บทที่ 51 – คนที่ชนะในงานเลี้ยง
ข้ามีชื่อว่า เรสเทีย ข้าเป็นขุนนางที่โดนยึดชื่อ.. ขุนนางที่โดนยึดชื่อคือขุนนางที่ไม่สามารถทำตามหน้าที่ของตนเองได้จนถูกยึดชื่อไป
ซึ่งครอบครัวของข้าก็เป็นเช่นนั้น.. อย่างที่ทราบกันดีว่าขุนนางนั้นเป็นเหมือนอัศวินในแต่ละประเทศที่ต้องปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน
และตระกูลของข้าก็ไม่สามารถทำหน้าที่เหล่านั้นได้ กลับกันตระกูลของข้าเลือกที่จะทำตามใจตัวเองโดยไม่สนหน้าใคร
แล้วก็อ้างเพียงแต่ว่า ‘ที่ประเทศอื่นเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องฟังคำร้องเรียนของพวกไพร่ชั้นต่ำ’ ทำให้พวกเขาละเลยหน้าที่ของตนเอง
ด้วยความที่ประเทศที่ตระกูลของข้าอยู่เป็นประเทศที่มีผู้กล้าเป็นกษัตริย์ไม่พอ เขายังเป็นหนึ่งในรัฐสภาของดินแดนมนุษย์ที่สนับสนุนความเท่าเทียม
เหมือนอย่างในอาณาจักรอาเดฟ ในอาณาจักรอาเดฟแม้จะยังมีระบบชนชั้น แต่ว่ากันว่าพวกเขาไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นขุนนางหรือเป็นบ่าวไพร่
ที่นั่นแม้แต่เรื่องทาสก็ผิดกฎหมายขั้นรุนแรง หากมีการค้าทาสกันเกิดขึ้นละก็ ได้ยินว่ามีโทษรุนแรงขนาดที่ว่าอาจจะถูกขังตลอดชีวิตเลยก็ได้
และแน่นอนว่าประเทศที่ข้าอยู่ก็คล้ายแบบนั้น แต่พวกคนใหญ่คนโตในตระกูลของข้าพวกเขาไม่สนับสนุนแนวคิดนั้นและยังทำตัวแย่ๆ ต่อไป
จนสุดท้ายก็โดนริบชื่อขุนนางไปในที่สุด และการถูกริบชื่อตระกูลพวกเราไม่ถูกนับว่าเป็นสามัญชนหรือเป็นธรรมดา
ในบางกรณีคือไม่อาจทำการค้ากับร้านค้าบางร้านได้เลย แน่นอนว่าขุนนางที่ถูกยึดชื่อไม่มีทางเป็นทาส
สถานะทางสังคมพวกเราอยู่ในระดับเดียวกันกับสามัญชน แต่สิทธิ์บางอย่างที่มีกลับถูกลิดรอนมากกว่าสามัญชน
อันที่จริงตระกูลข้าไม่ได้ทำเพียงแค่แบ่งแยกชนชั้น ไม่ปกป้องประชาชน… เพราะเรื่องมันเริ่มต้นขึ้นจากตอนที่ท่านพ่อของข้าได้วางแผนกบฏ
ตามความจริงแล้วควรจะถูกประหารด้วยซ้ำ.. แต่พระราชาก็ทรงละเว้นให้ ทั้งที่ทุกอย่างเป็นเพราะท่านพ่อนั้นหลงในอำนาจจนหลงลืมไปว่ากษัตริย์คือผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนมนุษย์…
ไม่ว่าจะวางแผนมากมายยังไงสุดท้ายมันก็ไม่ต่างจากที่เขาไปหาเรื่องเทพในร่างมนุษย์นั่นแหละ..
