บทที่ 7 – อัญมณีอเมทิส
“แล้วต้องทำไงต่อทีนี้?”
ฉันหยิบจี้ขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะจี้นี้มันเหมือนของมีราคาพอสมควรอยู่หน่อยๆ .. แถมเหมือนจะเป็นไอเทมสุดโกงซะด้วยสิ
วิญญาณของสกาเล็ตก็เหมือนจะลอยตามขึ้นมาด้วย พอเห็นฉันถามแบบนั้นสกาเล็ตก็พูดขึ้นว่า
“ก็ออกไปจากที่นี่ไง?”
“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันเองก็ใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ข้ามชั้นบรรยากาศไปได้พวกเราก็ไม่มีทางปีนขึ้นไปถึงบนหน้าผาอยู่ดีนะ”
“เจ้าข้ามมิติแบบว่า ข้ามทีเดียวให้ถึงบนหน้าผาไม่ได้เหรอ?”
สกาเล็ตถามมาแบบนั้นฉันก็อยากจะทำแบบนั้นได้อยู่หรอก แบบว่าจะไปไหนก็ไปได้อะไรแบบนี้อ่ะ..
แต่อย่างที่บอกว่านี่คือการพับกระดาษให้ระยะทางและเส้นทางที่ต้องเดินไปถึงเป้าหมายหายไป..
นั่นหมายความว่าตัวฉันต้องมีเป้าหมาย.. ซึ่งไอ้ฉันก็ไม่สามารถคำนวณได้หรอกว่าระยะทาจากตรงนี้ไปถึงบนหน้าผามันห่างกันกี่เมตร
เพราะฉันไม่ใช่นักคำนวณคณิตศาสตร์อะไรเทือกนั้นด้วย เพราะงั้นการเคลื่อนที่แบบข้ามมิติจึงสามารถทำได้แค่…
“ฉันข้ามมิติได้แค่ในระยะสายตาที่มองถึงน่ะ”
“ไร้ประโยชน์จังแฮะ.. แบบนั้นเดินไปเอาไม่ง่ายกว่าเหรอ แถมไม่เสียพลังเวทด้วย”
“….”
ยัยคนนี้พอไม่ได้ดังใจก็ว่าเราเฉยเลย.. เอาเป็นว่าทำเป็นไม่ได้ยินให้ก็แล้วกัน.. อีกอย่างฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้อีกรอบไหมด้วย
แถมเวทมนตร์ข้ามมิติก็ใช้พลังเวทเยอะมากจนพลังเวทไม่เหลือแล้ว ก็นะ.. ถ้ามันข้ามมิติได้ง่ายขนาดนั้น
พวกตัวละครในเกมบ้านี้คงไม่ใช้ไอ้ ‘เกท’ ที่เป็นเหมือนประตูเทเลพอร์ตแต่ใช้เวทข้ามมิติกันแล้วล่ะ.. เพราะความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ก็ก้าวหน้าไกลไม่แพ้โลกเดิมฉันอะนะ
“แล้ว.. ไอ้สร้อยนี้ทำไงมันถึงจะรักษาแขนฉันอ่ะ?”
ก็ถือไว้ในมือมาสักพักนะ ไม่เห็นมีการรักษาอะไรเกิดขึ้นเลย สกาเล็ตเองที่ได้ยินคำถามฉันก็เหมือนจะไม่มั่นใจด้วย
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ ลองสวมใส่ดูสิ อาจจะได้นะ”
ว่าแบบนั้นฉันก็ลองใส่ที่คอ.. และก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ พอสวมใส่ที่คอเสร็จแล้วจี้ก็เรือนแสงสีม่วงออกมาจางๆ
แต่ทว่าในตอนนั้นเองก็เกิดบางอย่างที่ทั้งฉันและสกาเล็ตก็ตกใจทั้งคู่.. เพราะจี้สีม่วงมันก็เรือนแสงออกมาเป็นตัวอักษรกลางอากาศ
มันเป็นภาษาที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ที่แน่ๆ ไม่ใช่ภาษาที่ตัวอนาสตาเซียเคยเรียนมาก่อนหรือภาษาในโลกเดิมฉันแน่ๆ
“ยืนยันดวงจิตของผู้ถือครอง?”
