บทที่ 31 – จูนี่ เดอ แองเจลี่
“อ้อ หมายถึงเรื่องนั้นสินะ ทุกคนวุ่นวายกันใหญ่เลยล่ะ”
พอฉันแสดงสีหน้าสับสนออกไป ทางฝั่งของเอวาก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้เธอก็พูดออกมาดังนั้น
อะไรกัน เมื่อครู่นี้ฉันนึกว่าเอวาไม่ใช่เรสไปชั่วครู่หนึ่งจริงๆ เข้าให้เลยล่ะ แต่เหมือนเธอจะเป็นตัวจริงสินะ
ค่อยยังชั่ว เกือบเล่าความลับของตัวเองให้คนแปลกหน้าซะแล้วสิ ไม่สิ.. ตอนเล่าให้สกาเล็ตฟัง ฉันกับเธอก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนี่นะ
“จะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ”
คนที่พูดขัดฉันคือสกาเล็ต เหมือนเธอจะไม่เชื่อในความคิดของฉันเท่าไหร่ ฉันเลยถามด้วยความสงสัย
“หมายความว่าไง?”
“เปล่าหรอก ข้าแค่คิดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดหรอก”
“ไม่หรอก.. เรื่องอื่นอาจจะบังเอิญได้ แต่ข้อความที่เขียนในหนังสือเรียนตอนอยู่โลกเดิมของฉันน่ะ มันไม่มีทางจะเหมือนเป๊ะได้ขนาดนี้หรอก”
“….”
สกาเล็ตขมวดคิ้วเล็กน้อยต่อความคิดของฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเธอเลย ฉันหันกลับมาคุยกับเอวาต่อ
“ว่าไปแล้ว ทำไมวิธีการพูดของเธอถึง….”
ก็ไม่อยากจะพูดออกไปตรงๆ กับเพื่อนที่เคยสนิทหรอกนะ แต่วิธีการพูดที่เหมือนพวกจูนิเบียวของเธอทำให้ฉันสับสนจริงๆ
ถ้าเธอไม่พูดแบบนี้ฉันอาจจะเชื่อตั้งแต่บอกว่ารู้จักกันมาในชาติก่อนแล้วแท้ๆ แถมเธอก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย
ถ้าพูดอะไรแบบนี้ทั้งๆ ที่อายุจิตอาจจะมีมากกว่าที่ตาเห็น เธอไม่รู้สึกอายเลยงั้นเหรอเนี่ย..
“ถามออกมาแล้วสินะ สหายแห่งเรา เมื่อกี้เจ้าพึ่งถามออกมาสินะ!”
“อ่ะ.. เอ่อ.. ก็ใช่อยู่หรอกนะ”
หน้าตาของเอวาดูดีใจมาก ดีใจจนเหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครเคยถามคำถามนี้กับเธอเลยล่ะ
ก็นะ.. ในโลกนี้คนประเภทจูนิเบียวอาจจะมีให้เห็นเป็นปกติก็ได้ เพราะงั้นวิธีการพูดแปลกๆ ของเธอเลยไม่มีคนถาม แต่เพราะฉันมีสามัญสำนึกจากอีกโลก
ซึ่งถูกปลูกฝังแนวคิดคำว่า ‘จูนิเบียว’ เป็นพวกบ้าๆ บอๆ มาก็เลยคิดว่าแบบนี้มันไม่ปกติเลยเผลอถามออกไปนั่นแหละ
แต่ในขณะที่ฉันคิดอะไรแบบนั้นอยู่ ฝั่งเอวาก็เริ่มสาธยายเรื่องราวของตนเองแล้ว…
“เมื่อสมัยที่ข้ายังเป็นเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบ.. ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนี้ นั่นสินะ.. ถ้าจะให้เล่ามันก็คงเริ่มจากวันนั้นนั่นแหละ”
ว่าแล้วเธอก็เริ่มสาธยายความเป็นมาของเธอ…
…….
