บทที่ 4 นางร้ายกับความฝัน
ฉันทิ้งตัวเองดิ่งลงในความมืดใต้หุบเหวลึกไร้ก้นนี้.. ก็อย่างที่ฉันคาดไว้ดูเหมือนจะไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ ด้วย.. จากบทความในโลกเดิมของฉัน
การตกจากที่สูงจะทำให้ผู้ฝันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง เหมือนกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเอาตัวรอดเพราะว่าการตกจากที่สูงคืออันตรายรูปแบบหนึ่ง
พูดง่ายๆ ภัยลักษณะที่จะทำให้คนคนหนึ่งตื่นจากฝันต้องเป็นภัยที่ถึงแก่ชีวิต และแน่นอนว่าการตกจากที่สูงก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
แต่ดูเหมือนตอนที่ฉันกำลังร่วงด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ ฉันก็รู้ว่านี่คือโลกความเป็นจริงอย่างแน่นอน
อันที่จริงความเจ็บปวดจากการถูกเตะมันก็ชัดเจนแล้วแหละนะ เพราะแบบนั้นหากฉันตายตอนนี้ก็คือตายจริงๆ แน่
ถึงยังจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ในโลกนี้.. หรือมาอยู่ได้ยังไงก็ตาม..
แต่ตอนนี้ฉันทีเวลาคิดเรื่องแบบนั้นที่ไหน ฉันหันหน้าลงไปในหุบเหว ตอนนี้แสงส่องมาไม่ถึงเบื้องลึกนี้แล้วทุกอย่างมันมืดมัวไปจนหมด
ในโลกนี้มีเวทมนตร์.. ใช่แล้ว ฉันต้องใช้เวทมนตร์ แต่ยังไงล่ะฉันตอนนี้กำลังร่วงด้วยความเร็วสูงต่อให้ฉันใช้เวทมนตร์ลมแรงกว่าก่อนหน้าได้
มันก็คงหยุดแรงเฉื่อยไม่ได้อยู่ดี
แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ไม่ได้แค่คิดว่าทำไมได้ มือฉันยกขึ้นพร้อมกับใช้ความรู้เดิมแบบว่าเครื่องจักรทำให้มีลม จนมีลมพัดขึ้นมาใส่หน้าฉัน
แต่ว่ามันก็ไม่พอ..
ความกระวนกระวายเริ่มตีย้อนกลับเข้ามาในหัวของฉัน ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า
“ทำไงดี.. ทำไงดี..”
“เวทมนตร์ในโลกนี้.. ต้องใช้หลักการ.. หลักการอะไรล่ะ .. บ้าเอ๊ย รู้แบบนี้น่าจะตั้งใจเรียนวิชาฟิสิกส์มาก็ดีหรอก”
ฉันตะโกนด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไม่ใส่ใจเรียน และห่างไปไม่มากตรงหน้าฉัน..ฉันก็มองเห็นพื้นก้นเหวแล้ว
ที่ฉันมองเห็นเพราะก้นเหวมันมีแอ่งน้ำที่น่าจะเกิดจากฝนตกลงมาจนกักเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่พอท่วมเท้าได้นิดหน่อยนั้น
ฉันถึงกับเหงื่อแตก.. นึกให้ออกสิตัวฉัน! คิดว่าตัวเองสามารถใช้อะไรได้บ้างในการหลบหนีอะไรก็ได้..
แต่ในตอนนั้นเองสมองของฉันก็เหมือนมีบางอย่างลอยผุดขึ้นมา ไม่มีเวลามานั่งวิเคราะห์ว่ามันจะได้หรือไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพราะถ้าไม่ได้ฉันตาย!
ถ้าได้ฉันรอด!