ในตอนนั้นเองเสียงของสกาเล็ตที่อยู่ข้างฉันก็ดังขึ้นด้วยความงุนงง.. ฉันถึงกับหันไปถามเธอว่า
“ไหนเธอบอกว่าจำได้แค่ไม่กี่อย่างไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจำภาษานี้ได้ด้วยเหรอ”
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ แต่เหมือนพอเห็นมันทั้งที่ข้าจำไม่ได้แท้ๆ แต่กลับรู้ว่ามันหมายถึงอะไร?”
แต่ในตอนนั้นเองอักษรลึกลับก็ปรากฏขึ้นทับอันเก่าที่จางหายไป โดยไม่ต้องรอให้ฉันถามสกาเล็ต เธอก็พูดขึ้นมาว่า
“ผ่านเงื่อนไข ดวงจิตหรือจิตสถิตตรงกัน เริ่มทำการผูกมัด”
…..ตัวอักษรเดิมจางหายไป แทนที่ด้วยตัวอักษรใหม่อีกครั้ง
“ทำสัญญาเสร็จสิ้น โอนสิทธิ์การถือครองทั้งหมดให้กับผู้ถือครอง”
เธอบอกมาแบบนั้น ในตอนนั้นเองความรู้สึกเย็นสบายบางอย่าง ไม่รู้สิ ฉันเองก็บอกไม่ถูกแต่ร่างกายทุกส่วนจองฉันรู้สึกสบายเหมือนกับนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ
แขนข้างที่หักที่ยังมีความเจ็บปวดตุบๆ อยู่ตลอดเวลาก็ถูกปัดเป่าจนหายไปหมดเรียบไอ้ความรู้สึกยกแขนที่หักไม่ขึ้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ตัวอักษรที่เขียนอยู่ตรงหน้าจากที่ฉันอ่านไม่ออกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เป็นภาษาที่ไม่รู้จักแท้ๆ แต่ก็เหมือนจะอ่านออกขึ้นมาเฉยเลย
และความหมายก็ตามที่สกาเล็ตพึ่งแปลให้ฟังนั่นแหละนะ.. แต่ในตอนนั้นเองสกาเล็ตก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของฉันพร้อมกับถาม
“เอ๊ะ.. ทำไมตาเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นสีม่วง..?”
“ห้ะ.. ว่า—”
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ทันตกใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับน่าตกใจยิ่งกว่าเพราะมีบางอย่างปรากฏขึ้นข้างๆ สกาเล็ตที่ฉันมองไป..
มันมีขีดพารามิเตอร์อยู่ข้างๆ ตัวของเธอ..
‘ค่าความมึนเมา 0/100’
‘ค่าความต้านทานการควบคุมจิตใจ 100/100’ (ไม่สามารถควบคุมจิตใจเธอได้แน่นอน)
‘ค่าความงดงาม ไม่สามารถประเมินได้’
‘ค่าความสัมพันธ์ 30/100’ (รู้สึกดีด้วยไม่มากก็น้อย)
……
มีพารามิเตอร์บอกค่าความสัมพันธ์ยังกับในเกมขึ้นมาจริงๆ แล้วด้วยอ่ะ.. ฉันขยี้ตาหนึ่งทีพารามิเตอร์พวกนั้นก็หายไป
พอพารามิเตอร์พวกนั้นหายไปสกาเล็ตที่มองมาที่ฉันก็ตกใจพร้อมอุทานว่า
“อ๊ะ กลับมาเป็นสีเดิมแล้ว..”
ใจเย็นก่อนตัวฉัน …..
ฉันค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ และพยายามนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างรวดเร็วรวบรวมข้อมูลทุกอย่างแล้ววิเคราะห์
ฉันก้มลงมองจี้ที่อยู่ที่คอ ดูท่าว่าไอ้ที่มองเห็นขีดพารามิเตอร์นั่นจะเป็นเพราะเจ้าจี้สีม่วงนั่นแหละนะ
ดูเหมือนว่าตัวสกาเล็ตเองก็จะไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แถมเมื่อสักครู่ดูเหมือนว่ามันจะยอมรับฉันเป็นเจ้านายแล้วด้วยสิ
แบบนี้หมายความว่าจี้นี้เป็นของฉันโดยสมบูรณ์แล้วสินะ แถมอีกอย่างนอกจากตาที่มองเห็นพารามิเตอร์ฉันยังเหมือนจะได้อะไรพิเศษมาด้วยแหละ
แบบนี้มันใช่ไอ้ที่เรียกว่า… โชคดีในความโชคร้ายใช่ป่ะ?
