บทที่ 30 – เอวา เรส แองเจลี่
“เฮ้ เดี๋ยวสิ เจ้าน่ะตอบสนองแบบนั้นมันหมายความว่าไงกันห้ะ!”
ตอนนั้นเองผู้หญิงที่นั่งอยู่ในมาดของผู้เหนือกว่าในตอนแรกก็กลายเป็นเด็กสาวที่หงุดหงิดพุ่งพรวดเปิดประตูกลับมาพูดกับฉัน
“เวลาแบบนี้ต้องตอบแบบว่า ‘ในที่สุด.. เจ้าก็ปรากฏตัวต่อหน้าข้าเสียที สหายข้า ข้ารอเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว’ ไม่ใช่หรือไงกัน!”
“หลุดคาร์แร็คเตอร์แล้วนะนั่น แม่คุณ”
ฉันกระซิบบอกไปเบาๆ เหมือนเจ้าตัวจะพึ่งรู้สึกตัวก็รีบเปลี่ยนท่าทางของตัวเองอย่างว่องไวพร้อมกับพูด
“สมกับเป็นสหายเก่าข้า สามารถเข้าใจถึงการแสดงของข้าด้วย”
ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้คือหลุดการแสดงจูนิเบียวของเ ธอหรอกเหรอ แต่มาบอกว่านั่นเป็นการแสดงเนี่ยนะ
ฉันได้แต่กุมขมับด้วยความปวดหัว พอมามองเธอดีๆ แล้ว เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวเดียวกับฉัน
ไว้ผมทรงทวินเทล ผมสีขาวอมไข่ของเธอนั้นทำให้ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ผ้าปิดตาของเธอไม่ใช่ผ้าปิดตาแบบทั่วไป
แต่รูปทรงของผ้าปิดตามันเหมือนปีกผีเสื้อสีดำเลยล่ะ ซึ่งบอกตามตรงถ้าคนตาบอดจริงก็คงไม่ใช้ผ้าปิดตาแบบนี้กันหรอก
เธอสวมชุดโกธิคที่พวกจูนิเบียวชอบใส่กัน ไม่รู้ว่าชุดแบบนี้ในโลกนี้เรียกว่าอะไรหรอกนะ แต่ในโลกเดิมมันเหมือนไม่ใช่ชุดที่คนธรรมดาจะใส่กันเดินเล่น
แต่ในโลกนี้ชุดโกธิคเหมือนจะมีให้เห็นกันบ่อยพอสมควรเลยล่ะ สมกับเป็นโลกแห่งแฟนตาซีที่สร้างมาเพื่อสนองความต้องการของคนในโลกก่อนฉัน
“เข้าใจแล้วๆ ฉันมีชื่อว่า อนาสตาเซีย.. อนาสตาเซีย เจน ไลล่าร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
พอฉันแนะนำตัวแบบนั้นเสร็จก็เข้าไปในห้องยังไงซะเธอก็เป็นรูมเมจ อีกอย่างถึงจะบ่นว่าสาวแบบนี้ในโลกนี้จะเยอะไปไหม
แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ แค่รับมือยากไปหน่อยน่ะนะ
“แบบนี้เองสินะ สมกับเป็นสหายแห่งข้าสามารถซ่อนตัวตนของตนเองให้แนบเนียน แต่กลับแอบบอกชื่อตนเองในชาติก่อนเพื่อตามหามิตรสหายสินะ!”
ถึงจะไม่เข้าใจว่าพูดถึงเรื่องอะไรก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่สามารถนึกตามคนที่มีจินตนาการเปิดกว้างแบบคนจูนิเบียวได้หรอกนะ
แต่เธอก็ยังคงพูดต่อไป
“ตัวข้านั้นมีนามว่า เอวา เรส แองเจลี่ ใช่.. ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ สหายแห่งข้า ไม่คิดว่าในที่สุดก็ได้เจอเสียที”
“เดี๋ยวสิ ที่ว่าเหมือนกันนี่ฉันเหมือนอะไร?”
ฉันรู้สึกสงสัยเล็กน้อยก็เลยถามออกไปแบบนั้น จะบอกว่าชื่อเหมือนกันเหรอ ก็ไม่นี่น่า ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่เธอกำลังบอกกับฉันคือเรื่องอะไร
แต่ว่าพอฉันถามออกไป เจ้าตัวก็หัวเราะออกพร้อมกับกล่าวถาม
“นี่เจ้ายังไม่ยอมเชื่ออีกสินะว่าข้าคือใคร ก็ได้.. ข้าจะบอกความคิดของเจ้าเอง จะได้พิสูจน์ว่าพวกเราคือมิตรสหายที่แท้จริง”
“เจ้าในชาติก่อนกับข้านั้นเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนาน ผ่านพ้นอะไรมาด้วยกันมากมาย”
“เพื่อตามหาเจ้าที่หายตัวไป ข้าถึงได้ออกตามหาไปทั่วจนประสบเคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิต เมื่อถึงตอนนั้นก็ราวกับเทพสวรรค์ได้ให้โอกาสข้าตามหาเจ้าอีกครา”
“อนาสตาเซีย.. ไม่สิ.. เจน เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ?”
