บทที่ 32 – Big Event #1
อืม.. ทำไมประวัติของเธอมันดูมืดมนสุดๆ เลยแฮะ ถึงเจ้าตัวจะเล่าด้วยน้ำเสียงสดใสแบบประมาณว่า เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงได้เป็นแบบนี้
อาจจะเพราะผลกระทบจากสิ่งที่เจอมาเลยทำให้เจ้าตัวมีบุคลิกที่แตกต่างออกไปสินะ ฉันไม่ได้ติดใจอะไรหรอกนะ
แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ไอ้คนที่ชื่อ ‘จูนี่’ นั่นน่ะ ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นจูนิเบียวชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวของเอวาโดนแรงกดดันจากแม่รวมถึงมีความเจ็บปวด บางทีเธอคงไม่ได้สนใจแนวคิดของคนที่ชื่อจูนี่นั่นเลยล่ะ
ก็นะ เพราะเอวาในชาติก่อนก็มีลูกแล้วนี่น่า พอมาชาตินี้โดนทำเรื่องโหดร้ายใส่ และอาจจะเป็นเพราะเธอรู้สึกโดดเดี่ยวนั่นแหละ
เลยทำให้เธอต้องมีบางอย่างยึดเหนี่ยวจิตใจ แถมเหมือนเอวาที่เป็นเรสในชาติก่อนเธอจะไม่รู้จักเกมจีบหนุ่มเกมนี้ด้วย
ก็แหม ถ้าเธอรู้จัก เธอคงสามารถใช้เวทมนตร์โกงๆ ได้แน่เพราะเธอก็ไม่ใช่คนโง่ อย่าลืมว่าเวทมนตร์โลกนี้คือการแทรกแซงเหตุการณ์โดนอาศัยความรู้เป็นหลัก
แต่เพราะเธอไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นทำให้เธอไม่สามารถโกงแบบฉันได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าตอนเธอเกิดมาในโลกนี้เธอคงโดดเดี่ยวเดียวดายมากเลยล่ะ
นี่ถ้าฉันไม่รู้ว่านี่คือโลกเกม และไม่มีสกาเล็ตมาเป็นเพื่อนคุยบางทีฉันในตอนนี้อาจจะกำลังนั่งงอแง ไม่เอาไหนอยู่ก็ได้
“เอ๊ะ แล้วเธอมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ได้ยังไงน่ะ?”
“ฟี้~”
พอฉันถามออกไปแบบนั้นเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงลมหายใจที่สงบนิ่งเป็นจังหวะของเอวา
หลับไปซะงั้น เอาเข้าจริงบทนี้ควรจะเป็นบทของฉันที่ฟังเรื่องเธอเล่าจนผล็อยหลับไปไม่ใช่หรือไง แต่ที่ไม่หลับเพราะยังไม่ง่วงด้วยแหละ
อีกอย่างใครมันไปฟังเรื่องโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงแบบนั้นแล้วรู้สึกง่วงได้กันล่ะ
ฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียงพร้อมกับย่อยข้อมูลที่เอวาเล่าเมื่อสักครู่นี้ดีๆ .. จากที่ฉันเข้าใจแม้จูนี่จะเป็นแค่คนจูนิเบียวพูดเพ้อไปทั่ว
ไม่ว่าจะส่งคนไปหาพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าตัดสินอะไรนั่นก็ตาม ถึงเธอจะพูดแบบนั้นจริงๆ ก็เถอะนะ แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำจริงหรอก
ก็แหม.. ขนาดโจรชั่วที่พยายามจะลักพาตัวเอวา คนที่ชื่อจูนี่ยังไม่ได้ฆ่าเลยแค่ทำให้สลบเท่านั้นเองนี่น่า
เพราะงั้นแหละถึงจูนี่จะพูดอะไรที่เพ้อเจ้อและดูน่ากลัว แต่โดยรวมเธอก็ไม่น่าจะใช่คนไม่ดี อีกอย่างเธอก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เอวาด้วยนี่นะ
แถมเหมือนนามสกุล ‘แองเจลี่’ กับชื่อกลาง ‘เรส’ ของเอวาจะคิดขึ้นมาเองชื่อเธอในตอนแรกมีเพียงแค่เอวานั่นแหละ
ส่วนนามสกุลก็มาจากผู้หญิงที่ชื่อจูนี่ ในขณะที่ชื่อกลางของเธอก็ใช้เป็นชื่อของตัวเองในชาติปางก่อน
แค่นี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าชื่อกลางของเธอไม่ได้บังเอิญไปเหมือนชื่อในโลกเดิมของตัวเอง เหมือนกับฉันละนะ
“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ สกาเล็ต?”