……………
ณ ที่ไหนสักแห่งในดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตไม่มีผู้ใดเอื้อมถึงนั้น มันมีพระราชวังแห่งหนึ่งลอยอยู่กลางนภาอันมืดมิดแต่งแต้มด้วยดวงดาราไร้สิ้นสุด
มีหญิงสาวมาดราชินีคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนบัลลังก์ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันมองไปด้านหน้ายังที่แสนไกล
ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย.. แม้เธอคนนี้จะสวมเครื่องประดับหรูหราอลังการแต่ก็ยังมีจี้อันหนึ่งที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษที่อยู่ตรงคอ
จี้สีแดงที่เป็นพลอยโกเมนของเธอดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ อีกสาเหตุที่มันเด่นอาจจะเป็นเพราะเวลานี้มันกำลังเรือนแสงบางๆ ออกมา
ดวงตาของเธอราวกับมองทะลุผ่านโลก ผ่านความเป็นจริง ผ่านห้วงมิติ.. ไปถึงสถานที่อันไม่รู้จักพบว่า… มีหญิงสาวผมสีแดงยืนอยู่..
“สกาเล็ต..?”
“ไม่สิ ผู้ถือครองคนใหม่เหรอ.. ไม่ใช่ว่าผู้ถือครองอัญมณีถูกไล่ล่าแล้วทำไมถึงได้มี… หรือว่า…”
“….”
ราชินีดูลังเลนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มส่งกระแสความคิดผ่านห้วงอวกาศไปหาใครสักคน.. แต่ในตอนนั้นเองกระแสความคิดก็ถูกตัดขาด
ทำให้ความเจ็บปวดนั้นส่งผลกระทบยันจิตใจของราชินี จนเธอกรีดร้องเสียงหลงออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ใครกัน!!”
นางตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดพยายามมองไปด้านหน้าที่มีคลื่นพลังลึกลับบางอย่างซึ่งตัดกระแสความคิดของเธอ
แต่ทว่ากลับไม่เห็นใคร.. ในขณะที่กำลังสับสนนั้นเอง..
“นี่ๆ .. คุณราชินีรู้ไหมว่าองค์หญิงของเรากำลังจัดงานละครน่ะ?”
“….”
ข้างหูของเธอมีเสียงเด็กสาวดังขึ้นทำให้ราชินีที่ไม่ควรมีใครเข้าด้านหลังได้ง่ายๆ ถึงกับตกใจพร้อมกับโจมตีออกไปอย่างรุนแรง
แต่ว่าต้นเสียงก็หายไปอีกรอบพร้อมกับมีเสียงกระซิบที่หูอีกข้างของราชินีว่า..
“ตัวเอกของละครครั้งนี้.. มีอยู่เยอะนะ.. แต่ไม่ใช่สำหรับคุณราชินีล่ะ”
ราชินีดีดตัวออกจากที่นั่งก่อนจะยืนหันซ้ายหันขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงแต่ก็ยังมองไม่เห็นใครเลย เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง..
“อ่า.. แล้วก็อย่าว่าองค์หญิงของพวกเราเลยนะ.. เพราะนี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นล่ะ เพราะนี่คือความสมเหตุสมผลน่ะ.. ถ้าจะโทษก็อย่าโทษองค์หญิงของเราเลยนะ”
“ถ้าจะโทษก็ขอให้โทษคนคนนั้นเถอะ”
ราชินีเหงื่อไหลเล็กน้อย ในตอนนี้เธอไม่ใช่คนโง่เธอพอเดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร.. ศัตรูของผู้ถือครองอัญมณี
พวกมัน… คิดจะทำอะไรกันแน่….
“พวกแกต้องการอะไร! อัญมณีทั้งหกเหรอ? แล้วทำไมถึงปล่อยให้มีการสืบทอดอัญมณีเกิดขึ้น? แถมยังเป็นไอ้อัญมณีอย่าง ‘อเมทิส’ (Amethyst) อีก.. พวกแกไม่กลัวว่ามันจะกลายเป็นดาบสองคมที่หันกลับไปหาพวกแกหรือไง”
“ถึงคุณราชินีจะขู่แบบนั้นก็เถอะนะ.. ฉันเองก็ไม่รู้ความคิดขององค์หญิงหรอกนะ.. แต่สำหรับฉันแบบนั้นมันน่าสนุกดีออกใช่ไหมล่ะ?”