ข้าในตอนนั้นเองก็ยังไม่ค่อยรู้ความเท่าไหร่.. หลังจากตระกูลถูกยึดชื่อไปแล้วจนข้าเริ่มโตขึ้นครอบครัว ตระกูลของข้าต่างพากันแตกแยก
บ้างก็โทษคนนู้น บ้างก็โทษคนนี้ ส่วนพ่อของข้าแม้จะราชาละเว้นโทษ แต่ก็โดนคนในตระกูลโยนความผิดให้และตายไปในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน
ท่านแม่ของข้าไม่อาจปล่อยให้ข้าต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่แบบนั้น.. ท่านแม่จึงพาข้าหนีออกมาจากที่แห่งนั้น
เพื่อไปเยี่ยมเยือนสหายที่เคยสนิทกันเมื่อตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน… เพื่อขอความช่วยเหลือให้ที่อยู่ที่พักกับพวกเราสองแม่ลูก..
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าเจอกับ.. ท่านอนาสตาเซีย…
ดวงตาของข้าเปิดขึ้นอย่างช้าๆ มองเห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่เพราะนี่คือที่พักในอาณาจักรมิราลิส
“ฝันนั่นอีกแล้ว”
ข้าค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ หวนนึกถึงภาพนั้นภาพที่ทั้งเธอและแม่ของเธอถูกคนในตระกูลด่าด้วยคำพูดต่างๆ นานา
“เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ตระกูลเราเป็นแบบนี้”
“เพราะแกสนับสนุนไอ้สามีบัดซบนั่นของเธอ”
“ถ้าไม่มีพวกเธอละก็..”
ข้าส่ายหน้าเอาความคิดพวกนั้นออกไปจากหัวกลับคืนมาอยู่ในปัจจุบัน.. เมื่อวานสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงมันทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดมาก
ท่านอนาสตาเซียคนนั้นถูกใส่ร้ายต่างๆ นานา พร้อมกับโดนดูถูกจากคนนับไม่ถ้วนแต่ข้ากลับไม่สามารถออกหน้ารับแทนได้
จริงอยู่ที่ท่านอนาสตาเซียห้ามไว้.. แต่เพราะข้ากลัวว่าหากออกหน้าพูดไปแบบนั้นอีกจะทำให้ท่านอนาสตาเซียโกรธข้าเพราะข้าไม่เชื่อฟังสิ่งที่เธอพูด
ท่านอนาสตาเซียโกงอย่างงั้นเหรอ.. ข้าก้มลงมองที่ฝ่ามือของตัวเองและตรงหน้าของข้าก็มีพายุสีดำขนาดจิ๋วปรากฏขึ้นมา
ข้าเรียกสิ่งนี้ว่า ‘สสารต้นกำเนิด’ สสารนี้เกิดขึ้นมาจากภายในตัวของสิ่งมีชีวิตทุกคน.. ท่านอนาสตาเซียเป็นคนสอนให้รู้จักมัน
ความสามารถในการเสริมกำลังที่ท่านอนาสตาเซียสอนข้านั้นคือการเอาเวทมนตร์ไปเร่งกระบวนการของกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าพิศวง
แต่ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่แลกเปลี่ยน การเร่งกระบวนการในระดับเซลล์อาจจะทำให้เซลล์ในร่างกายถูกเร่งกระบวนการขยายตัวอย่างรวดเร็วของมัน
แต่สาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนั้นได้เพราะกระบวนการมีชีวิตของสิ่งมีชีวิต.. และนั่นแหละคือสสารแห่งต้นกำเนิด
สสารแห่งต้นกำเนิดคือสสารที่ทำให้เซลล์เติบโตนั่นเอง กล่าวคือสสารต้นกำเนิดของการ ‘มีชีวิต’
แรกเริ่มเดิมทีสิ่งนั้นก็เป็นกระบวนการปกติของสิ่งมีชีวิต แต่ว่าเพราะมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์มาเร่งกระบวนการ
จึงทำให้สสารแห่งต้นกำเนิดนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้
“และสสารที่อยู่ในมือของข้าตอนนี้ก็…”
ข้าพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่พายุสีดำขนาดเล็กที่หมุนวนอยู่กลางฝ่ามือก็เริ่มแปรสภาพเป็นตัวข้าอีกคนขนาดเล็กจิ๋ว
“ข้าบอกเธอไปแล้วว่าต้องฆ่าไอ้พวกที่บังอาจมาดูถูกท่านอนาสตาเซีย ทำไมเธอถึงไม่ยอมทำอะไรล่ะ”
ตัวข้าอีกคนที่ขนาดตัวเท่าฝ่ามือก็พูดขึ้น ข้าส่ายหน้าตอบเธอเบาๆ..