“สาเหตุที่เจ้าตั้งชื่อกลางว่า ‘เจน’ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการให้ข้า เอวา.. ไม่สิ เรสคนนี้ตามหาเจ้าจนเจออย่างงั้นหรอกหรือ ?”
พอเธอพูดแบบนั้นออกมาฉันก็สะดุ้งเล็กน้อย.. เดี๋ยวนะ ชื่อกลาวนี่ฉันไม่ได้ตั้งเองสักหน่อยนะ
เพราะว่าชื่อกลางในโลกนี้เป็นเหมือนชื่อ ‘บ้าน’ ของตระกูล.. เพราะตระกูลขุนนางค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่ในแต่ละตระกูลยังมีการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล
โดยภายในตระกูลจะแบ่งเขตการปกครองเป็นหลายๆ เขต ซึ่งแต่ละเขตจะเป็นของคนแต่ละบ้าน ซึ่งฉันเป็นคนบ้านหลัก หรือบ้านที่เรียกว่า ‘เจเนเลฟ’
ย่อว่า เจน จึงมีชื่อเจนเป็นชื่อกลางนั่นเอง.. นั่นหมายความว่าชื่อกลางนี้ฉันไม่ได้เป็นคนตั้งเองหรอก
ใช่.. แต่ว่า.. ประเด็นฉันเป็นคนที่นึกชาติก่อนได้จริงๆ ถึงจะจำไม่ได้ว่าตัวเองตายหรืออะไรยังไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้
แต่ฉันมั่นใจว่าฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอย่างแน่นอน นั่นจึงเหมาะสมที่จะเรียกฉันในโลกเดิมว่า ‘ชาติก่อน’
ถึงแม้คำพูดของเอวาจะดูบ้าๆ บอๆ ไปหน่อยแต่ฉันในชาติก่อนก็มีชื่อว่าเจนจริงๆ .. แล้วก็ฉันก็เคยรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเรสจริงๆ
เธอเป็น…เพื่อนสมัยเรียนของฉันจนขึ้นมหาลัย ล่าสุดที่จำได้คือพวกเราไม่ได้ติดต่อกันแล้วแถมเธอเองก็มีลูกไปแล้วด้วย
พอนึกถึงเรื่องที่เธอพูดที่บอกว่าเราเป็นมิตรสหายสนิทกัน แต่ฉันกับเรสก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหรอก
นั่นหมายความว่าเอวาก็คงจะเป็นจูนิเบียวขั้นสุดแล้วพูดออกมาแบบมั่วๆ แล้วดันตรงประเด็นจริงๆ ฉันส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
นึกว่าจะเจอคนที่มีชะตากรรมเดียวกันแล้วเสียอีก แต่เหมือนกับว่าตัวของเอวาจะสังเกตเห็นความผิดหวังของฉัน
เธอจึงรีบพูดต่อขึ้นมาว่า
“เอาเถอะ.. ในมุมมองของเจ้าพวกเราในชาติก่อนอาจจะไม่สนิทกันขนาดนั้นจนพวกเราต้องแยกทางกัน แต่ข้าในชาติก่อนคิดกับเจ้ามากกว่าคำว่าเพื่อนด้วยซ้ำ”
“แต่น่าเสียดายที่เจ้าดันมีคนรักแล้ว ข้าจึงทำได้เพียงแต่ยอมแพ้และถอยห่างออกมา”
เธอรีบพูดออกมาแบบนั้นฉันก็ตกใจเล็กน้อย.. จะว่าไปตอนที่เรสจากไปก็เป็นตอนที่ฉันเริ่มคบกับคนคนหนึ่งนี่น่า
เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ถ้าเป็นงั้นจริงเรสก็เป็นเลสเบี้ยนน่ะสิ แล้วทำไมเธอถึงไปแต่งงานกับผู้ชาย เอ๊ะ.. หรือว่าเธอเป็นไบเซ็กชวล ?
เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อนแบบนี้ก็หมายความว่าเอวาคือ เรสจริงๆ น่ะสิ.. แต่ไม่สิ ถ้าเป็นเรสจริงทำไมเธอถึงใช้คำพูดเฟ้อซะเป็นจูนิเบียวล่ะ
อายุของเธอก็เป็นแม่คนแล้วนี่น่า..
