เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 73: เริ่มงานเทศกาลโลหิตมังกรของจริง

< < 62 > >

พวกเราย้ายจุดพูดคุยมาที่ร้านอาหารชครอบครัวแทน โดยที่ผมและเคียวยะจะนั่งฝั่งเดียวกัน ส่วนเด็กสาวปริศนานาม เมอัน ดราโก เธอนั่งอยู่ตรงข้าม เพื่อให้ง่ายต่อการพูดคุยต่อจากนี้ด้วยน่ะนะ

ผมและเคียวยะเฝ้าดูเมอันเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยมั้ยจ๊ะ”

“อร่อยที่สุดในรอบ 500 ปีเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”

รอบ 500 ปีเรอะ จะว่าไปตอนบอกอายุก็บอกว่าตัวเองอายุตั้ง 1000 ปี มันยังไงกันแน่นะเด็กคนนี้ มีกลิ่นอายน่าสงสัยติดตามตัวไปหมดเลย

“พวกพี่ชายไม่กินเหรอ?”

“ฉันคนนี้ไม่ชอบยืมตังค์คนอื่นจึงเลือกไม่ขอกิน” เคียวยะพูด

“ทางพี่พึ่งกินข้าวไปไม่นานนี้เอง เชิญหนูกินได้สบายเลยนะ”

ผมยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เมอัน

“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่สิ่งนี้คืออะไรเหรอคะ?”

เธอชี้ไปที่พิซซ่าหน้าซีฟู้ด

“พิซซ่าน่ะ อาหารที่อร่อยที่สุด”

ตามรสนิยมของผมนะ

“..สุดยอด”

“เอาสักถาดมั้ย?”

“จะดีเหรอค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เดี่ยวๆ ยังไม่ทันได้ตอบเลยนะหนู

แต่จะไปห้ามทั้งๆที่ถามแบบกึ่งให้แล้วก็ดูไม่ดีด้วย

“อืม เอาสิ”

“ขอบพระคุณมากค่ะพี่ชายทั้งสอง”

เธอโค้งศรีษะให้และกดกริ่งเรียกพนักงาน

พวกผมเฝ้าดูเด็กน้อยตัวนิดเดียวกินอาหารทุกชนิดในร้าน จนถ้ามานั่งนับยอดแล้วน่าจะเกินหลักหมื่นอิกดราซิลไปแล้ว …

“ไม่เป็นไร ฉันรวย บ้านฉันรวย”

ผมบ่นพึมพำอย่างสิ้นหวัง เพราะค่าถุงมือเวทมนตร์ที่ซื้อมาคราวก่อนยังผ่อนไม่หมดเลย เงินที่ใช้เลี้ยงเด็กก็เป็นจำนวนเกือบทั้งหมดของผมอีก

ทำไมกินจุจังนะเด็กคนนี้

“ตัวแค่นี้ ยัดไปอีท่าไหนกัน น่าจับชำแหละดูชะมัด”

“ถ้าต้องการหนูก็ยอมนะค่ะพี่ชาย”

“พูดเป็นเล่น”

เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมที่หมดตูดพยายามเรียกสติกลับมา และเริ่มสอบถามที่มาที่ไปของเด็กตรงหน้า

“หนูหลงทางเหรอ”

“ใช่ค่ะ คิดว่าน่าจะหลงทาง”

“คิดว่าสินะ ..รู้ตัวว่าหลงกับคุณพ่อคุณแม่ตอนไหนล่ะ”

“หนูมีแค่พ่อค่ะไม่มีแม่”

..โลกนี้เด็กไร้พ่อไม่ก็แม่ค่อนข้างเยอะเลย โดยเฉพาะคนที่ฐานะยากจน เวลามีลูกมักจะเอาลูกไปทิ้งไว้ตามสถานเลี้ยงเด็กหรือแถวๆกองขยะประจำ กรณีของเธอคงจะมีแค่ฝ่ายพ่อที่เลี้ยงละมั้ง

“โทษทีนะ”

“ผลัดหลงกับใครล่ะ”

เคียวยะถามต่อจากผม 

“พี่ชาวและพี่สาวที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ”

แปลว่าไม่ได้มากับพ่อที่ว่า แล้วพ่อที่ว่าน่าจะหมายถึงคุณพ่อบาทหลวงประจำสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากระมัง

“ให้พาไปส่งมั้ย เดี่ยวช่วยกระจายเสียงเรียกคุณพ่อให้”

“ไม่เอาคุณพ่อ”