ราชินียังคงหาอีกฝ่ายไม่เจอ ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงงัวเงียออกมาเหมือนคนง่วงนอนก่อนจะพูดปัดๆ ขึ้นมาอีกรอบ
“แต่ว่าช่างเรื่องนั้นไปเถอะนะ คุณราชินีน่ะ..ไม่ต้องสนเรื่องพรรค์นั้นก็ได้.. คุณราชินีมีหุ่นที่ดีเลยทีเดียวน่าจะเป็นกระต่ายตัวโปรดให้ฉันได้หลายคืนเลยล่ะ มาเป็นตุ๊กตาให้ฉันดีกว่านะ”
“พูดอะไร—”
แต่ราชินียังไม่ทันได้ตั้งคำถามอะไรมุมมองของเธอก็หมุนเคว้งกลางอากาศ.. หัวของเธอกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก่อนที่จะตกลงบนพื้น
กลิ้งอยู่หลายตลบก่อนจะหยุดลงและหันไปเห็นร่างกายที่ไร้หัวของตนเอง.. เธอไม่ตายทันที.. เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นโดยใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที ดวงตาของราชินีเบิกกว้างเธอรู้ว่าในหมู่ผู้ถือครองอัญมณีทั้งหมดเธอคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้.. แต่สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นมันกลับทำให้เธอไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลย
ภายใต้ดวงตาที่เบิกกว้างไปทางที่ร่างไร้หัวตัวเองยืนอยู่ ในตอนนั้นเองก็มีเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าร่างไร้หัวของเธอ ร่างร่างนั้นสูงแค่ถึงเอวเธอด้วยซ้ำมั้ง
“แต่ว่านะ.. หัวของของคุณราชินีน่ะ ฉันไม่ต้องการหรอก”
“เพราะฉันต้องการแค่ร่างกายคุณราชินีล่ะ”
หญิงสาวร่างเล็กดึงเอาจี้ออกจากคอของร่างที่ไร้หัวของราชินี ก่อนที่เธอจะใช้มือสองข้างลูบๆ คำๆ ร่างกายราชินี
ก่อนที่จะออกแรงบีบจนเลือดไหลทะลักออกมาจากตรงที่ถูกบีบ.. แต่ถึงแบบนั้นเด็กสาวก็ยังบีบต่อไป
ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนร่างกายของราชินีถูกบีบจนเล็กลงพอๆ กับตุ๊กตา.. หญิงสาวหยิบเอาตุ๊กตาที่แขวนอยู่ที่เอวออกมา
ก่อนที่เธอจะดึงหัวตุ๊กตาออกจากร่าง.. หัวตุ๊กตาทำจากผ้ายัดนุ่นเป็นรูปของกระต่าย.. ส่วนครึ่งจากคอลงมาน่ะทำมาจาก…
ร่างกายที่ถูกบีบจนเหลือแค่เท่าตุ๊กตา.. แต่ตอนนี้คนที่ไปอยู่กับหัวกระต่ายแทนร่างเก่าคือ.. ร่างของราชินี
“ขอบคุณสำหรับร่างกายน้า”
เด็กสาวหันมาหาหัวของราชินีที่ยังตายไม่สนิท
“เธอ…คือ..”
เด็กสาวก้มมองราชินีพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ผมสีเหลืองของเธอยาวสลวยดูเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์
แต่หารู้ไม่ว่า… เธอนั้นโหดเหี้ยมขนาดไหน
เธอยกเท้าขึ้นมาเหยียบหัวของราชินี
“หลับฝันดีนะ คุณราชินี ไว้พวกเรามาฝันด้วยกันในตอนที่ฉันหลับนะ”
ก่อนที่เท้าของเธอจะเหยียบลงบนหัวของราชินีอย่างโหดเหี้ยม หัวของราชินีผู้งดงามแตกออกราวกับแตงโมถูกเหยียบ เลือด ดวงตา สมอง กระดูก
ทุกส่วนที่อยู่ในหัวของสิ่งมีชีวิตล้วนสาดกระจายไปทั่วพื้น ทั้งยังติดบนรองเท้าของเด็กสาวผู้ใสซื่อ (?) คนนั้นด้วย