แต่ในตอนนั้นเอง เอวาก็เดินหันหลังให้ฉันทำให้ทุกอย่างตกอยู่ใต้ความเงียบ ไฟที่จุดตอนแรกก็ค่อยๆ มอดดับลงมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สาดมาทางหน้าต่างเท่านั้นที่เป็นแสงสว่างซึ่งปัดเป่าความมืดในห้องนี้
เอวาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้น
“แสงตะวันคือแสงที่มอบความอบอุ่น แสงตะวันจันทราคือแสงปัดเป่าราตรี”
ฉันถึงกับเบิกตากว้าง.. ไอ้นั่นมันสมัยฉันยังเบียวๆ ที่เคยเขียนตอนมัธยมต้นลงในหนังสือเรียน ฉันนึกขึ้นมาได้เพราะตอนนั้นอากาศร้อนมาก
แต่เพราะความจูนิเบียวฉันเลยอยากจะทำให้ดวงอาทิตย์มันดูเจ๋งๆ บ้างก็เลยเขียนคำนี้ลงไปในหนังสือเรียนนั่นเอง
และเรสก็ยืมหนังสือไปทำการบ้าน .. ซึ่งไอ้ตัวฉันก็ลืมว่าตนเองเขียนอะไรปัญญาอ่อนลงไป ถึงถามเรสตอนนั้นเธอจะตอบว่าไม่เจห็นอะไรก็เถอะ
แต่หนังสืออยู่ในมือเธอตั้งหนึ่งวัน.. ฉันเดาว่ายังไงเธอก็เห็นแน่นอน พอเอวาพูดคำพูดนั้นออกมาน้ำตาฉันก็ไหลพราก
“เธอ…. เธอคือเรสคนนั้นจริงๆ ยังงั้นเหรอ”
เอวาหันกลับมาหาฉันพร้อมกับยิ้มตอบ แม้คำพูดจะดูเบียวๆ ไปหน่อยก็เถอะนะแต่คำพูดของเธอก็ดูเป็นจริงในสายตาฉันมากขึ้น
“ในที่สุด.. ก็ยอมเชื่อใจตัวข้าแล้วสินะ เจน.. ไม่สิ อนาสตาเซีย!ในที่สุดข้าก็หาเจ้าจนเจอ ข้าตามหาเจ้ามาตลอดสิบกว่าปี”
“ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเจอเธอเหมือนกัน… แต่ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? ถ้าเธอเองก็มาเกิดใหม่ได้ก็หมายความว่าอาจจะมีคนอื่นอีกงั้นเหรอ”
เอวาส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย ก็นะเธอเป็นคนมีเพื่อนเยอะกว่าฉันมาก.. แถมมีเธอมีทั้งลูกให้เลี้ยง
แต่ดันมาด่วนประสบอุบัติเหตุจนตายนี่.. เธอคลคิดถึงทั้งเพื่อน และลูกของเธอมากแน่ๆ เธอส่ายหน้าตอบฉัน
“ตัวข้าเองก็ไม่รู้ แต่หลายปีที่ผ่านมาข้ากลับไม่เคยเจอใครเลย.. และคนแรกที่เจอก็คือเจ้านั่นแหละ ถ้าหากพวกเรารวมตัวกันได้คงสามารถหาทางออกจากปัญหานี้แน่ๆ ”
หมายถึงถ้ารวมตัวกันได้จะเจอทางกลับไปโลกเดิมสินะ นั่นก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงจากคำพูดเอวาเหมือนเธอจะมาเกิดใหม่ได้เพราะเทพสินะ
เทพในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ บนแดนสวรรค์จะมีเพียงเทพบางคนเท่านั้นที่ลงมาบนโลกนี้เพื่อทำสัญญา
เมื่อสิ่งมีชีวิตทำพันธสัญญาเทพกับเทพสักองค์แล้ว พวกเขาจะได้รับพลังอะไรแบบนั้น และสาเหตุที่มาเกิดใหม่ได้คงเป็นเพราะเทพที่ควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดบนสวรรค์ให้โอกาสนั่นแหละ
ส่วนปัญหาที่ว่าก็คงเป็นปัญหาที่ว่าตอนนี้เราอยู่ในเกมสินะ
“นั่นสินะ ตามที่เธอว่าถ้ามีคนอื่นอีกและสามารถรวบรวมมาได้เราอาจจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ก็ได้”
“สมกับเป็นสหายแห่งข้า เจ้าเองก็ทราบถึง ‘ปัญหา’ นี้เช่นกันสินะ”
“แน่นอนสิ… ว่าแต่หลังจากฉันหายตัวไปในโลกเดิมเกิดอะไรขึ้นเหรอ ?”
พอฉันถามออกไปแบบนั้นเธอก็ดูประหลาดใจอยู่สักพัก… ก่อนจะถามขึ้น
“พูดเรื่องไรอ่ะ ?”
“ห้ะ..?”
ห้ะ.. อะไรนะ
ว่าแต่วันนี้ฉันพูด ‘ห้ะ’ ไปกี่รอบแล้วเนี่ย!