“ถ้านั้นพี่ชายกับพี่สาว”

“ได้ค่ะ”

“อีกเรื่อง ทำไมถึงไม่เอาคุณพ่อกัน”

เคียวยะถามต่อ เขาเป็นคนที่ไร้ความเกรงใจแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ถามตรงๆก็ดี ถ้าเกิดคุณพ่อที่เป็นบาทหลวงของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสักที่ทำผิดขึ้นมาก็สามารถร้องเอาผิดได้ 

ถ้าเกิดสถานการณ์มันไปในเชิงถูกพ่อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาเปรียบหรือกดขี่ขึ้นมา ทั้งผมและเคียวยะคงจะเร่งเอาเรื่องทันที

เหลือแค่รับฟังหลักฐานจากปากของเมอันเท่านั้น

“..คุณพ่อน่ะไม่เห็นหนูเป็นมนุษย์ สำหรับเขาหนูเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ..เขาน่ะทั้งน่ากลัวและใจร้าย ชอบตบตีทำร้ายพวกเราพี่น้องตลอด เป็นคุณพ่อที่ใจร้าย เพราะอย่างนั้นเกิดรู้ว่าหนูลงทางมา หนูได้ตายแน่”

แบบนี้นี่เอง

ทั้งคุณพ่อและตัวเมอันเต็มไปด้วยความน่าสงสัย

ขอยืมพลังหน่อยนะ..ยูนา

‘รับทราบค่ะมาสเตอร์’

จังหวะที่ผมจะใช้งายูนานั้นเอง—เมอันก็เกิดตัวสั่น เธอส่งสายตาล่อกแล่กและเกิดอาการหายใจไม่สะดวก ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย

พอรู้ว่าร่างกายเธอกำลังอันตรายเพราะยูนา ผมก็รีบปิดการใช้งานพลัง เมอันจึงได้สติและลุกขึ้นยืน

“ขะ..หนูขอตัวก่อนนะ”

เมอันรีบเดินออกจากโต๊ะ แต่เคียวยะก็รีบวิ่งตามไปดึงปลายเสื้อโค้ทไว้ได้ และนั่นก็..ทำให้เห็นโฉมหน้าของเมอัน

ฮูดโทรมๆหลุดออกจากศรีษะเผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวผู้เลอโฉม ดวงตาสีขี้เถ้า และเส้นผมสีขาวปลายดำ ยิ่งไปกว่านั้นปลายหูของเธอแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป-เพราะรูปร่างของหูนั้นคือหูของ ‘เอลฟ์’ เผ่าพันธ์สุดแฟนตาซีที่ควรจะสูญพันธ์ไปนานแล้ว

‘..ในยุคของฉันพวกเอลฟ์ก็เป็นเผ่าที่ใกล้จะสูญพันธ์แล้วนะคะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสมัยนี้จะยังเหลืออยู่”

ภูติแห่งพงไพร หรือเอลฟ์ บนโลกใบนี้ถูกบันทึกไว้ในฐานะพวกเผ่าที่มีปริมาณมานมานามากที่สุดอันดับต้นๆของโลกเลย ไม่รู้ว่าเท่าไหร่กันเชียว แต่ยูนาเคยเล่าให้ผมฟังว่าเอลฟ์มานาเยอะกว่ายูนาตั้งสิบเท่า ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเมอันคนนั้นมานาอาจจะเยอะกว่าผมด้วยเหมือนกัน ..

ว่าแล้วเชียวว่าน่าสงสัย น่าสงสัยยิ่งกว่านั้นก็คนที่เป็นพ่อของเด็กคนนี้นี่แหละ

..ทำไมในนิยายไม่มีอีเว้นต์เจอกับเอลฟ์แบบนี้บ้างกันฟร้ะ พับผ่าสิไอ้คนเขียน

ผมยังคุมสติได้บ้าง แต่เคียวยะตอนนี้ดูจะอึ้งกว่าผมมาก

“..เอลฟ์..เอลฟ์เนี่ยนะ?”

สิ้นสุดคำพูดของเคียวยะผู้คนภายในร้านพากันจับจ้องมาทางเมอัน ..เมอันรีบสวมฮูดกลับคืน

“..ขอโทษที่ทำให้เป็นจุดสนใจนะคะ อาหารอร่อยมากคะ จะไม่รีบบุญคุญเลยคะ ขอบคุณ”

กล่าวจบเมอันก็รีบวิ่งออกจากร้านไป

“เดี่ยวสิ!”