“เจ้าหมายถึงอะไรเหรอ? ผู้หญิงที่มีนิสัยแปลกๆ ชื่อจูนี่หรืออะไร?”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย”
เอาจริงเท่าที่ฉันจับใจความความหมายของผู้หญิงที่ชื่อจูนี่ได้มีแค่อย่าเป็นคนชั่ว และคอยช่วยเหลือคนอื่น
เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าคนนั้นควรอยู่หรือควรตาย คนที่ตัดสินคือพระเจ้าไม่ใช่เรา หรือในอีกความหมายก็คือจับมันขังคุก
หลังจากนั้นก็เพียงรอคำตัดสินจากพระเจ้าว่ามันจะตายแบบไหนดี ช็อกตาย หายสาบสูญ อะไรก็ว่าไป
แต่อย่างว่าแม้โลกนี้จะมีเทพธิดาหรือเทพ แต่ก็ไม่เคยมีตัวตนที่ชื่อว่า ‘พระเจ้า’ อยู่ กล่าวคือเท่าที่ฉันเข้าใจคำพูดสุดโต่งของสาวจูนิเบียว..
เธอแค่บอกว่าให้จับคนที่รังแกคนอ่อนแอเข้าซังเตซะให้หมดนั่นแหละ
“แล้วเจ้าหมายถึงอะไร?”
“ฉันหมายถึงไอ้อาณาจักรสลัมนั่นต่างหาก..”
“หืม.. ทำไมเหรอ?”
“ก็.. อย่างที่ฉันเคยบอกว่ายุคนี้มันปราศจากสงครามมานานแล้ว แถมโลกนี้กำลังก้าวหน้าด้วยเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กันใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่ากฎหมายเองก็เช่นกันพื้นที่นอกกฎหมายบนทวีปแห่งนี้มีน้อยมาก และส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึงด้วย แน่นอนว่าเขตไร้อาณาแห่งนี้จะไม่ขึ้นตรงต่อประเทศไหนเลย แต่ก็ยังมีโรงเรียนทั้งห้าอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
ตัวของสกาเล็ตจ้องมาที่ฉันด้วยความสงสัย ฉันหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปเบาๆ
“ที่ฉันจะบอกคือ.. ในยุคที่ประเทศหลายประเทศพัฒนาด้านกฎหมายไปในทางความเท่าเทียมแบบนี้ คิดจริงๆ เหรอว่ามันจะมีเขตที่ไม่น่าอภิรมย์แบบนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างสามพรมแดนน่ะ?”
