บทที่ 11 – ‘ความรักคือการให้’ …
หลังจากนั้นคุณราชินีก็เรียกฉันไปหาบ่อยๆ .. ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงที่ฉันพยายามจะช่วยจะเป็นองค์หญิงของอาณาจักรนี้
ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าเธอหรอกนะ แต่เพราะเธอบทน้อยด้วยนั่นแหละมั้งเธอคือพี่สาวของคู่หมั้นอนาสตาเซีย
จะว่าง่ายๆ ก็คือองค์หญิงนั่นแหละนะ ให้ตายสิ ฉันลืมหน้าองค์หญิงได้ไงเนี่ย.. และเหมือนองค์หญิงคนนั้นจะรู้สึกขอบคุณฉันมาก
จนกลายเป็นว่าตอนนี้ราชินีเรียกฉันไปหาอยู่ตลอด แถมเธอก็พูดแต่เรื่องข้อดีของเจ้าคู่หมั้นคนนั้นซึ่งเป็นลูกชายของเธอ
บอกว่าเขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังมาก.. บลาๆ เอาเถอะ ถ้าอนาสตาเซียในเกมโดนพูดกรอกหูแบบที่ฉันโดนอยู่ทุกวันเธอก็คงจะถูกทำให้ชอบเข้าได้จริงๆ ละมั้ง
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับฉัน.. ส่วนเรื่องที่ฉันหายตัวไปพึ่งกลับด้านคุณพ่อของฉัน.. หมายถึงของอนาสตาเซียก็เอาไปพูดคุยกับราชินีเองแล้ว
เหมือนเจ้าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพ่อนั่นน่ะ แค่เห็นฉันรอดกลับมาได้ก็โล่งอกแล้วไม่อะไรต่อแล้ว
นี่มันทำให้ฉันรู้เลยว่าเจ้าหมอนี่มองอนาสตาเซียเป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง แหม ถ้าเป็นพ่อปกติละก็เวลาแบบนี้ต้องตามหาคนร้ายอะไรแบบนั้น
แต่เขาแค่โล่งอกที่ฉันไม่ตาย มันก็เหมือนบอกเองนั่นแหละว่าแค่ฉันยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างที่ยุ่งยากก็ช่างมันเถอะ
ถ้าจำไม่ผิด.. เรื่องนี้ถูกเฉลยในภาคสองซึ่งเหมือนจะเฉลยว่า จริงๆ แล้วอนาสตาเซียทำตัวเอาแต่ใจแบบนั้นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อ
เธอขาดความอบอุ่น.. จะว่าไงดีก็ตามสูตรนิยายตัวละครลูกขุนนางเลยหยิ่งยโสโอหังเพราะได้ทุกอย่างเพียบพร้อม ถูกตามใจ ถูกเลี้ยงราวกับอยู่ในไข่
ของอนาสตาเซียก็เหมือนที่ว่ามา แค่อย่างสุดท้ายเธอไม่มี.. พ่อเธอไม่สนเธอด้วยซ้ำ..
ถ้าจำไม่ผิดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น้องต่างแม่ของอนาสตาเซียเอามาพูด.. แต่ตั้งแต่ฉันกลับมาฉันก็เหมือนไม่เห็นตัวละครที่เป็นน้องต่างแม่ในบ้านเลย
อันที่จริงน้องต่างแม่ของอนาสตาเซียก็เป็นตัวละครที่มีบทในภาคสองนู้นเลย.. และด้วยความที่ไม่ใช่ตัวเอก เกมเลยไม่ได้เล่าละเอียด
แน่นอนว่าเรื่องของอนาสตาเซียเช่นกัน.. ช่างเถอะ เรื่องในอนาคตก็ให้อนาคตจัดการตอนนี้ฉันต้องทนแบกรับความเหนื่อยล้าอย่างมหาศาล
ตั้งแต่วันปกติที่ต้องเรียน ฉันต้องเรียนมารยาทการบริหารเพื่อเป็นราชินีในอนาคต พอวันว่างฉันจะถูกเรียกเข้าไปพบกับราชินีเพื่อพูดคุย
การพูดคุยกับราชินีในโลกอื่นอาจจะทำให้ชีบิตคุณปลอดภัยขึ้น.. แต่ไม่ใช่ที่นี่ ฉันรู้สึกว่ายิ่งคุยกับราชินียิ่งยากจะถอนหมั้นมากขึ้น
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ในห้องของฉันที่ดูหรูหราพอสมควร.. ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมกับบ่นออกมาเบาๆ .. ห้องนี้กว้างมากตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ
แต่พอใช้ชีวิตไปสักพักก็ชินแล้ว
“น่าๆ อย่างน้อยเจ้าก็ได้สนิทกับราชินีของอาณาจักรนี้เลยนะ ถือว่าประสบความสำเร็จ ลองมองในแง่นี้ดูสิว่า ถ้าได้แต่งงานกับองค์ชายเจ้าจะได้บริหารประเทศเลยนะ เจ้าสามารถยึดครองประเทศนี้ได้แบบชอบธรรมเลยนะ”
“เธอก็พูดง่ายสิ!”