เคียวยะวิ่งตามเมอันไปติดๆ ..ทางผมเองก็ต้องรีบควักตังค์มาจ่ายแล้วตามไป ..

ผมล้วงกระเป๋าตัวเองและไม่พบเงินสักแดงเดียว เป็นเช่นนี้จึงอนุมานได้ว่าซวยชิบ

พี่พนักงานเล่ห์มองผมมาเป็นระยะๆ—ปัดโธ่เอ้ย ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ!?

ผมจำใจปล่อยให้เคียวยะตามเมอันไปคนเดียว

 

****

เคียวยะวิ่งตามเมอันได้ทัน และเอื้อมมือหวังจะคว้าแขนของเธอไว้ ทว่า—มือของเคียวยะได้ถูกปัดออกด้วยมือของบุคคลปริศนา

ตรงหน้ามีเด็กสวมฮูดสองคนมาขวางเคียวยะไว้ ทำให้เขาต้องหยุดกระทันหัน

“..พี่”

เมอันเอ่ยขึ้น เคียวยะจึงรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นพี่ชายและพี่สาวที่ว่าไว้ แต่ดูๆแล้วน่าจะอายุพอกันกับเมอัน อาจจะโตกว่าแค่ปีสองปีเท่านั้น

ว่าโดยง่ายตรงหน้าเคียวยะมีแต่เด็กอายุไม่เกินสิบสองปีตามสรีระร่างกาย

“เจอพร้อมหน้ากันก็ดีเลย จะบอกให้นะว่าพวกแกน่ะโดนไอ้พ่อที่ว่ากดขี่อยู่”

เคียวยะพูดเปิดตรงๆ

“ฉันกับไอ้บ้าเมื่อกี้จะช่วยพวกแกเอง แค่ยอมมาด้วยกันจะช่วยจัดหาบ้านที่ดีกว่าที่เก่าให้”

“พี่ชายไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราพี่น้องสักหน่อย”

เด็กหนุ่มสวมฮูดพึมพำออกมา เขาออกตัวมาพูดแทนน้องสาวตนเอง

“มันเป็นหน้าที่ในคณะกรรมการนักเรียน ต่อให้เป็นในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน สิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมจักต้องถูกแก้ไขให้ถูกต้อง–มันหน้าที่ของฉัน”

“คนที่ไม่ได้รู้อะไรเลยแบบพี่ชายน่ะเหรอ?”

“..ก็ได้ ถ้าอยากให้รู้นักล่ะก็—เอ๊ะ”

เคียวยะกำลังจะใช้ดวงตามหาปราชญ์หยั่งลึกลงไปในความทรงจำของสามพี่น้องตรงหน้า แต่มันได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ …คนเดียวที่สามารถขัดขวางการมองของเคียวยะได้มีแค่เรเซอร์ 

ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่ได้มันต่างกับคราวของเรเซอร์ ตอนเรเซอร์จะเห็นเป็นภาพสีดำเมื่อพยายามจะมอง แต่คราวนี้ดวงตาได้ถูกแช่แข็งเอาไว้

“ดวงตามหาปราชญ์สินะคะ ..ไม่ได้เห็นเสียตั้งนาน”

เด็กสาวสวมฮูดอีกคนเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เธอเป็นผู้ที่ทำให้ดวงตามหาปราชญ์ถูกแช่แข็งไว้

“..พวกแกไม่ใช่เด็กธรรมดาสินะ”

เคียวยะตั้งท่าพร้อมสู้ แม้จะไม่สามารถวินิจฉัยศัตรูได้แล้วก็ตามที แต่ดวงตามหาปราชญ์นั้นสามารถวิเคราะห์จุดอื่นที่ไม่ใช่ตัวของศัตรูได้ดั่งเดิม กระนั้นแล้วอีกฝั่งไม่มีทีท่าว่าจะสู้ด้วยเลย แล้วก็ไม่ได้ระแวงอะไรเคียวยะเลยสักนิด

เคียวยะถูกทำเหมือนว่าไม่ใช่ตัวปัญหาอะไร 

“เห้ย อย่ามาเมินกันนะเฟ้ย!”

“อย่าแซ่หาเรื่องไม่เข้าท่าเลยผู้ถูกเลือก”

“หา? จะบอกว่าถ้าสู้กันแล้วฉันคนนี้จะแพ้สินะ ..สวยเซ้ มาลองดูสักตั้ง!”

