บทที่ 5 – ธิดาเทพสกาเล็ต
ดวงตาของฉันลืมขึ้นมา.. ทุกอย่างในสายตาเต็มไปด้วยความมืดหลังที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งรู้สึกเย็นเยียบจากของเหลวที่คิดว่าน่าจะเป็นน้ำ..
ฉันค่อยๆ ใช้แขนขวาพยุงขึ้นมาแต่ทันทีที่ออกแรงความเจ็บแสบก็วิ่งลัดเข้ามาในสมองจนหน้าฉันทรุดลงไปฟาดกับพื้นอีกรอบ
“โอ้ย.. เมื่อกี้ฝันเหรอ..”
ฉันพึมพำกับตัวเอง แม้จะจำฝันได้ไม่ค่อยแม่นสักเท่าไหร่
“แต่ว่า.. แขนฉัน…”
ฉันก้มมองแขนขวาตัวเองดูเหมือนที่ข้อมือจะบวมนู้นขึ้นจนเห็นผิดรูปเลยล่ะ.. ในฐานะที่อยู่มาหลายปีในโลกก่อน..
แขนหักสินะ.. ฉันพยายามใช้แขนซ้ายดันตัวเองขึ้นมาแทน แม้จะบอกว่าลดความเร่งของฉันได้แต่ก็ไม่ทั้งหมดทำให้แขนหักไปด้วย
ไม่ใช่ว่าฉันใจเย็นหรืออะไรหรอกนะ ไอ้แขนหักนี่กว่าจะรักษาหายก็ใช้เวลาหลายเดือน แต่..เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำฉันเกือบตายมาแล้วนะ
การที่รอดมาได้โดยแลกกับการแขขนหักข้างหนึ่งจะเป็นอะไรไปได้ ฉันทำให้ดวงตาเริ่มค่อยๆ ชินกับความมืด
อ้อ หากถามว่าฉันทำอะไรไปก่อนหน้านี้.. ก็คงต้องบอกว่าที่ฉันทำคือประตูมิติละนะ..
ฉันก็ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองฉลาดอะไรหรอกนะ แต่สมัยเรียนมัธยมก็น่าจะเคยเรียนเรื่องแกนมิติมาใช่ไหมล่ะ ซึ่งพอจำได้รางๆ ว่า
เลาสามารถกำหนดพิกัดได้จากการคำนวณแกนมิติ.. จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งสามารถสร้างสูตรคำนวณขึ้นมาให้เดินทางไปถึงจุดนั้นได้
ใช่.. นั่นคือหลักการแกนมิติ แต่ฉันไม่ได้เขียนสูตรอะไรหรอก เขียนไม่เป็นน่ะ.. สิ่งที่ฉันทำแค่ทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ามิติพื้นที่
เมื่อเข้าใจมิติพื้นที่.. ฉันก็อ้างอิงความรู้จากการ์ตูน โดรา**ม่อน ที่มีประตูไปที่ไหนก็ได้ ซึ่งเจ้าหุ่นแมวฟ้าเคยอธิบายว่า
ประตูไปที่ไหนก็ได้ หากมิติคือกระดาษ ประตูก็จะเปิดจากจุดเริ่มต้นไปจุดปลายทางโดยการพับกระดาษจุดเริ่มต้นและปลายทางเข้ามากันแบบสั้นๆ
ฉันก็เลยใช้วิธีนี้ในการแทรกแซงข้ามมิติมาได้อะนะ.. โชคดีที่นึกถึงเรื่องนั้นได้ทัน ไม่งั้นฉันคงกลายเป็นศพจมบ่อโคลนไปแล้ว
เอาล่ะ พอดวงตาชินกับความมืดแล้วฉันก็เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบกาย ที่นี่ค่อนข้างกว้างพอสมควร
ฉันเดินไปหยิบกิ่งไม้แห้งเถาวัลย์มาอย่างล่ะสองอัน ก่อนที่จะจับมันมาดามแขนที่หักเอาไว้
ถึงจะไม่รู้ว่าจะได้ผลไหมก็เถอะ แต่ก็เคยศึกษาวิชาเอาตัวรอดอยู่บ้าง.. อย่างถ้าโดนงูกัดก็เอาเชือกมารัดตรงส่วนนั้นไว้อะไรแบบนั้น
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จฉันก็ต้องมานั่งคิดแล้วล่ะว่าต้องทำยังไงถึงจะรอดออกไปจากที่นี่ได้.. ถึงตอนนั้นฉันตัดสินใจจะโดดลงมา
เพราะคิดว่าถ้าโดดลงมาจะมีโอกาสรอดมากกว่าก็เถอะ แต่ถ้ามาคิดดีๆ แล้ว.. อย่าว่าแต่หาทางขึ้นไปเลย ขนาดอาหารจะกินยังไม่มีด้วยซ้ำละมั้ง
แต่ก็นั่นแหละ จะอยู่เฉยๆ ก็คงรอความตายเท่านั้นแหละนะ.. ฉันเดินไปแนบผนังด้านซ้ายแล้วก็เดินตรงไปตามทางเพื่อหาอะไรสักอย่าง
ที่ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไร..