ฉันบ่นออกมา ฉันมันเป็นแค่พนักงานเงินเดือนที่ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนนะเฮ้ย จะให้มาบริหารประเทศก็เถอะ ใครมันจะไปทำได้ล่ะ
“อีกอย่างนะ ฉันเองก็ไม่อยากสปอยเธอหรอกนะ แต่ความจริงคนที่จะได้ขึ้นครองราชย์คือองค์ชายลำดับที่หนึ่งต่างหาก”
“เจ้ารู้ได้ไง?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วนะว่าฉันมาจากต่างโลก คิดว่าเดาอนาคตฉันจะทำไม่ได้หรือไง?”
“อืม.. ก็จริงแฮะ”
ฉันบอกเธอเรื่องที่ว่าฉันเป็นคนที่มาจากต่างโลก เพราะยังไงซะฉันในโลกนี้ก็ตัวคนเดียว คนเราต้องมีที่ระบายไม่งั้นมันจะระเบิดออกมา
ซึ่งคนที่ว่าก็คือสกาเล็ตนั่นแหละ แต่ฉันไม่บอกเธอนะว่านี่เป็นโลกในเกม.. ก็แหม ถ้าบอกแบบนั้นเธออาจจะช็อกก็ได้
ก็เธอน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในเกมใช่ไหมล่ะ ถ้าบอกว่ามีคนสร้างเธอมาเพื่อให้รู้สึกแบบไหนคิดแบบไหนมันคงน่ากลัวน่าดู
ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าโครงสร้างโลกนี้มันมาจากเกมจริงหรือเปล่า.. แต่ก็ดีกว่าที่จะบอกไปตรงๆ ละนะ
“ส่วนสาเหตุจริงๆ .. ถ้าให้ฉันนอนกับผู้ชายละก็ขอตายดีกว่า”
“นี่เจ้าจะเกลียดอะไรปานนั้น.. เอ่อ ข้าก็ไม่อยากคิดนะ.. แต่อย่าบอกนะว่าชาติก่อนเจ้าเป็นผู้ชาย?”
“ห๊า?”
“ก็แบบ.. เจ้าดูไม่อยากได้ผู้ชายสุดๆ ไปเลยนี่น่า”
“จะบ้าเหรอ ดูจากอิริยาบถของฉัน แล้วมีส่วนไหนที่เหมือนผู้ชายน่ะ?”
ฉันบ่นออกไปแบบนั้น สกาเล็ตคิดอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้นว่า..
“ไม่แต่งหน้าทาปาก ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบผู้ชาย ฯลฯ ”
“อืม.. แต่งหน้ากับเที่ยวนี่มันแล้วแต่คนนะ ส่วนไม่ชอบผู้ชายเธออย่าไปพูดในโลกเดิมฉันล่ะ เดี๋ยวโดนด่าว่าไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศนะ”
แ ล้วทำไมพวกเราต้องคุยเรื่องแบบนี้ให้จริงจังด้วยล่ะเนี่ย ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดต่อว่า
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันมีเหตุผลของฉันแล้วกัน”
“เอาที่เจ้าสบายใจละกัน.. ว่าแต่เจ้าจะไปไหน?”
ขณะที่ฉันพูด ฉันก็มีความคิดดีๆ หนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว ฉันลุกขึ้นแต่งตัวทันที จนทำให้สกาเล็ตถามออกมา
นอกหน้าต่างตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ซึ่งอันที่จริงมันก็ดึกมากแล้วล่ะ.. ฉันยังไม่ได้บอกสินะ
ตั้งแต่กลับมาที่นี่ ฉันไม่สามารถเรียนเวทมนตร์ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเวลาทั้งหมดฉันถูกโยนไปกับไอ้เรื่ององค์ชายบ้าบอคอแตกนั่นแหละ
ทำให้เวทมนตร์ที่เป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับฉันมากอยู่ห่างไกลจนแทบเอื้อมไม่ถึง ทั้งที่มองเห็นว่ามีอยู่ชัดเจน
แถมถ้าหากใช้เวทมนตร์เป็นฉันคงหนีออกจากบ้านเฮงซวยแบบนี้ไปนานแล้วล่ะ เพราะเวทมนตร์สำคัญกับการมีชีวิตในโลกนี้มาก
ดังนั้นฉันเลยทิ้งความหวังที่จะหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุแปดขวบ.. ฉันตั้งใจจะเข้าโรงเรียนลิเบอร์ที่เป็นจุดสตาร์ทของเกม
โรงเรียนลิเบอร์คืออะไร คือหนึ่งในห้าโรงเรียนเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้นั่นแหละ ส่วนสาเหตุว่าทำไมก็เพราะเรียนเวทมนตร์ได้
อีกอย่างถ้าเข้าที่นั่น ถ้าเรียนจบปีหนึ่งฉันสามารถบรรจุเป็นนักผจญภัยฝึกหัดได้..สถานที่ซึ่งเป็นทางหนีทีไร่ของฉัน!