“ไม่จำเป็นครับ”

หนุ่มหล่อมาดเกาหลีเข้าร่วมวงสนทนา ทันทีที่ชายคนนี้โผล่เด็กชายสวมฮูดก็ถุยน้ำลายลงพื้นพร้อมกันกับเด็กสาวสองคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาทันที .. ‘เรน’ ได้ปรากฏตัวแล้ว

“แกคือ?”

“ผู้ปกครองของเด็กๆครับผม”

“พ่อที่พูดถึงสินะ ดีเลย คนอย่างแกมาให้ซัดหน้าถึงที่เนี่ยต้องขอบคุณอย่างสูงเว้ย!”

“ซัดหน้าผม? เรื่องตลกอะไรกันครับนั่น คุณกับผมน่ะต้องร่วมมือกันไม่ใช่หรือไงครับ”

‘หา?’ เคียวยะทำน้ำเสียงหงุดหงิดใส่ 

“พวกเรามีชะตากันร่วมกันครับผม”

“อย่ามาพูดบ้าๆ”

“…เอ๋ แปลกไปนะ”

“ฉันไม่มีทางไปร่วมมือกับเศษสวะอย่างแกหรอก”

ได้ยินอย่างนั้นเรนก็ถึงกับหน้าเสีย เขาถูคางครุ่นคิดกับตัวเอง ..แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาคำตอบไม่พบ เรนเลยถอนหายใจออกมา

“..เป็นความผิดของแกสินะเมอัน”

พูดจบเรนได้ตบหน้าเมอันหนึ่งที …

“เพราะยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยทำให้วัตถุดิบชั้นยอดอย่างไอ้โง่นั่นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา-คิดว่าทางเราสูญเสียแค่ไหนกัน ไอ้เด็กเปรตไร้ประโยชน์นี่!”

เรนตบหน้าเมอันอีกหนึ่งทีตามด้วยการตบหัวและเตะจนล้ม ทางเมอันหรือพี่น้องไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ..เคียวยะกัดฟันกรามจนเกิดเสียงเสียดสีกัน

“เห้ย!!”

“ผิดแผนไปหน่อยก็จริง แต่สักวันพวกเราจะต้องได้มาร่วมมือกันแน่นอน หวังว่านะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีทางน่ะที่จะร่วมมือกับแก!”

“คนกำหนดไม่ใช่คุณ–แต่เป็นผมต่างหาก”

เรนแสยะยิ้ม พร้อมกันนั้นออร่าน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมาจนทำให้พื้นที่โดยรอยกลายเป็นน้ำแข็ง

“เอาละครับ มาเริ่มงานเทศกาลโลหิตมังกรจริงๆดีกว่า ..ทำประโยชน์ให้มากเพื่อท่านจอมมารที่รักละ อาร์คเดม่อนหน้าโง่ทั้งหลายเอ๋ย”

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น—บนท้องฟ้ามีอาร์คเดม่อนนับสิบตัวบินผ่าอากาศไป

 

****

ตึกๆ! ตึกๆ! ตึกๆ! ..เสียงเท้าดังสนั่นทุกย่อมก้าว

ในห้องสำหรับแลกเปลี่ยนหัวข้อวิจัยของสายทฤษฎีนั้นยังงวยงงกับเสียงฝีเท้าอันมากมายที่ดังสะเทือนตึก 

“เสียงอะไรน่ะ”

เบลลามีพึมพำขึ้นมาพร้อมกับยูจิที่ลุกขึ้นกะจะเดินไปเปิดประตูดู ทว่าประตูเลื่อนได้กางออกก่อน

“คะ..คุณการ์ป?”

ผู้ที่มาเยือนในห้วงเวลาปริศนานี้คือการ์ปที่หายตัวไปจากโรงเรียนนับสองเดือน เขากลับมาในชุดนักเรียนดั่งเดิม

“ว่าไง ไม่เจอกันซะตั้งนาน”

“ท่านยูจิรบกวนถอยไปเดี่ยวนี้เลยครับ”

ลูซี่ที่นั่งอยู่กับเบลลามีเอ่ยคำเตือนขึ้นมา เขาเขม็งใส่ผู้มาเยือนอย่างการ์ป

“..แกมัน..หรือว่า..ไม่สิ เป็นไปไม่ได้”

การ์ปดูจะตกใจตัวลูซี่เล็กน้อย แต่แค่ชั่วเดียวเขาก็สลัดความคาใจไปและกลับมายิ้มอย่างพยองพลางชวนยูจิคุยด้วยต่อ

