บทที่ 52 – กลิ่นหอมมากค่ะ
หลังจากฉันถูกลากออกมาจากงานเลี้ยงจึงทำให้ฉันหลุดออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด พอพ้นสายตาคนอื่นแล้วท่านเลทิเซียก็ปล่อยมือออกจากแขนของฉัน
เพราะว่านี่เป็นเวลากลางคืน เลยทำให้เมืองทั้งเมืองมีแต่แสงสว่างจากไฟหลากสีเท่านั้น และยังมีรถสัญจรไปมาอยู่เป็นเนื่องๆ
แม้ไม่ได้เยอะเท่าตอนกลางวัน แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ฉันกับท่านเลทิเซียเดินด้วยกันบนถนนทางเดินที่มีแสงสว่างจากตึกข้างๆ สาดออกมา
“เอ่อ.. ขอบคุณนะคะ..”
“ไม่ต้องห่วงหรอก อันที่จริงที่เธอเป็นตัวแทนก็เพราะการตัดสินใจโดยไม่ดูตาม้าตาเรือของทางโรงเรียนเองว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
เธอพูดแบบนั้นพลางเดินไปเรื่อย ข้าของเธอไม่ได้เร็วมากแต่ก็ไม่ได้ช้ามากเช่นกัน ในขณะที่ฉันไม่ได้ตอบอะไรนั้นเอง
“แต่ว่า…. ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นก็ตามที”
ท่านเลทิเซียที่เดินอยู่ก็หยุดเดินและหันหน้ามาทางฉัน ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่จริงจังว่า..
“ถึงฉันจะปฏิเสธการทำข้อตกลงกับอีกฝ่าย ในแง่รูปธรรทแล้วเราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเดิมพันและข้อได้ข้อเสีย”
“แต่คนฉลาดแบบเธอคงรู้ใช่ไหมว่า คำพูดของคนอื่น ความคิดของคนอื่นมันไม่สามารถควบคุมได้เพียงแค่คำพูดของฉัน ทุกคนล้วนมีอคติ มุมมองที่แตกต่างกัน”
“ต่อให้ฉันจะพูดไปแบบนั้น มันก็มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แน่นอนว่าในสถานที่ที่คนเยอะแบบนั้นคนไม่เห็นด้วยต้องมีเยอะมากแน่ๆ”
“นั่นหมายความว่า นับจากนี้เธออาจจะเป็นเป้าสายตาในการดูถูกก็ได้.. สิ่งที่ฉันพูดไปมันเพียงยืดเวลาให้เธอไม่ถูกประณามในตอนนั้นก็เท่านั้นเอง”
ท่านเลทิเซียอธิบายฉัน แม้ไม่ได้บอกสิ่งที่จะสื่อมาตรงๆ แต่ฉันก็เข้าใจได้ทันทีว่าที่ท่านเลทิเซียหมายถึงคืออะไร
ที่เธอหมายถึงคือต่อให้จะแก้ตัวในน้ำขุ่นว่านี่ไม่เกี่ยวกับพวกแก และเป็นการตัดสินใจของโรงเรียน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาจะเลิกอคติต่อฉัน
ความอคตินั้นเป็นความอคติที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ตรงๆ เพราะว่าการที่ฉันโกงมันคือความต้องการของโรงเรียน แต่ยังไงก็ต้องมีคำนินทาด่าว่า ด้วยความอคติตามมาแน่ๆ
แน่นอนว่าฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยมองเมินอคติของคนรอบข้างได้ ไม่ว่าจะนินทาอะไรฉันมาฉันก็ไม่สนใจใดๆ
แต่ในฐานะพนักงานบริษัทที่ต้องทำตัวให้รุ่นน้องชอบ หัวหน้าแผนกชม ฉันต้องทำตัวให้ไม่มีคำนินทาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจะได้เลื่อนตำแหน่งในบริษัทเร็วๆ
ถ้าจะให้คนทั้งโรงเรียนนินทาฉัน ฉันคงมีหน้าอยู่โรงเรียนต่อไปไม่ได้หรอก.. แต่ก็นะถามว่าทำเป็นไม่สนใจได้ไหม แน่นอนว่าทำได้
เพราะฉันเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว.. แต่ฉันรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้คือสถานการณ์ในเกม แม้ว่าจะถูกช่วยจากท่านเลทิเซียก็จริง
แต่ฉันรู้ดีว่านางร้ายอนาสตาเซียหลายๆ รูทก็ล้วนแล้วแต่ตายเพราะคำนินทาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะนินทาจนถูกฆาตกรชั่วใช้ชื่อเป็นแพะรับบาป
หรืออื่นๆ ดังนั้นฉันรู้ดีว่าถ้าปล่อยไว้ต่อไป.. สุดท้ายแล้วคำนินทาด้านลบที่ดูเหมือนคนชั่วของฉันจะนำความตายมาหาฉันเอง!