เอาล่ะกลับมาปัจจุบันก่อน..
ตอนนี้ฉันแต่งตัวเสร็จก็เปิดหน้าต่างขึ้นช้าๆ ก่อนจะกระโดดลงไป ที่นี่เป็นชั้นสองก็จริงแต่เพราะใช้พลังมนตราที่สกาเล็ตให้มา
ซึ่งทำให้ฉันสามารถเหาะเหินเดินบนอากาศได้.. ในความมืดฉันแอบย่องไปทางปราสาทของราชวัง
“สรุปเจ้าจะไปทำอะไรกันแน่?”
“คอยดูเถอะน่า..”
ในโลกเดิมของฉันมีคนตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับเวทมนตร์เผ่ามนุษย์ไว้อยู่ โลกนี้มันมีแนวคิดเปรียบว่าพลังเวทคือน้ำในแก้ว
สำหรับมนุษย์นั้นค่อนข้างมีน้ำในแก้วน้อย.. แต่ว่าแก้วนั้นก็ไม่ได้เล็กใช่ไหมล่ะ ว่าง่ายๆ มนุษย์มีร่างกายที่เป็นภาชนะซึ่งสามารถเพิ่มพลังเวทได้อีก
เพียงแต่ว่าการเพิ่มพลังเวทล่ะ จะทำยังไง.. พวกเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาได้ตอนฝึกรินน้ำชา
ในอากาศเรานั้นมีไอน้ำบางๆ ลอยอยู่เสมอ แต่ถ้าเราเอาแก้วไปตั้งไว้ไม่มีทางที่ไอน้ำจะมาเติมเต็มกลายเป็นน้ำในแก้ว
นั่นหมายความว่าฉันน่ะไม่สามารถเพิ่มพลังเวทโดยการดูดเอาพลังเวทรอบตัวมาใช้ได้ เพราะมันเบาบางจนเกินไปหากไม่มีเครื่องช่วยน่ะ
แต่แล้วเราจะเอาไอน้ำจากอากาศทำไมในเมื่อเราก็มีน้ำจากที่อื่นรอบตัวเช่น.. พลังเวทในตัวของคนอื่นนั่นเอง
ใช่แล้วเราก็แค่เอาน้ำในแก้วจากแก้วคนอื่นมาเติมใส่ในแก้วเราก็พอ.. แถมเวทมนตร์นั้นจะฟื้นกลับมาเองเสมอ
นั่นหมายความว่าไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกายตัวเองหรือคนที่ถูกดูด..
ถูกต้องแล้วนี่มันแนวคิดของการเพิ่มพลังเวทของมนุษย์.. ถึงจะไม่รู้คนในโลกนั้นเขียนทฤษฎีมาทำไมก็ตาม..
แต่ข้อหาที่ทำให้ฉัน… ไม่มีเวลาว่างเลย ฉันจะไปดูดพลังของเจ้าองค์ชายที่เป็นคู่หมั้นซะเลย!
แถมไม่เป็นอันตรายต่อเขาหรอกเพราะไม่นานพลังเวทก็เพิ่มขึ้นมาเองแหละ.. ใช่ไหมล่ะ? ถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเขาอาจจะเหนื่อยๆ ก็เถอะ
แต่องค์ชายไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว!
นี่สิ การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
ฉันต้องทนเรียนหนักเพราะเป็นคู่หมั้นองค์ชาย
องค์ชายต้องทนโดนดูดพลังเวทเพื่อให้ฉันอยู่รอดในวันข้างหน้า
ไม่สิ.. แบบนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
ระ.. หรือว่า
นี่คือ…ความรัก?
“บอกไว้ก่อนนะ อนาสตาเซีย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่จากรอยยิ้มของเจ้าข้ามั่นใจว่าสิ่งที่เจ้าคิดอยู่ตอนนี้มันไม่ถูก”
“ก็ ‘ความรักคือการให้’ ไม่ใช่หรือไง”