน่นอนว่าช้ามากจนเคียวยะเอียงคอหลบง่ายๆและศอกใส่หนึ่งจังหวะ
แค่สามจังหวะปะทะนักเลงก็พากันหมดสภาพต่อสู้
“ตามมา”
“..คือ”
“ตามมาก่อนค่อยคุย”
เด็กปริศนาพยักหน้ายอมรับและเดินตามเคียวยะ ผมตามท้ายออกจากตรอกซอย
เมื่อออกมาแล้วเคียวยะก็หยุดเดิน และหันไปคุยต่อ
“มีอะไรจะพูด”
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กสาวปริศนาโค้งศรีษะเล็กน้อย
“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ..ทีหลังอย่าเดินในตรอกคนเดียวด้วย รู้ไว้แต่เด็กก็ดีว่าอาณาจักรฟัฟนิร์มันบ้านป่าเมืองเถื่อน ถ้าเดินพลาดนิดเดียวถึงตายได้”
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะค่ะ พี่ชาย”
“พี่เรอะ ..อายุเท่าไหร่แล้ว”
“1000 ปีค่ะ”
“หา!?”
จังหวะที่เคียวยะขึ้นเสียงนั้นเองก็มีเสียงท้องร้องจากเด็กสาวปริศนาแทรกเข้ามา เคียวยะได้ยินก็ถึงกับเกาหัว
ทางเด็กสาวดูจะเขินหน่อยๆ
“ไปกินข้าวหน่อยเป็นไง เดี่ยวพี่เลี้ยงเอง”
ผมออกตัวจะเลี้ยง เพราะรู้สึกตะหงิดใจชอบกล ..
“รวยจริงนะแก”
“นิดหน่อยเอง จะเป็นไรไป ว่าไงล่ะสนใจมั้ย”
“..ค่ะ”
เด็กสาวปริศนามองสลับระหว่างผมกับเคียวยะ ก่อนจบท้ายด้วยการก้มศรีษะให้อีกครั้ง
“ขอบพระคุณมากคะ”
“เป็นอันตกลงนะ เดี่ยวเลี้ยงนายด้วยละกันเคียวยะ”
“ตามใจเถอะ”
เคียวยะกอดอกและเหมือนจะนึกอะไรออก
“จะว่าไป ชื่ออะไร”
เด็กสาวมองซ้ายขวาสลับไปมาอีกครั้ง
“หมายถึงแกนั่นแหละ”
“อย่าพูดแทนอีกฝ่ายว่า ‘แก’ สิเคียวยะ กับคนสนิทน่ะได้อยู่แต่นี่เด็กแปลกหน้านา …เอาเถอะ”
“เมอันค่ะ ..เมอัน ดราโกคือชื่อของฉันค่ะ”
ในเวลานั้นพวกผมยังไม่รู้ถึงตัวจริงของเมอัน ..พวกผมไม่รู้เลยว่าในอนาคตเธอจะเป็นหนึ่งในตัวปัญหา