บทที่ 6 – เจ้าเดาะลิ้นทำไม?
“ช่วย ? ช่วยแล้วฉันจะได้อะไรตอบแทน”
แน่นอนว่าสำหรับฉันการเจรจาต่อรองเป็นหนึ่งในทักษะที่ติดตัวมาในโลกก่อนหน้านี้ แต่จะว่างั้นว่างี้ก็เถอะแต่ไอ้การพบพานแบบนี้มันพิลึกพิลั่นจนน่าสงสัยเกินไป
ดังนั้นสิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือการล้วงข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนเป็นอย่างแรก ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าความทรงจำหายก็เถอะนะ
แต่ถ้าเจ้าตัวโดนผนึกอะไรแบบนั้นอยู่แล้วฉันเผลอไปปล่อยผี มันจะไม่แย่หรือหรือไง.. อีกอย่างในโลกนี้เป็นโลกแฟนตาซีเลยนะ
ความแฟนตาซีมันไม่สามารถจำกัดความได้หรอก ขนาดสิ่งที่ฉันเจอในตอนนี้ยังไม่มีกล่าวถึงในเกมเลยด้วยซ้ำ
“ข้าต้องการออกไปยังโลกภายนอกน่ะ.. เพราะหากทำแบบนั้นความทรงจำข้าก็อาจจะกลับมาได้”
“อีกอย่างนอกจากชื่อและสิ่งที่ข้าพึ่งบอกไป ข้าก็ไม่รู้ว่าข้ามาทำอะไรที่นี่ แต่รู้แค่ว่าตลอดมาข้าหลับอยู่ตลอดเวลา”
ฉันที่ได้ฟังแบบนั้นยิ่งรู้สึกว่าพล็อตมันจะวกเข้าสู่เทพมารผู้ถูกผนึกให้หลับไหลพิกลแฮะ แต่ฉันก็ยังถามออกไปว่า
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?”
พอเธอได้ยินแบบนั้นเธอก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า
“มองดูบนหัวสิ”
ฉันก็เงยหน้าขึ้นไปด้านบนที่มีแต่ความมืด แต่หญิงสาวคนนั้นก็พึมพำอะไรบางอย่างและพริบตาร่อมาแสงสว่างก็ปรากฏขึ้น
แบะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจ.. เพราะสิ่งที่ทำให้ฉันตกใจคือเหนือพื้นไปประมาณสิบเมตร..
มันมีซากศพของสัตว์ อสูรอยู่ ถึงแม้มันจะไม่ได้เยอะ บนหัวของฉันตอนนี้เห็นแค่สี่ห้าตัวกระจัดกระจายกันออกไป
เพราะบางทีสัตว์ที่มันตกลงมาถึงตรงนี้ก็คงมีไม่เยอะเพราะมันลึกมาก.. แต่ว่าที่ประหลาดคือเหมือนมันลอยอยู่กลางอากาศต่างหาก
“ใช่.. บนหัวมันมีเหมือนกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งกั้นโลกเบื้องล่างกับโลกเบื้องบนเอาไว้เหมือนการตัดขาดของพื้นที่”
“แต่ตอนที่เจ้าตกลงมา เจ้ากลับสามารถข้ามผ่านกำแพงที่มองไม่เห็นนั่นได้อีก … ดังนั้นข้าเลยคิดว่าถ้าเป็นเจ้าคงดี”
“อันที่จริงมนุษย์ที่ร่วงลงมาก็ไม่ค่อยมีอะนะ ซึ่งเจ้าเป็นคนแรกที่มาถึงด้านในนี้ได้ หมายความง่ายๆ คือ ข้าไม่มีใครให้ขอความช่วยเหลือจากเจ้านั่นแหละ”
“เพราะงั้นแหละมาร่วมมือกันออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”
เจ้าตัวกล่าวแบบขอไปที ฉันก็เข้าใจเหตุผลเธอขึ้นมาเล็กน้อย.. แต่อันที่จริงฉันไม่คิดว่าประตูไปไหนก็ได้ของโดรา**ม่อน จะข้ามกำแพงมิริได้แฮะ
เจ๋งเป็นบ้าเลย…
แต่จะว่าไงดีล่ะ ไอ้กำแพงที่มองไม่เห็นนี่มันคืออะไรกันนะ? หรือว่าจะเป็นผนึกที่ผนึกคนนี้ไว้จริงๆ
“ฉันจะแน่ใจได้ไงว่าเธอไม่ใช่ตัวอันตรายและไอ้ชั้นอากาศที่มองไม่เห็นนี่.. ไม่ใช่ผนึกที่ผนึกเธอไว้— อ่ะ ไม่สิ”
ฉันเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน แต่พอเจ้าตัวได้ยินที่ฉันพูดแบบนั้นเจ้าตัวก็หงอยลงเล็กน้อย
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ.. เพราะข้าไม่มีความทรงจำนี่”
“ฉันรู้แล้วล่ะ!”