อาณาจักรสลัม.. อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ใจกลางขั้วอำนาจทั้งสามอย่างเผ่าปีศาจ มนุษย์และกึ่งมนุษย์
อาณาจักรแห่งนี้กินพื้นที่ทั้งสามเขตแดนของเผ่า ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีประชากรของทั้ง ปีศาจ มนุษย์และกึ่งมนุษย์
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าประชากรในอาณาจักรนี้นั้นมีมากกว่าที่อื่น เพราะที่แห่งนี้ไม่เหมือนเขตไร้อาณาหรืออาณาจักรใดๆ
เพราะที่แห่งนี้เป็นเพียง ‘ถังขยะ’ ที่ทั้งสามดินแดนเอาสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการมาทิ้ง ที่นี่ไม่มีทั้งผู้ดูแลหรือราชา
ที่ถูกเรียกว่าอาณาจักรเพราะว่าที่แห่งนี้มีหมู่บ้านสลัมอยู่มากมาย พออยู่ใกล้กันผู้คนจึงขนานที่แห่งนี้ว่า ‘อาณาจักรสลัม’ หรือของเหลือจากมหาอำนาจ
ด้วยความที่ไม่มีเขตปกครอง ไม่มีการดูแล ทำให้อาณาจักรสลัมไม่มีทั้งการหมุนเวียนหรือค้าขาย ผู้คนไม่ได้ฉลาด
นำพาดินแดนไปสู่ความแห้งแล้ง เต็มไปด้วยความอดอยาก ไม่เพียงแค่นั้นในอาณาจักรแห่งนี้ยังมีสารเสพติดประเภทหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยม
ว่ากันว่าเมื่อเสพมันแล้ว มันจะทำให้เราเห็นสรวงสวรรค์ที่ไม่อาจหาเจอในดินแดนแห่งนี้ได้..
ใช่ เอวา เธอเกิดมาในที่แห่งนี้นั่นแหละ เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อ.. แต่เธอรู้ว่าคนที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในดินแดนทุรกันดารแห่งนี้คือพ่อของเธอ
พ่อของเธอแอบไปมีอะไรกับแม่ของเธอ จนท้อง.. และพ่อของเธอเหมือนจะแต่งงานเข้าตระกูลพ่อค้าหนึ่ง ซึ่งหากเรื่องนี้รู้ถึงหูภรรยาหลวงของพ่อเธอ
พ่อเธอคงจะถูกประหาร ดังนั้นพ่อเธอจึงไล่แม่เธอออกจากอาณาจักรมานั่นเอง แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจหรอก
เธอเข้าใจเพียงแค่ว่าแม่ของเธอด่าพ่อทุกวันเท่านั้น แน่นอนเธอ ณ ปัจจุบันเองก็ไม่เข้าใจ คนที่เข้าใจเรื่องนี้คืออนาสตาเซียและสกาเล็ตที่ฟังอยู่
และแน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้มารดาเธอตกมาอยู่ในสถานการณ์นี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอด้วยเช่นกัน
เพราะแบบนั้นมารดาของเธอจึงไม่เคยแสดงความรักต่อเธอเลย แต่ทว่าเด็กสาวเอวาก็ไม่เคยเกลียดผู้เป็นมารดา
แม้อนาสตาเซียที่ฟังมาถึงตรงนี้จะเข้าใจว่า ที่ไม่เกลียดก็เป็นเพราะเอวาผ่าประสบการณ์ที่เคยเป็น ‘เรส’ มาก่อน
แต่ความจริงแล้วเอวานั้นใสซื่อกว่านั้นมาก สาเหตุที่เธอไม่เคยเกลียดนั่นเป็นเพราะว่ามารดาเธอไม่เคยทิ้งเธอเลยสักครั้ง
แน่นอนว่าเธอที่เป็นเพียงเด็กตาดำๆ ก็ไม่สามารถทำไรเองได้ ก็ถูกแม่โยนของให้หยิบกินเอง และของกินก็ล้วนแล้วแต่เป็นของเหลือเท่านั้น
แต่คนในที่แห่งนี้ไม่ใช่กินเพื่ออร่อยหรืออิ่ม แต่กินเพื่ออยู่รอด เธอมีชีวิตอยู่ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นมาตลอดจนเติบใหญ่
เวลาผ่านไป แม่ของเธอเริ่มติดสารเสพติดที่ทำให้เห็นสวรรค์บนดิน ทำให้บุคลิกของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
นิสัยของเธอก้าวร้าวยิ่งกว่าเดิมถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือทำร้ายเด็กสาวเอวาด้วย.. นั่นคือผลเสียของสารเสพติดชนิดนี้
มันจะทำให้คนกลายเป็นคนหุนหันพลันแล่นได้ ยิ่งมารดาของเด็กสาวเป็นคนขี้หงุดหงิดเพราะถูกผู้ชายทิ้งยิ่งทำให้เธอรุนแรงกว่าเดิม
ในเวลานั้นเด็กสาวเอวาก็ได้รู้ถึงความจริงอันโหดร้าย.. นั่นแค่มารดาของเธอที่ยังเลี้ยงเธอไว้เพราะต้องการจะเอาไปขายให้กับคนอื่น
เพื่อที่จะได้เงินดีๆ มารดาของ เธอไม่กล้าทำร้าย ‘สินค้า’ ของตนเองได้ ใช่แล้วสำหรับมารดา เอวาไม่ต่างจากหมูในอวยที่ขุนไว้รอฆ่า
เมื่อเด็กสาวที่ทราบถึงความจริงอันโหดร้าย เธอก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสาอีกแล้ว เธอเสียใจและผิดหวังอย่างมากจนเธอหนีออกจากบ้านมา
จนกระทั่งเธอวิ่งไปชนกับพวกคนชั่วเขา.. เธอในตอนนั้นอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น พวกมันจ้องเธอด้วยสายตาโลภมาก
สำหรับดินแดนไร้กฎแห่งนี้ เด็กที่เดินอยู่คนเดียวไม่ต่างจากก้อนเนื้อที่พร้อมจะถูกปล้น.. และในวินาทีนั้นเองเธอที่กำลังจะถูกจับก็ถูกคนคนหนึ่งได้ช่วยเอาไว้
คนคนนั้นวิธีการพูดเหมือนกับเอวาในทุกๆ วันนี้
“คุณเป็นใครงั้นเหรอคะ?”