“ฉันต้องขอโทษด้วยที่บอกว่าเธอเก่งกว่าทุกคน.. เพราะฉันคิดว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนเลิกหาเรื่องเธอในตอนนั้น”
“และฉันก็คิดว่าทางเดียวที่จะทำให้เธอเลิกเป็นที่สงสัยว่าเก่งจริงหรือเปล่า หรือแม้แต่เข้ามาด้วยการโกงหรือเปล่าก็คือ…”
“ได้ที่หนึ่งตามยัยผู้หญิงผมดำคนนั้นพูดซะ”
“เพราะความแข็งแกร่งจะปิดปากทุกคนเอง พวกมันจะไม่กล้านินทาเธอแม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน”
ท่านเลทิเซียพูดออกมา.. แบบนี้นี่เองเข้าใจแล้วถึงเธอจะปฏิเสธการตั้งเงื่อนไขบ้าๆ บอๆ ของยัยผู้หญิงตัวแทนโรงเรียนจากโรงเรียนเอเรียสก็จริง
แต่การที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมาก็จะทำให้คนหันไปโฟกัสว่า ‘ฉันเก่งจริงหรือเปล่า’ ดังนั้นถ้าหากฉันได้ที่หนึ่งทุกคนจะพูดอะไรไม่ได้นั่นเอง
แต่ถ้าหากทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากโดนตั้งข้อสงสัยว่าเก่งจริงไหม… ตรงกันข้ามหากยอมรับการตั้งเงื่อนไขละก็หากฉันทำไม่ได้
ยัยนั่นอาจจะตั้งเงื่อนไขแบบถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกจากโรงเรียนไปซะ..
กล่าวคือไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับการตั้งเงื่อนไขของหล่อน สุดท้ายหากฉันชนะก็ไม่มีคนกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ต่อแน่นอน
“…..”
ฉันมองท่านเลทิเซียแล้วก็รู้สึกขนลุกนิดหน่อย ตอนเป็นเกมก็เขียนบอกอยู่หรอกว่าเธอเก่งทุกวิชาและเป็นคนที่ฉลาดมาก
แต่ถึงขั้นใช้คำพูดของอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุดด้วย.. คะแนนวิชาจิตวิทยาคงสูงลิ่วเลยมั้งเนี่ย ว่าแต่โลกนี้มีสอนเรื่องจิตวิทยาไหมนะ?
ตอนแรกฉันก็สงสัยอยู่หรอกว่าท่านเลทิเซียโดนคนจากต่างโลกมาเกิดใหม่เหมือนฉันไหม แต่ความเป็นไปได้นั้นก็น้อยลงเพราะถึงแม้ท่านเลทิเซียตามเนื้อเรื่องในเกมจะฉลาด แต่คนที่มาเกิดใหม่ในร่างไม่ได้แปลว่าจะฉลาดตามถูกไหม
แต่ก็แค่ลดความเป็นไปได้น่ะนะ
เอ้ะ เดี๋ยวสิ.. เดี๋ยวก่อนนะ.. ท่านเลทิเซียใช้คำพูดอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์มากที่สุด.. แล้วท่านเลทิเซียจะรู้ได้ไงว่าจะมีคนพูดแบบนั้น
เพราะยัยนั่นแค่อคติกับฉันเพราะฉันไปช่วยเซเลน่า.. และบทในเกมก็ไม่มีแบบนั้นแน่ๆ กล่าวคือหากฉันไม่ไปช่วยยัยเซเลน่ายัยคนนี้ก็อาจจะไม่พูดจาชวนหาเรื่องทะเลาะแบบนั้น
แต่คำพูดของท่านเลทิเซียที่บอกว่าฉันเก่งดูมั่นใจมาก.. หากยัยนั่นไม่ออกมาพูดแบบนั้น ไม่ว่าจะฉันหรือท่านเลทิเซียอาจจะตกเป็นที่ขบขันไปพร้อมกันได้เลย
แถมไอ้คำพูดที่บอกว่าฉัน ‘เก่ง’ เนี่ย… ถ้าหากเธอใช้คำพูดอื่นแทนทุกอย่างอาจจะไม่ออกมาแบบนี้ก็ได้.. เอ้ะ.. ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอเป็นคนวางแผนให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้แฮะ
ฉันลังเลนิดหน่อยก่อนจะ… ถามออกไป…
“เอ่อ ท่านเลทิเซียเมื่อตอนกลางวันเห็นฉันทะเลาะกับคนจากโรงเรียนเอเรียสเหรอคะ..?”