จู่ๆ ฉันก็นึกบางอย่างออกมาได้ก็พูดขึ้นมาขัดอีกฝ่าย จนเสียงลึกลับนั้นถามออกมาด้วยความสงสัย
“หมายถึงอะไรอ่ะ ?”
“ไอ้ชั้นบรรยากาศที่ไม่เห็นนี่คือ.. ชั้นบรรยากาศแรก!”
“ชั้นบรรยากาศแรก ? คืออะไร”
ฉันนึกออกแล้ว ไอ้นี่มันก็มีอธิบายไว้ในเกมอยู่.. ตอนนั้นฉันอ่านข้ามๆ ก็จริงเพราะรู้สึกว่าเกมแกเป็นหนังสือธรณีวิทยารึไงเลยอ่านข้ามๆ
แต่รู้สึกว่ามันจะอธิบายไว้ว่า.. โลกนี้มีพื้นโลกอยู่สามระดับด้วยกัน ประกอบด้วยเปลือกโลกชั้นแรก เป็นพื้นด้านบน
เปลือกโลกชั้นสองจะถูกเรียกว่า ธรณีแห่งรากฐาน โดยจะถูกขั้นไว้ด้วยชั้นบรรยากาศชั้นแรกซึ่งธรณีแห่งรากฐานหรือพื้นโลกชั้นสองนี้
มันทีความสำคัญต่อโลกอย่างมาก นั่นเป็นเพราะว่ารากฐานของแร่ต่างๆ ,ล้วนเกิดขึ้นมาจากพื้นดินชั้นนี้
เมื่อแผ่นดินไหว น้ำทะเลเกิดสึนามิ หรือแม้แต่ภูเขาไฟปะทุจะทำให้แร่เหล่านั้นหลุดขึ้นไปบนเปลือกโลกชั้นแรก
แล้วถามว่าชั้นบรรยากาศแรกเกิดมาได้ยังไง.. ก็ต้องว่าเป็นการวิวัฒนาการของโลกเองที่มันวิวัฒนาการเพื่อปกป้องรากฐานของมัน
เพราะนอกจากแร่แล้วมันยังมีรากฐานอย่างพวกพืช น้ำหรือลาวาอีกต่างหาก.. ส่วนลึกลงไปอีกจะมีชั้นบรรยากาศที่สอง
ด้านล่างก็จะมีแผ่นดินอีกขั้น เอาเป็นว่าฉันจำไม่ได้ทั้งหมด.. แต่หลักๆ ก็คือแค่นี้นั่นแหละ
แต่ว่าที่ในเกมบอกคือชั้นบรรยากาศแรกจะอยู่ลึกมาก ในขนาดที่ว่าใช้คนที่มีพลังเวทสายขุดเจาะขุดอยู่ตลอดชีวิตก็ไม่มีทางถึงไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไม..มันดูไม่ลึกเลย ? หรือเป็นเพราะฉันร่วงลงมาเลยดูเหมือนไม่ลึก?
อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละนะ ฉันพยักหน้าเล็กน้อย..
“ถ้าพวกเราร่วมมือกันฉันจะได้ผลประโยชน์อะไร ? แน่นอนเธอคงไม่บอกว่าเป็นการออกไปจากที่นี่หรอกนะ เพราะนั่นมันคือผลประโยชน์ที่ฉันและเธอได้ แต่ที่ฉันอยากรู้คือ ถ้าฉันช่วยเธอแล้วฉันจะได้อะไร”
ฉันกล่าวขึ้นด้วยทักษะการต่อรองที่เหลือมาจากในโลกก่อนหน้า อันที่จริงจะว่าฉันช่วยเธอก็ได้ แต่จะมองว่าเธอช่วยฉันก็ได้เช่นกัน.. เพราะเราตกอยู่ในสถานการณ์ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
หรือก็คือคำถามที่ฉันถามออกไปหากเธอถามคำถามเดียวกลับมาก็จบยั่นเอง เพราะผลประโยชน์คือการออกไปจากที่นี่แต่แรกแล้ว
แต่ฉันรู้ว่าการทำสัญญาอะไรแบบนี้ไม่ควรอ่อนข้อให้อีกฝ่าย.. เพราะการต่อรองให้ได้ผลประโยชน์เข้าตัวมากที่สุด
นั่นแหละคืองานที่พวกบริษัทมันทำกัน.. ซึ่งฉันชิงความได้เปรียบประมาณเป็นคุมเกมโดยการถามออกไปแบบนั้น
เจ้าตัวลังเลเล็กน้อย..
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจหรอกนะ.. แต่จิตของข้าถูกผนึกไว้ในจี้ชิ้นหนึ่ง.. เป็นจี้ที่ประหลาดมาก เหมือนจะมีพลังเวทแปลกๆ ด้วย.. มันช่วยทำให้จิตวิญญาณของข้าไม่ถูกทำลายหรือสูญหายไป… ข้าจะยกสิ่งนั้นให้เจ้าก็ได้”
“อันที่จริง มันก็คงต้องเป็นงั้นเพราะข้าก็อยู่ในจี้นั้น ถ้าไม่ให้เจ้าสวมไว้ก็คงออกไปไม่ได้ละนะเพราะงั้นมันควรจะเป็นของเจ้านั่นแหละ ?”