จะว่าไปฝันเมื่อก่อนหน้านี้ ถ้าฉันจำไม่ผิดละก็เหมือนจะเป็นฝันเกี่ยวกับอนาสตาเซียที่บอกว่าอนาสตาเซียน่ะ ถูกปฏิเสธโดยท่านพ่อ
อันที่จริง ฉันจำฉากนั้นในเกมได้ดี.. มันเป็นฉากที่ไม่เคยกล่าวถึงในเกมภาคแรกเลยด้วยซ้ำ มันถูกกล่าวถึงในเกมภาคที่สองนู่นน่ะ
ซึ่งตอนแรกตัวเกมจะทำให้เราได้เห็นว่าตัวอนาสตาเซียถูกพ่อแม่เอาอก เอาใจมาตั้งแต่เด็กจนเธอกลายเป็นเด็กเสียคน
ความจริงแล้วในภาคสองที่เกมได้เฉลยออกมา เหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ได้มีแค่นั้น แต่ที่เธอเป็นเด็กเอาแต่ใจเพราะเธออยากจะให้พ่อหันมาสนใจต่างหาก
แถมแม่ของเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง เพราะเกิดมาอนาสตาเซียก็ไม่ค่อยได้เจอกับแม่สักเท่าไหร่
ทำให้อนาสตาเซียเธอเก็บกดมากๆ เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าสงสารมากเลยล่ะ.. แต่ทำไมฉันถึงฝันแบบนั้นกัน
ในขณะที่กำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่นั้น ฉันก็มองเห็นแสงสว่างที่อยู่ห่างออกไป.. ฉันถึงกับตกใจทันที
แต่ดูเหมือนแสงสว่างนั่นจะไม่ได้มาจากคนหรือสัตว์ เพราะมันมาจากพืชชนิดหนึ่ง.. ดูเหมือนว่ามันจะเติบโตตามผนัง
และผลของมันจะเรือนแสงออกมาบางๆ .. ไม่รู้ว่าทำไมพอโดนแสงนี้อาบไปทั่วร่างก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก
ถึงจะบอกว่าแสง แต่ก็เป็นแค่แสงสลัวๆ .. และดูเหมือนว่าในที่แห่งนี้จะไม่มีพวกมอนสเตอร์หรืออสูรอยู่เลย
นั่นก็นับเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามีฉันคงโดนพวกมันตะครุบ.. เพราะงั้นเลิกคิดเรื่องที่ว่าฉันต้องกัดกินอสูรแล้วได้พลังของพวกมันมาเหมือนในนิยายได้แล้วล่ะ
และต่อให้มีฉันก็ทำไม่ได้หรอก ก็แหม.. คอนเซปท์ของเกมบ้านี่ไอ้พวกมอนสเตอร์หรืออสูรน่ะ มันเป็นแค่ภาพสะท้อนบางอย่างเท่านั้นอ่ะ
ถึงกินไปก็ไม่ต่างจากกินสัตว์ทั่วไปหรอกนะ..
ในขณะที่ฉันกำลังคิดตลกอยู่กับตัวเองนั่นเอง เหมือนหูจะได้ยินเสียงบางอย่างขึ้นมา.. เสียงที่ดังขึ้นครั้งแรกนอกจากฉันในหุบเหวอันมืดมิด..