“ข้าเหรอ.. นั่นสินะ จงเรียกข้าว่าผู้พิชิตความชั่วร้ายนามของข้าคือ จูนี่!”
“เอ๊ะ หมายความว่าไงงั้นเหรอคะ?”
“หมายความว่าไงอย่างงั้นเหรอ จุ๊ๆ เด็กน้อยเจ้ามิอาจเข้าใจภารกิจอันใหญ่ยิ่งของข้าผู้ก้าวข้ามห้วงแห่งความเป็นผู้โดดเดี่ยวเช่นข้าได้หรอก”
หญิงสาวคนนั้นเธอมีอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น แต่พลังที่เธอต่อยคนชั่วนั้นเหลือหลายอย่างมาก
‘จูนี่’ พูดเสร็จก็พยายามนึกถึงคำพูดที่จะพูดให้เด็กน้อยเข้าใจ
“นั่นสินะ ในฐานะที่พวกเราเป็นสหายกันมาตั้งแต่เนิ่นนานมาแล้ว ข้าจะบอกความจริงอันน่าพิศวงให้เจ้าได้รับทราบ”
“ข้าคือตัวแทนแห่งเนตรเทวะ ปีกขวาแห่งพระผู้เป็นเจ้า.. ใครก็ตามที่มันทำความชั่ว ข้าจะจัดการมันให้หมดสิ้นในนามของปีกขวาแห่งพระเจ้า”
“ข้า จูนี่ เดอ แองเจลี่ ปีกขวาแห่งพระเจ้า ผู้ข้ามผ่านวัฏจักรแห่งความตาย”
วินาทีที่คำพูดเหล่านั้นดังขึ้น เสียงมันกึกก้องอยู่ในจิตใจของเด็กสาวนามเอวา ราวกับว่าจิตใจของเธอโดนแสงสว่างมากมายถาโถมใส่ความมืดมิดที่เกาะกุมหัวใจ
คำพูดที่ไร้ขีดจำกัด ไม่กรอบลิมิต คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความเชื่อมั่น… ใช่แล้ว นี่ต่างหากคือความเชื่อมั่น
หาใช่ความเชื่อมั่นที่มีความจริงแสนหลอกลวงซ่อนอยู่ แต่เป็นความเชื่อมั่นที่ไม่อาจหาความจริงจากมันได้
แต่กลับยังคงยึดถือ.. มันช่าง… สว่างเกินไปสำหรับเธอเหลือเกิน ดวงตาของเอวาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
“ข้าจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า?”
“แน่นอน.. ข้าเคยบอกไว้แบ้วว่าเจ้าคือสหายแห่งข้าจากอดีตกาลนานแสนนานมาแล้ว เจ้าเอง.. ในสักวัน.. เจ้าจะตื่นขึ้นมาในฐานะของปีกซ้ายของพระเจ้าและรับเนตรเทวะอันเป็นสัญลักษณ์แห่งตัวแทนพระเจ้า!”
“จริงเหรอ?!”
“แน่นอน! แต่จงอย่าลืมเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเจ้าจะสูญเสียดวงตาซ้ายแห่ง ‘มนุษย์’ สิ่งที่เจ้าจะได้รับมาคือเนตรเทวะแห่งปีกซ้าย!”
จูนี่ หญิงสาวผู้อ้างตนว่าเป็นปีกขวาของพระเจ้า เธอหันหลังให้เด็กหญิงแล้วกล่าวขึ้น..
“ไว้เจอกันใหม่.. ในโลกที่พวกเราวาดฝัน!”
“เดี๋ยวสิ… คุณ.. ไม่สิ ท่านจูนี่แล้วเราจะเอาอะไรมาตัดสินว่าคนนั้นมันเป็นคนดีหรือคนชั่วล่ะ”
ขาของจูนี่หยุดชะงัก เธอเพียงหันหางสายตากลับมามองพร้อมกล่าวขึ้น
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราเพียงส่งมันไปหาพระผู้เป็นเจ้าให้ตัดสินเท่านั้น”