“เจ้าจะบอกว่าเพื่อนของเจ้าโกหกเหรอ”
ฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ฉันไม่คิดว่าเธอโกหกหรอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างถ้าเธอเป็นผู้มาจากอีกโลกเหมือนกับฉันเธอก็ต้องมีประสบการณ์จากชาติที่แล้ว ถ้าไม่เจอหรือโดนปลูกฝังอะไรมาเป็นเวลาหลายปี บุคลิกภาพในโลกเดิมคงไม่หายไปหมดแบบนี้แน่”
“นั่นสินะ.. ข้าเข้าใจแล้ว ถึงเอวาจะบอกว่าเขตแบบนั้นเป็นที่ทิ้งของเหลือก็เถอะ แต่อาจจะเป็นสถานที่ผิดกฎหมายสินะ”
“ถูกต้อง และถ้ามันเป็นสถานที่ที่ไม่ถูกกฎสากลละก็…”
จะต้องถูกลงมติให้แก้ไขอย่างแน่นอน กฎสากลคือกฎหมายรูปแบบหนึ่งที่ร่างขึ้นมาเป็นสัญญาที่ทุกเผ่าต้องร่วมมือกันทำ
ไม่เช่นนั้นจะถูกตีตราว่าเป็นพวกนอกรีตนั่นเอง ซึ่งกฎสากลนี้จะถูกยกมาใช้ในกรณีที่รุนแรงระดับนานาชาติและเกี่ยวข้องกับเผ่าอื่นเท่านั้น
เช่นอาณาจักรสลัมนั่นแหละ
เรื่องพวกนี้ฉันไม่ได้รู้มาจากเกมหรอกนะ แต่มีมาจากเรียนมารยาทที่ทางบ้านให้รู้เอาไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษานั่นแหละ
แถมอีกอย่างอาณาจักรสลัมเนี่ย.. ฉันไม่ยักจะเคยได้ยินมาก่อนทั้งในเกมหรือตลอดเวลาที่อยู่ในโลกนี้มาก่อน
หรือในอีกความหมายหนึ่ง มันคงเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างลับตาจริงๆ และมีความเป็นไปได้ว่ามันจะผิดกฎหมายมาก
“เอาเถอะ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นเถอะ ไว้ค่อยตรวจสอบหลังงานแข่งขันคัดเลือกนักเรียนดีเด่นเสร็จก่อนแล้วกัน”
“สุดยอดไปเลยนะ”
จู่ๆ สกาเล็ตก็ชมฉันซะงั้น ฉันถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองเธอพร้อมกับถามด้วยความสับสน
“อะไร.. อยู่ๆ ก็—”
“ก็เปล่าหรอก แบบว่าข้าแค่ไม่เคยเห็นเจ้าที่พูดอะไรที่ดูฉลาดขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมาน่ะ”
“ห๊า?”
“ก็นะ ดูเจ้าสิ เรื่องง่ายๆ บางอย่างเจ้ายังทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก แทนที่จะรัดกุมกว่านี้”
“ห๊า?”
“แล้วก็ๆ —”
“อดข้าวซักหนึ่งสัปดาห์แล้วกันนะ”
ฉันไม่สามารถทนไหวกับคำหมิ่นประมาทของเธออีกต่อไป ถึงฉันจะไม่ได้ฉลาดแบบพวกตัวละครในโลกนี้อย่างเลทิเซีย หรือไอน์สไตน์ก็เถอะนะ
แต่คนพวกนั้นมันไอน์สไตน์เลยนะ คนที่คิดค้นทฤษฎีมากมายที่ทำให้โลกก้าวไปข้างหน้า หรือแม้แต่ท่านเลทิเซียที่แค่ฉลาดก็มีพลังมากพอจะสู้กับอนาสตาเซียในร่างคลุ้มคลั่งได้
จะเอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนพวกนั้นไม่ได้ป่ะ!
ฉันก็แค่พนักงานเงินเดือน อายุหลักสามสิบถึงจะมีประสบการณ์ดูแลระบบการเงินหรือเล่นหุ้นมาก่อนก็เถอะ
แต่ก็มีแค่นั้นนี่น่า จะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ!ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ที่ตนเองถูกยกไปเปรียบเทียบกับพวกสิ่งมีชีวิตประเภทอัจฉริยะแห่งโลก
“อุแงง ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่ล้อเล่นเองน่า”
พอพูดว่างดอาหารออกมา เธอก็ร้องห่มร้องไห้มาเกาะแขนเกาะขาฉันพร้อมกับร้องขอการอภัย
แต่ถ้าฉันโกรธละก็โกรธจริง!
“หึ ไม่ต้องพูดแล้ว”
ว่าแล้วฉันก็ไม่สนใจเสียงร้องต่อต้านของสกาเล็ตแล้วก็หลับตานอนลง.. เอาล่ะต้องพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้มีอีเว้นใหญ่อีเว้นแรกของเกมจีบหนุ่ม
ซึ่ง… จะนำพาไปสู่ฉากจบหลายสิบรูปแบบของเกมได้เลย..
กล่าวคือ.. อีเว้นนี้… สามารถเปลี่ยนฉากจบที่จะไปล็อคแค่ 3, 5 และ 7
แต่อาจจะนำพาไปสู่รูทอื่นที่ไม่ใช่รูทของอเล็กซานได้นั่นเอง!