ฉันหันไปมองต้นที่มีเสียงดังขึ้น.. แต่ฉันกลับไม่สามารถจำแนกได้ว่าเสียงมันมาจากทางไหนราวกับว่ามันมาจากทุกทาง
“…….”
เสียงนั้นยังคงดังขึ้นอีกรอบ….
ก่อนที่จะ..
“เจ้าได้ยินหรือเปล่า ฮัลโหล่?”
ฉันที่ได้ยินเสียงลึกลับนั้นดังขึ้นก็ถึงกับสะดุ้งสิ
“ใครน่ะ”
ฉันตะโกนออกมาพร้อมกับถอยหลัง… ก็แบบจะไม่ตกใจได้ไงจู่ๆ มีเสียงดังขึ้นในหัวซะอย่างนั้นอ่ะ แถมสิ่งมีชีวิตแรกที่ฉันเจอตั้งแต่มาโลกนี้คือโจรลักพาตัวเลย
แม้แต่ฉันเองยังรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ปลอดภัยเลยนะ.. และแน่นอนไอ้เสียงลึกลับนี่ก็ไม่น่าไว้ใจ
“อ้า.. ติดต่อได้สักที เจ้าตัวแค่นี้แต่ทำไมจิตถึงได้สงบขนาดนี้”
หมายถึงอะไร.. หมายถึงฉันทำไมฉันไม่แตกตื่นแบบนี้อ่ะเหรอ ไม่ใช่แล้วฉันก็ตกใจสุดๆ นะ แค่เก็บอาการเฉยๆ แหละน่า
“ช่างเถอะๆ เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“ตัวเองยังไม่ตอบคนอื่นเลย จะให้คนอื่นตอบก่อนรึไง”
ฉันที่ไม่ไว้ใจก็พูดขึ้น อีกฝ่ายเหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมาทันควัน
“อ่า ข้าขอโทษด้วย ข้ามีนามว่าสกาเล็ตเป็นธิดาเทพน่ะ”
ฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว?
“เทพธิดาเหรอ ทำไมเทพธิดามาอยู่ในที่แบบนี้ แถมเทพธิดาในโลกนี้โดนผนึกพลังไม่ใช่หรือไง”
ตามคอนเซปท์ของโลกนี้ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีเทพธิดาที่มาจากโลกเบื้องบนที่เหมือนกับสวรรค์.. เป็นโลกที่เหนือกว่าเราอะนะ
ซึ่งตัวเทพธิดาเพราะมีพลังมากเกินไป มาในโลกเบื้องล่างจึงถูกบังคับให้ผนึกพลังและเทพธิดาสามารถทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตได้.. บลาๆ
เอาเป็นว่าเทพธิดาที่มาจากสวรรค์เป็นเหมือนชนชั้นสูงที่เหนือกว่าทุกเผ่านั่นแหละ .. ซึ่งฉันคิดว่าคนคนนี้น่าจะโกหกแหละนะ
“ไม่ใช่ๆ ข้าไม่ใช่เทพธิดา.. แต่เป็นธิดาเทพต่างหาก เอ่อ.. ข้าก็ไม่มั่นใจน่ะ แต่ความรู้สึกข้ามันบอกว่าแบบนั้นนั่นแหละ”
“หมายความว่าไง?”
ฉันขมวดคิ้วถาม.. เสียงนั้นก็ตอบมาด้วยความลังเลใจว่า
“ไม่รู้สิ..ข้าเหมือนจะเสียความทรงจำน่ะ สิ่งที่จำได้มีเพียงสามอย่าง คือชื่อสกาเล็ต.. และเป็นธิดาเทพ”
เธอพูดแล้วไม่พูดอย่างที่สามออกมา ในขณะที่ฉันกำลังจะถามว่า ‘แล้วอันที่สามอ่ะ?’ เธอก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“ส่วนอย่างสุดท้าย… ดูเหมือนจะเกี่ยวกับบันทึกอะไรสักอย่างนี่แหละ.. แต่เอาเป็นว่าข้าไม่ใช่เทพธิดา.. แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเทพธิดาคืออะไร”
“แล้วเธอต้องการอะไร?”
“ข้า.. อยากจะให้เจ้าช่วยนิดหน่อยน่ะ”