แค่นั้นแหละ.. ฉันพยายามจะใช้ทฤษฎีตามที่คิดขึ้นมาในตอนแรกวินาทีนั้นเองพื้นที่รอยด้านเริ่มบิดโค้งราวกับภาพวาดที่ถูกยืดออก
หลุมปริศนาบางอย่างก็พลันปรากฏขึ้น ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือฉากต่างๆ ในมุมมองของฉันต่างบิดงอโค้งไปทางหลุมสีดำ
อันที่จริงมองยังไงมันก็เป็นหลุมดำขนาดจิ๋วนั่นแหละ แต่ฉันไม่มีเวลามาสังเกตลักษณะของมันหรอก เพราะทันทีที่มันปรากฏขึ้น
ร่างของฉันก็พุ่งผ่านมันไป แรงเฉื่อย ความเร็ว.. ทุกอย่างล้วนถูกบิดโค้งงอให้ยืดออกจนราวกับว่าร่างกายของฉันสูญเสียความเร็วทุกอย่างไป
ตอนนี้ฉันไม่ได้เคลื่อนที่จากแกน X ไปแกน Y อีกต่อไป.. แต่เป็นกระโดดข้ามจาก X ไป Y โดยไม่ใช้ทั้งความเร่ง ความเร็วหรือแม้แต่ระยะทาง
เพราะในพริบตาเดียวกันฉันก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนพื้นของหุบเหวที่เป็นแอ่งน้ำจนดัง ‘ตุบ’ อย่างรุนแรง
ก่อนที่ฉันจะทันได้ทำอะไร สติของฉันก็พร่าเลือนลง ร่างกายรู้สึกด้านชาไปจนหมดแถมแขนก็รู้สึกด้านชาไปจนหมดเหมือนกับว่าฉันไม่มีแขน
ฉันไม่มีสติพอที่จะพินิจอะไรทั้งสิ้น.. ทุกอย่างในสายตามันค่อยๆ มืดดับลงไปอย่างรวดเร็ว..
……….
ดวงตาของฉันลืมขึ้นมาอีกครั้งในโลกที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในหุบเหวลึกอีกต่อไปแต่อยู่ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยเมืองที่มีชีวิตชีวา
แต่ไม่ใช่เมืองที่ทำมาจากหินอ่อน อิฐ ปูนแต่อย่างใด บ้านเรือนถูกสร้างมาด้วยหินหนักเหมือนกับบ้านยุคกลางสมัยหลายร้อยปีก่อน
ฉันก้มมองตัวเอง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีร่างกายที่เหมือนเด็กอีกต่อไป ฉันมีร่างกายที่โตเป็นผู้ใหญ่โตเต็มไว
ผมสีดำยาวไปจนถึงกลางหลัง ใบหน้ามีรอยขีดข่วนที่เป็นแผลเป็น ซึ่งฉันพนันได้เลยว่าตัวฉันในตอนนี้หน้าตาน่ากลัวสำหรับเด็กเลยยังได้
ผสมกับบุคลิกของฉันที่ผมด้านหน้ายาวจนแทบปิดดวงตาทำ กับฉันที่ยืนก้มหน้าจนทำให้ฉันดูเหมือนพวกเด็กเนิร์ดเลยล่ะ
ก็แหงแหละ เพราะฉันเป็นแบบนั้น.. สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ
“ฝันงั้นเหรอ.. ตอนนั้น”
ฉันพึมพำกับตัวเอง เพราะว่านี่คือใบหน้าของฉันในโลกเดิมอย่างแน่นอน.. ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร
เพราะลืมไปแล้ว.. ว่าโลกก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง.. แต่ในตอนนั้นเองก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉัน
เธอชี้นิ้วไปทางหนึ่งของเมือง.. ฉันไม่แน่ใจนักว่าเธอมีหน้าตายังไงแต่เธอมีผมสีแดงเป็นเอกลักษณ์
เธอชี้นิ้วไปทางหนึ่งโดยไม่กล่าวอะไร ฉันก็หันไปมองตามที่นิ้วนั้นชี้ไป ภาพในเมืองตรงหน้าก็พร่าเลือนและกลายเป็นห้องเล็กๆ แห่งหนึ่ง
มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เธออายุเพียงหกขวบเท่านั้นแต่เวลากลางดึกขนาดนี้เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้
เธอกำดินสอสีด้วยมือทั้งข้างและวาดๆ เขียนๆ บางอย่างลงไปในกระดาษ เป็นภาพของเด็กคนหนึ่งที่มีพ่อและแม่อยู่ข้างๆ