“เราไม่ฟังคำพูดของท่านอนาสตาเซียมาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าไม่สนใจที่เธอบอกอีกรอบ เธออาจจะเกลียดพวกเรา…”
“เหอะ เจ้ามันก็แค่กลัวท่านอนาสตาเซียจะเกลียดไม่ใช่หรือไง เธอคิดว่าท่านอนาสตาเซียให้อะไรเราบ้างล่ะ หือ?”
“……”
“ก็แค่โดนเกลียดไม่ใช่หรือไง การที่เธอโดนเกลียดกับเลือกที่จะไม่ให้ท่านอนาสตาเซียต้องโดนดูถูก คงไม่ต้องให้ข้าบอกนะว่าอันไหนคุ้มกว่า ต่อให้เจ้าหรือข้าตายมันก็ไม่เพียงพอต่อบุญคุณที่ท่านอนาสตาเซียมอบให้พวกเราหรอก”
เงาร่างเล็กๆ แม้ร่างกายจะเล็กแต่เสียงกลับแหลมปี๊ด.. ใช่แล้วเธอคือข้า ข้าสามารถสร้างข้าอีกคนขึ้นมาได้เท่าไหร่ก็ได้ตามที่พลังเวทในร่างกายข้ามี
และร่างกายที่สร้างขึ้นใหม่แม้จะไม่มีพลังเวทเลย แต่เธอสามารถควบคุม สสารแห่งต้นกำเนิดของตัวเองได้อย่างอิสระ
เพราะเธอคือ ‘ชีวิต’ อีก ‘ชีวิต’ ของข้าเลยก็ว่าได้..
นี่คือส่วนหนึ่งที่ท่านอนาสตาเซียสอนให้ข้า จะบอกว่าท่านอนาสตาเซียไม่มีความสามารถมากพอในการเข้าเรียนโรงเรียนลิเบอร์งั้นเหรอ
ตลกแล้วล่ะ ถ้าแค่นี้ยังไม่มีความสามารถ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ถ้างั้น
“แต่จะว่าก็ว่าเถอะ.. เงื่อนไขที่นังตัวเมียนั่นยื่นให้—”
“เดี๋ยวสิ.. เธออย่าใช้ปากของข้าพูดคำหยาบแบบนั้นสิ ถ้าหากท่านอนาสตาเซียได้ยินขึ้นมาเธออาจจะผิดหวังในตัวพวกเราก็ได้นะ”
“หุบปากเธอไปเลย เรียกตัวเมียยังน้อยไปด้วยซ้ำ ข้าควรเรียกมันว่ายัยชะนีด้วยซ้ำ”
“พอได้แล้วน่า!”
“เฮ้อช่างเรื่องนั้นไปเถอะ เธอนี่น่ารำคาญชะมัดเลยนะ..”
ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ใช่แล้วเธอคือข้าอีกคนไม่ผิดอย่างแน่นอน แต่หากจะถามว่าใครตัวจริงหรือใครเป็นร่างแยก
คงมีแค่นิสัยนั่นแหละที่ข้าสามารถระบุได้ว่าอย่างน้อยตลอดตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองเคยพูดหยาบคายแบบนั้นแน่ๆ
แต่ความจริงที่เธอเป็นข้า..ก็ไม่เป็นแปลง
อ่าา.. ท่านอนาสตาเซียอภัยแก่ข้าผู้เป็นตัวตนแห่งความหยาบคายเช่นนี้ด้วยเถิด
ว่าแล้วข้าก็ยกมือภาวนา…..
และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
……………
ตัวแทนจากโรงเรียนเอเรียสยื่นข้อเสนอ..