“ต้องขอบคุณนายมากเลยที่สั่งสอนฉันอย่างดีในงานเทศกาลสานสัมพันธ์ เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมสุดๆไปเลยล่ะ”

“..ไม่หรอกครับ มันไม่ใช่การต่อสู้ที่แฟร์เลย …เพราะทางผมช่วงหนึ่งเหมือนจะไม่ใช่ตัวของตัวเองด้วย ..ผมไม่นับว่าเป็นชัยชนะหรอก”

ได้ยินอย่างนั้นการ์ปก็พลันหัวเราะร่าออกมา ยูจิเห็นเลยก็ผลอยยิ้มตามไปด้วย

“ฮ่าๆๆๆ ก็ดี ดีเลยแหละ ฝั่งนายเล่นขี้โกงใช้วิญญาณระดับเทพอยู่คนเดียวนี่นะ ฉันจะแพ้ก็ไม่แปลก..ใช่ ปกติถ้าแฟร์ๆฉันไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว”

..อากาศกำลังสั่น

การ์ปยกแขนขึ้นมา จังหวะการสั่นสะเทือนของพื้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ จนไม่ว่าใครก็คิดเองได้ว่า–แย่แล้ว

“เพราะไม่แฟร์นี่แหละ!! พวกเราเลยต้องมีรีแมตซ์อีกรอบไงล่ะ ยูจิ!”

การ์ปพุ่งไปหวังจะซัดหน้ายูจิให้เยินในคราเดียว ทว่าความตั้งใจก็ถูกสะกัดไว้ได้โดยลูซี่

“ท่านผู้ใช้วิญญาณระดับเทพรึครับ ยังไงก็แล้วแต่—-”

..ลูซี่หายไปจากระยะสายตาแล้ว

เพียงพริบตาเดียวร่างของลูซี่ก็พุ่งหายไปอย่างกับโดนอะไรบางอย่างดึงและโยนออก จนเกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นบนกำแพง

ทุกคนในที่แห่งนี้ได้แต่มองตาค้างกับเรื่องเหนือธรรมชาติ

“..ถ้าฆ่าไอ้เวรตรงหน้าได้ ฉันจะยอมให้แกไปนัวเนียกับพวกผู้หญิงค้าบริการให้สมใจเลยล่ะ–ไอน์”

การ์ปเอ่ยนามของคู่หัวตัวเอง ไม่สิ พูดให้ถูกในมุมมองของการ์ปคือทาสมากกว่า

“เข้าใจแล้วก็จงทำตามที่สั่งซะ ไอ้แก่วิตถาร..” การ์ปถอดถุงมือออกและปาใส่หน้ายูจิ “ขอท้าดวลอีกครั้ง คนที่แพ้จักต้องตาย–ตามนี้!!!!!”

ยูจิคว้าถุงมือของการ์ปขึ้นมาและกำมันไว้บนอก

“..คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง ตกลงมั้ยครับ”

“แกไม่มีสิทธิ์มาต่อรองเฟ้ย!! ทั้งแกและเพื่อนของแกทุกคน ฉันจะฆ่าทิ้งให้เหี้ยนเลยคอยดู”

“เข้าใจแล้วครับ ..มีแต่ต้องชนะสินะ”

ยูจิลุกขึ้นและตั้งท่าร่ายเวทย์ การ์ปเห็นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและเริ่มการต่อสู้โดยการ–ส่งยูจิลงไปนอนกับพื้นในพริบตาเดียว

“เรียกมาซะสิ วิญญาณระดับเทพน่ะ!!”

การต่อสู้อีกครั้งของทั้งสองได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

****

“..อากาศแยกออกจากกัน..อาร์คเดม่อนมาแล้วสินะ”

ตัวเมืองได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งท้องฟ้าที่มีคลื่นลมเหมือนตัวอะไรบินผ่านมา หรือตัวเมืองที่มีไอหิมะ หรือเสียงระเบิดโดยรอบ ..ทั้งหมดบ่งบอกถึงภัยพิบัติที่อาณาจักรฟัฟนิร์กำลังเผชิญ ซึ่งคือหนึ่งในเรื่องราวที่ผมคาดไว้อยู่แล้ว

“เร็วกว่าในนิยายต้นฉบับอีก แต่ก็เอาเถอะ ..เอาละนะ ยูนา”

อากาศรอบตัวสั่นไหว พร้อมกับรอยกระจกแตกที่เกิดขึ้นโดยรอบ

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset