บทที่ 8 – พลังมนตรา
หลังจากนั้นฉันก็ใช้เวลาพินิจวิเคราะห์อยู่นานสองนานจึงได้ข้อสรุปว่าอัญมณีสีม่วงนี้ต้องเป็น…. อะไรก็ไม่รู้อ่ะ
ในเกมไม่เห็นมีเนื้อเรื่องแบบนี้บอกซะด้วยสิ แต่เหมือนเจ้าสร้อยนี้จะโคตรสะดวกสบายเลยล่ะ เหมือนถ้าอยากให้หายไปก็จะหายไปด้วย
ที่ฉันหมายถึงคือทำให้คนมองไม่เห็นอะนะ.. และแน่นอนว่าฉันก็ทำให้คนมองไม่เห็นจึงไม่มีใครรู้ว่าฉันสวมสร้อยอยู่อย่างแน่นอน
ก็นะ ขืนตกหน้าผาแล้วได้จี้สีม่วงเด่นสะดุดตาขึ้นไปด้วยก็คงพิลึกพิลั่นน่าดูเลยล่ะ และหลังจากที่ฉันได้ถือครองสร้อยเส้นนี้มันเลยทำให้ฉันได้รับอะไรบางอย่างมา
ถึงจะยังไม่รู้ว่าที่ได้รับมาคืออะไรก็เถอะ เพราะเหมือนว่าฉันจะต้องตามหามันด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ฉันได้รับมาเป็นอะไร
“เป็นยังไงบ้าง?”
“อืม.. ก็ปกติดีทุกอย่างนะ”
ที่ลอยอยู่ข้างๆ คือสกาเล็ตหญิงสาวหน้าอกโตที่มอวด้วยความสงสัยใคร่รู้ ฉันก็ตอบออกไปตามที่รู้สึกได้
ฉันพูดในขณะที่กำลังถอดไม้ที่ดามแขนอยู่ออก เพราะแขนฉันไม่ได้หักแล้วอะนะ ฉันยกแขนขึ้นลงดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
ดูน่าทึ่งดีกว่าแฮะ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนถ้าฉันแขนหักละก็คงต้องใช้เวลากว่าสองสามเดือนจนกว่าจะหาย แต่ตอนนี้คือเผลอครู่เดียวก็หายแล้ว
สมกับเป็นต่างโลกจริงๆ แถมพลังเวทฉันก็เหมือนจะฟื้นฟูกลับคืนมาแล้วล่ะ.. จู่ๆ สกาเล็ตก็พูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
“แล้วเป็นไง พอที่จะหาทางขึ้นไปได้หรือเปล่า?”
เอาเข้าจริงคนที่น่าเป็นห่วงว่าจะขึ้นไปได้ไหมควรจะเป็นฉันมากกว่านะ เพราะฉันยังต้องกินอาหารหรือกินน้ำ
แต่สกาเล็ตไม่ต้องกิน.. แต่พอมานึกดูว่าเธอถูกขังอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แถมยังไม่มีความทรงจำอีก
ฉันจึงไม่ได้คิดอะไรมากก่อนจะตอบออกไปว่า
“พลังเวทฉันฟื้นฟูแล้ว น่าจะใช้ได้อีกรอบ แต่ปัญหาคือจะใช้สำเร็จและต่อให้สำเร็จเราข้ามกำแพงชั้นบรรยากาศได้ แต่เราจะขึ้นไปยังไง?”
“นั่นสิ.. เอาแบบนี้ถ้าข้ามกำแพงชั้นบรรยากาศไปแล้ว ฉันจะสอนเวทมนตร์บินให้กับเธอเอง”
“หือ… เวทมนตร์บิน?”
“อ้ะ.. เขาเรียกแบบนี้ใช่ป่ะ ข้าเองก็ไม่มั่นใจ..”
สกาเล็ตเกาแก้มตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า
“อันที่จริงตอนเจ้าสวมสร้อยเข้าไป.. เหมือนข้าจะจำเรื่องบางอย่างกลับคืนมาได้ด้วยล่ะ.. ซึ่งข้าจำได้คือการควบคุมพลังทำให้เหาะเหินเดินอากาศได้”
“นอกจากนี้ยังมีพลังที่ทำให้สัมผัสคลื่นพลังบางอย่างรอบตัวได้ด้วย แบบว่าต่อให้หลับตาก็สัมผัสได้ว่าทุกอย่างรอบๆ มีอะไรน่ะ”
“นอกจากนี้ยังมีของจิปาถะอย่าง สร้างไฟ สร้างน้ำอะไรแบบนั้นด้วย ดูเหมือนว่าจะเรียกว่าเวทมนตร์ใช่มะ?”
ฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว.. ถึงจะไม่รู้ว่าสกาเล็ตเกี่ยวข้องยังไงกับจี้นี้ก็เถอะ แต่เหมือนจะเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งเลย
ด้วยความสงสัยฉันจึงถามออกไป
“มีแค่นี้เหรอ?”
“จริงๆ มีอีกอย่าง..”
“ความสามารถอะไร?”
“เปิดประตู…”
เธอพูดแบบนั้นก็เงียบลงไปทันที ฉันที่รอฟังอยู่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรต่อทำให้ฉันสับสนและลังเลนิดหน่อย
“…แค่นี้?”
“ใช่..”
“ไอ้เปิดประตูที่ว่านี่หมายถึงเปิดประตูที่ล็อกด้วยเวทมนตร์อะไรแบบนั้น หรือตู้เซฟของสำคัญใช่ไหม..”
“เปล่า.. เปิดประตูที่ไม่ล็อกเท่านั้น.. และเปิดอะไรอย่างอื่นนอกจากประตูไม่ได้ พวกกล่องสมบัติอะไรแบบนั้นอ่ะ เปิดไม่ได้”
ฉันได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ .. พร้อมกับพึมพำ
“ไร้ประโยชน์ชะมัด”
“นี่เจ้าแค่อยากพูดไร้ประโยชน์ใส่ข้ากลับใช่ไหมเนี่ย?!”
“เปล่าสักหน่อย ก็มันไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่หรือไง?”
“มันช่วยเจ้าเปิดประตูเลยนะ!”
“ของแบบนั้นก็เปิดเองได้ไม่ใช่เหรอ!ทำไมไม่เปิดเองห้ะ แถมไม่เสียพลังเวทด้วย ข้าถึงได้บอกไงว่ามันไร้ประโยชน์”
“นี่เจ้ากำลังสนุกที่ได้พูดแบบที่ข้าพึ่งพูดใส่เจ้าไปใช่ไหม?”
“ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าสอนมันให้ฉันละกัน แค่นี้พวกเราก็จะออกไปได้แล้ง”
ฉันแกล้งทำเป็นเลิกสนใจ แล้วก็พูดแบบขอไปทีหลังจากนั้นสกาเล็ตก็ถ่ายทอดการใช้พลังเข้ามาในหัวฉัน
ผ่านสร้อยสีม่วงนั่นอะนะ แต่ว่าพลังที่สกาเล็ตสอนมาเหมือนจะไม่ใช่เวทมนตร์ที่ฉันรู้จักในเกมจีบหนุ่มบ้านี่
มันเป็นเหมือนอะไรที่มากกว่านั้น แถมมันไม่ต้องใช้พลังเวทด้วย จากคำบอกเล่าของสกาเล็ตการจะใช้ความสามารถเหล่านี้
เหมือนจะเป็นการดึงเอาศักยภาพภายในออกมา.. แล้วเปลี่ยนศักยภาพนั้นให้กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้ความสามารถปรากฏขึ้น
ศักยภาพภายในเหมือนจะมีกันทุกคน แถมมันมีมากมายไร้ที่สิ้นสุดด้วย.. หมายถึงว่าดึงออกมาใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ก็อย่างว่ามันคือศักยภาพภายในหากใช้ไปมากๆ เข้าอาจจะทำสติเลอะเลือนได้เลย ถ้าเอาพวกนี้มารวมกัน
จากการวิเคราะห์ของฉันศักยภาพภายในคือ ‘มโนจิต’ หรือ ‘จิตใต้สำนึก’ ผู้คนนั้นมีจินตนาการไร้ที่สิ้นสุดอย่างที่บอกจริง
แต่ปัญหาคือการจะเอาจินตนาการกลายเป็นมโนจิตนั้นยากมาก.. อีกทั้งการใช้มโนจิตให้กลายเป็นพลังออกมามันต้องมีความเชื่อมั่นว่า ‘ฉันทำได้’
เอ่อ.. ถ้ายังไม่เข้าใจ.. อธิบายแบบง่ายๆ ก็
คนที่จะใช้พลังนี้ได้เก่งสุดๆ คือคนที่เป็นโรคป่วยม.สอง จูนิเบียวที่เขื่อว่าตัวเองมีพลังพิเศษ.. คนพวกนี้จะใช้พลังได้เรื่อยๆ
แต่หากใช้ไปมากๆ ความเป็นจูนิเบียวจะค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ .. จนกลับกลายเป็นคนธรรมดาและหากยังใช้ต่อไป
ท้ายที่สุดสติจะเลอะเลือน.. คนธรรมดาก็ใช้ได้.. แต่แค่จะไม่ได้เริ่มต้นที่หากใช้เยอะๆ ความจูนิเบียวจะหายไป เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นจูนิเบียว
แต่จะเริ่มที่สติเลอะเลือนเลยนั่นเอง.. แต่ถึงจะบอกแบบนั้นใช่ว่าพลังจินตนาการคนจะหมดเร็วขนาดนั้น
ถ้าไม่ใช้พลังระดับที่เปลี่ยนโครงสร้างของอะไรบางอย่าง ก็สามารถใช้ได้เรื่อยๆ ล่ะนะ.. อีกอย่างต่อให้มันอันตรายแต่ถ้าฉันไม่ออกจากที่นี่ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี
ขอแค่มีโอกาสไม่ว่าจะยังไงก็ต้องออกไปให้ได้..!
สรุปก็คือมันคล้ายๆ เวทมนตร์นั่นแหละ เพียงแค่ใช้งานง่ายกว่าเวทมนตร์แทรกแซงของโลกนี้… เอาเป็นว่า ‘พลังมนตรา’ แล้วกัน
“งั้นก็.. มาเริ่มกันเถอะ”
“อืม!”
ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นชั้นบรรยากาศที่ขั้นโลกด้านบนกับด้านล่างเอาไว้อยู่.. ดวงตาของฉันหลับลงก่อนที่จะนึกถึงหลักการเดิมที่เคยใช้
ฉันนึกเรื่องสูตรในการ์ตูนที่เคยดูรวมถึงเรื่องพื้นที่ด้วย… และก็พบให้มิติมันสั้นลง ฉันคิดเรื่องพวกนี้และพยายามจะใช้เวทมนตร์ออกมา
และก็ตอนนั้นเองหลุมดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง วินาทีที่มันปรากฏขึ้นใบหน้าของฉันก็ซีดลง พลังเวทในร่างกายที่ถูกเติมเต็มก็หายไปจนหมด
เพราะก่อนหน้านั้นมันกำลังร่วงจากที่สูงอยู่ ฉันเลยอาจจะไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้พอใช้เสร็จฉันก็แทบจะรู้สึกหน้ามืด
อย่างไรก็ตามหลุมดำนี้มันอยู่ได้ไม่ถึงสามวิด้วยซ้ำ ฉันสร้างเสร็จก็พึมพำเบาๆ
“ไป!”
ก่อนจะกระโดดเข้าไปในหลุมดำ.. แต่ทว่าวินาทีเดียวกันนั้นสติของฉันที่ยังนึกเรื่องปลายทางไว้ก็เริ่มพร่าเลือนเพราะใช้พลังเวทจนมากเกินไป
ทำให้ฉันแทบสลบ.. แถมท้องก็ยังดันมาร้องตอนนี้อีกทำให้หน้ามืดลงกะทันหัน.. แต่ก่อนที่ยังจะได้ตั้งตัวอะไร
ร่างกายฉันที่อยู่ในหลุมดำก็ราวกับถูกเหวี่ยงอย่างรุนแรง เหมือนกับว่าการข้ามมิติถูกบางอย่างแทรกแซงปลายทาง
คงเป็นเพราะฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเลยรู้ปลายทางของฉันมันถูกแทรกแซงโดยคลื่นพลังเวทลึกลับบางอย่าง
ฉันร้องเสียงหลงออกมาก่อนที่ร่างจะถูกเหวี่ยงข้ามห้วงมิติที่ฉันกำหนดปลายทางไว้… แถมเพราะการเหวี่ยงนั้นทำให้สติของฉันมืดดับลงอย่างกะทันหัน….
………
“ตู้ม!!”
หลุมดำแตกกระจายออกอย่างกะทันหันส่งผลให้ใต้หุยเหวลึกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพียงแต่ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว
เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า.. ไม่เหลือสิ่งใดใต้หุบเหวลึกอักต่อไป..