แม้หน้าตาพ่อจะดูเหมือนเหมือนคนธรรมดาก็จริง แต่คุณแม่เหมือนจะมีหูที่ยาวออกมา แม้ภาพมันจะไม่ละเอียดแต่มันก็ยังพอดูออก
“เสร็จแล้ว”
“สุดยอดไปเลยค่ะคุณหนู”
คุณเมดคนหนึ่งที่นั่งยืนกล่อมให้เธอนอนได้แล้วอยู่ข้างๆ แต่เด็กสาวไม่ยอมนอนสักทีพอเห็นเธอทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จก็ช่วยปรบมือให้
คุณเมดสวมชุดเมดกระโปรงยาวไปจนเลยขาเข่าไปมาก ผมยาวสีขาวของเธอนั้นถูกมัดรวมให้ดูไม่เกะกะ
“ข้าจะเอาไปให้ท่านพ่อดู”
“เอ้ะ.. ไม่ได้นะคะ แบบนั้น…”
แต่คุณหนูตัวน้อยกลับไม่ฟังเมดที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยด้วยซ้ำ เด็กน้อยวิ่งออกนอกห้องไปด้วยความเร็วสูง
ภาพทุกอย่างก็ตัดไปอีกครั้ง… เด็กน้อยคนนั้นกำลังยืนมองภาพตรงหน้าเหมือนกับโลกของเธอพังทลาย
ผู้เป็นบิดาโยนกระดาษแผ่นนั้นของเด็กน้อยทิ้ง.. ราวกับเป็นเศษขยะไร้ค่า
“อนาสตาเซีย ข้าบอกแล้วใช่ไหมให้ตั้งใจเรียนหนังสือและเรียนมารยาท เจ้ามีเวลาว่างพอที่จะไปหัดวาดรูปไร้สาระพรรค์ทำไมไม่เอาเวลาไปเรียนมารยาท?”
“แต่ว่า.. ท่านพ่อ… คุณเมด..สอน”
“คริสติน่าอีกแล้วงั้นเหรอ อุตส่าห์จ้างมาช่วยทำงานเพราะเห็นว่าแม่ป่วย แต่ดันมาเพิ่มภาระให้ซะได้.. เจ้าเองก็ไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องไปฝึกพบปะกับชนชั้นสูงไม่ใช่หรือไง”
“……”
เด็กหญิงหยิบกระดาษที่บิดาขยำทิ้งขึ้นมา..
“ค่ะ”
เธอเดินออกจากห้องนั้นมาด้วยสีหน้าที่ไร้ชีวิตชีวา.. ราวกับว่าบนโลกใบนี้เหลือเพียงเธอคนเดียว
หลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไป… กลายเป็นโลกสีขาวที่ไม่เหลืออะไรเลย สิ่งที่ฉันเห็นมีเพียงแผ่นหลังของเด็กน้อยที่เดินไปในเส้นทางที่สว่างจ้า
แต่กลับดูโดดเดี่ยวและอ้างว้างเหลือเกินจะกล่าว..
ด้วยความสงสัยฉันก็เลยหันไปหาเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่แรก เธอเองก็หันกลับมามองฉันเช่นเดียวกัน
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่หาได้ยากและภาพใบหน้าที่ไม่ชัดของเด็กสาวผมแดงก็หายไปสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของฉันก็คือใบหน้า..
ใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังหลั่งน้ำตา.. แต่ใบหน้านั้นมันเหมือนกับ..
ฉันเลย..?
และในตอนนั้นเองร่างกายฉันก็กลายเป็นร่างกายเดียวกับเด็กคนนั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าของฉัน
ราวกับจะบอกว่าพวกเราคือคนคนเดียวกัน.. และภาพตรงหน้าฉันก็ไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแต่เป็นกระจกที่กำลังสะท้อนตัวของฉันอยู่ต่างหาก
และคนที่กำลังร้องไห้ก็ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นฉันต่างหากที่กำลังร้องไห้และภาพที่อยู่ตรงหน้าของภาพสะท้อนของตัวฉันเอง
และในตอนนั้นเองฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
…………
[ก็ถ้าไม่เปิดเรื่องมาแล้วมีชวนฉงนหรือชวนงงจะเป็นผม โรส เวโรนิก้าได้อย่างไร?! ถูกไหม – ผู้เขียน]