ฉันรู้สึกผิดเลยแฮะที่แบบดันจะไปเอาเปรียบเจ้าผู้หญิงคนนี้ ว่าจะชิงไหวพริบตรวจดูว่าเธอเสียความทรงจำจริงไหม
แต่การที่เธอพูดแบบเหมือนไม่ได้ชิงไหวพริบด้วย อันที่จริงเจ้าตัวตอบยังกะเป็นเด็กด้วยซ้ำ ฉันเลยรู้สึกผิดที่จะโกงเธอ
“เฮ้อ.. ช่างเถอะ เข้าใจแล้วมาทำสัญญากันเถอะ.. อ้ะ จริงสิ จิตถูกผนึกที่ว่านั่นคืออะไรอ่ะ ? หมายความว่าไง”
ฉันเองดก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักเท่าไหร่หรอก.. หลังจากตอบออกไปแบบนั้นพวกเราก็คุยกันอีกพักใหญ่เพื่อคุยเรื่องที่ต้องทำ
อันที่จริงฉันก็บอกไปว่าที่ฉันทำไปน่ะมันแค่บังเอิญด้วยซ้ำ เพราะฉันเองก็ไม่เคยใช้เวทมนตร์มาก่อน.. ก็นะ มาโลกนี้พึ่งเคยใช้ไปสองครั้งเอง
เลยไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้อีกรอบไหม.. อีกอย่างตอนนี้แขนก็ยังหักอีกต่างหาก..
“อ้อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ดูเหมือนจี้จะมีความสามารถในการฟื้นฟูกายหยาบด้วยล่ะ.. ก็นะฟื้นฟูดวงวิญญาณข้าที่บาดเจ็บได้ฟื้นฟูร่างหายก็คงทำได้”
เธอว่างั้นแหละ หลังจากตกลงกันอีกพักใหญ่ เสียงลึกลับก็นำทางฉันไปหาตรงส่วนที่เธออยู่.. ถึงจะบอกว่าเธออยู่ก็ตามแต่เธอก็ไม่มีร่างกายแล้ว
จากที่คุยกันก่อนหน้า เหมือนว่าเธอจะไม่มีร่างกายเหลืออยู่แล้ว เธอถูกผูกดวงวิญญาณไว้กับจี้ชิ้นหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง
เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าจี้นี้มีอะไรบาง แต่ที่รู้ๆ คือมีคุณสมบัติฟื้นฟูจิตวิญญาณและคุณสมบัติผูกวิญญาณด้วย
แต่พลังที่อยู่ในจี้เหมือนจะมีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
ฉันเดินมาถึงที่อยู่ของจี้.. ก็พบว่าจี้วางอยู่บนพื้นแบบไม่สะดุดตาไม่มีการตกแต่งอะไรทั้งสิ้น มันถูกทิ้งไว้ตรงมุมหนึ่งของพื้น
แถมสร้อยทั้งเส้นก็ถูกฝุ่นกลบทั้งหมด มีเพียงจี้สีม่วงเงางามเท่านั้นที่ราวกับส่องแสงออกมาได้..
เป็นจี้ที่มีอัญมณีสีม่วงประหลาดติดอยู่..ขนาดของอัญมณีเล็กนิดเดียวเองไม่ถึงเล็บนิ้วด้วยซ้ำ
ในขณะที่กำลังพินิจวิเคราะห์ตรงหน้าของฉันก็ปรากฏเงาของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้น.. ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นภาพที่ฉายออกมาจากจี้ต่างหาก
สกาเล็ตมีผมสีแดงยาวเหมือนกับฉันในร่างอนาสตาเซียไม่มีผิด ใบหน้าของเธอเหมือนสาวอายุราวๆ ยี่สิบกลางๆ ดูมีเสน่ห์ของผู้ใหญ่มากพอสมควร
หน้าอกก็ใหญ่พอสมควร.. เอ๋อ.. ถึงตะไม่ใหญ่มากแต่ก็ใหญ่กว่าฉันในชาติที่แล้วอย่างแน่นอนทั้งที่ฉันอายุเยอะกว่าแท้ๆ
“ชิ..”
“เมื่อกี้เจ้าเดาะลิ้นทำไม?”
“เปล่าหรอก ไม่ได้เดาะสักหน่อย”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเดาะ”
“ฉันไม่ได้เดาะนะ!”
“….”
“หน้าอกมันก็แค่ออฟชั่นเสริมนั่นแหละน่า ฉันน่ะชอบโลลิต่างหาก!”
“เจ้าพูดบ้าอะไรเนี่ย”
“แต่ว่า.. ฉันเองก็อยากมีเหมือนกับเขาบ้างนี่น่า… ชอบโลลิไม่ได้แปลว่าอยากเป็นโลลิสักหน่อยนี่น่า.. ฮรือๆ ”
“จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น!”