“ถ้าหากยัยเก่งแบบที่เจ้าว่าจริงๆ งั้นการเป็นที่หนึ่งในงานแข่งขันเฟสเตอร์ได้สบายๆ อยู่แล้วสิถูกไหม?งั้นมาพนันกันหน่อยไหมว่าเธอจะเป็นที่หนึ่งได้ไหมน่ะ?”
เลทิเซียที่ยืนอยู่ด้านตรงกันข้ามเธอจ้องไปที่หญิงสาวอีกฝ่ายด้วยความนิ่งเงียบ สายตานั้นเหมือนกับมีระลอกบางอย่างที่มองไม่เห็น
เธอไม่ได้ใช้เวทมนตร์ ไม่ได้ใช้พลังพิเศษอะไร.. ทุกอย่างเหมือนเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้า มีสิ่งที่แตกต่างจากเดิมเพียงอย่างเดียวคือเลทิเซียจ้องไปที่อีกฝ่าย
จ้องไปที่ตัวแทนโรงเรียนเอเรียส..
“…..”
ผู้หญิงคนนั้นตอนแรกก็กล้าที่จะพูดโดยไม่ไว้หน้าใคร แต่พอโดยสายตาของเลทิเซียจ้องเธอกลับรู้สึกกดดันอย่างช่วยไม้ได้จนต้องถอยออกไปหลายก้าว
“หะ.. หือ.. ทำไม ไม่กล้าตอบรับ?”
เสียงของ หล่อนดูอ่อนลงเล็กน้อย เลทิเซียไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แต่อย่างใด.. ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกอะไรติดมาด้วยช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุด.. เลทิเซียพูดเบาๆ ว่า
“แล้วเธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น เธอคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอกับฉัน?คนนอกแบบเธอน่ะนะ?”
“…..”
คำพูดที่เลทิเซียพูดออกมานั้นทำให้อีกฝ่ายแทบพูดไม่ออกเลย EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แม้ตัวประกอบคนนั้นต้องการจะประกาศให้โรงเรียนอื่นทราบ
แต่โรงเรียนอื่นแค่เป็น ‘ผู้ชม’ เพียงเท่านั้น ทำได้แค่วิจารณ์ไม่อาจมีส่วนร่วมในการตัดสินว่าอันไหนผิด อันไหนถูกได้และคนที่ตัดสินคือทางโรงเรียนเอง
ดังนั้นคำพูดของเลทิเซียนั้นแทบจะเป็นการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดในเวลานี้..
“ระ.. เรื่องนั้น.. ใช่แล้ว! .. เจ้าบอกเองนี่ว่าเก่งที่สุดถ้าพิสูจน์ไม่ได้มันเป็นแค่ลมปากเท่านั้นแหละ!”
“ตายจริง ฉันไม่ต้องการให้คนแบบเธอเชื่อสักหน่อยนะ ฉันก็บอกไปแล้วนะว่า ‘ฉันคิดว่า’ เธอคิดว่าตัวเองสำคัญมาจากไหนกันเหรอ?”
“….”
“แล้วก็เธอที่อยู่ตรงนั้น ถ้าเธอไม่เชื่อในการตัดสินใจของโรงเรียนก็ลองไปติดต่อทางโรงเรียนดู เผื่อมันจะช่วยให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น ก่อนมาทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง”
เลทิเซียหันไปพูดกับคนที่เป็นต้นเหตุทุกอย่างก่อนจะหันหลังและจับแขนอนาสตาเซียเดินออกจากงานเลี้ยงไปพร้อมกันทิ้งความเงียบพูดไม่ออกไว้ด้านหลัง
ไม่ว่าจะนางเอกก็ดี.. นางร้ายก็ช่าง เป้าหมายในการจีบก็ตาม ทุกคนล้วนแพ้หมดเลย
และคนที่ชนะไม่ใช่ตัวละครหลักในเกมแต่อย่างใด..
แต่ตัวประกอบที่แข็งแกร่งที่สุดซะงั้น!