“อื้ม..?ไม่เห็นหรอก แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะมีคนจ้องเธอด้วยความไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอโดนใส่ร้ายละนะ โดยปกติแล้วถ้ามีคนถูกใส่ร้ายต่อหน้าตัวเองคนส่วนใหญ่จะตั้งคำถามกับการใส่ร้ายนั้นก่อน ถ้าหากอ่านเหตุผลแล้วก็แล้วแต่คนเลยว่าจะเชื่อหรือไม่.. แต่มันมีคนหนึ่งน่ะนะ ที่จ้องเธอด้วยความไม่ชอบและพอมีคนใส่ร้ายเธอ เจ้าตัวเหมือนจะยิ้มออกมา”
“อืมมม… ยัยนั่นจ้องจะซ้ำเติมฉันแต่แรกอยู่แล้วงั้นสินะ”
“ก็ประมาณนั้น..”
“เอ่อ… งั้นก็หมายความว่า…”
“หมายความว่าอะไรเหรอ?”
ท่านเลทิเซียตอบฉันตามความจริงทุกอย่าง แต่เธอยังตีหน้าเซ่อเหมือนทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง.. เธอคนนี้รู้อยู่แล้วสินะว่าถ้าพูดว่าฉันเก่งที่สุดออกไป
จะมีคนแย้งออกมา ว่าแต่ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นล่ะ อีกอย่างถ้าหากเธอจ้องจะวางแผนทำร้ายฉัน ทำให้ฉันอับอายขายขี้หน้าทำไมเธอต้องบอกความจริงกับฉัน?
ถึงจะไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าต้องการอะไรก็เถอะนะ..
“เปล่าค่ะ..”
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่ท่านเลทิเซียจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“โทษทีๆ สิ่งที่ฉันต้องการมีแค่ความสามารถทั้งหมดของเธอเท่านั้นแหละนะ พอใจหรือยังล่ะ?”
“เอ้ะ..?”
จู่ๆ สีหน้าของท่านเลทิเซียก็ต่างจากปกติ ไม่รู้สิมันอาจจะไม่ต่างจากเดิมเลยก็ได้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ถอดหน้ากากที่มองไม่เห็นออกงั้นแหละ
ฉันลังเลนิดหน่อย
“เอ่อ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้ว—?”
ก่อนที่ฉันจะพูดจบท่านเลทิเซียก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมใช้นิ้วชี้จ่อมาที่ริมฝีปากของฉัน
“จุ๊ๆ ทุกคนมีความลับที่บอกไม่ได้กันทั้งนั้น ทั้งฉันแล้วก็เธอเลย”
เธอพูดแบบนั้นก็จริง แต่สิ่งที่ฉันโฟกัสคือกลิ่นของท่านเลทิเซียหอมโคตรเลยเจ้าค่า!!!อีกอย่าง… ใกล้ ใกล้เกินไปแล้ว!!!!!!
ไม่ไหวแล้ว.. ไม่ไหวแล้ว.. ฉันเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า กำเดาฉันจะไหลแล้ว.. พอเห็นฉันหันหน้าหลบท่านเลทิเซียก็ประหลาดใจนิดหน่อยก่อนจะถอยออกไป
“เอาเถอะ ความลับมันก็เหมือนที่เธอทำตัวเหมือนกับเห็นอนาคต.. ราวกับว่ารู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ต้องมาถึงสักวันนั่นแหละ”
“เอ้ะ.. หมายความว่าไงคะ?”
“เปล่าหรอกๆ แล้วก็เวลาแบบนี้อย่าตกใจจะดีกว่านะ ถือว่าเป็นคำแนะนำจากฉันแล้วกัน เดี๋ยวคนได้รู้พอดีว่านั่นคือ ‘ความจริง’ น่ะ”
“…….”
“งั้นฉันไปแล้วนะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินจากไปให้ฉันยืนงงอยู่คนเดียวด้วยความเงียบ และพอท่านเลทิเซียจากไปสกาเล็ตก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับพูดขึ้น
“เห็นอนาคตงั้นเหรอ.. ทำไมข้ารู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นรู้ไปซะทุกเรื่องเลยล่ะ”
“นั่นสินะ”
“ข้าว่าเจ้าเองก็อย่าเข้าใกล้ผู้หญิงที่ดูรู้ไปซะทุกเรื่องนั่นจะดีกว่านะ..”
“นั่นสินะ”
“ถ้าให้ข้าเดาที่เธอรู้ว่าเจ้าเหมือนเห็นอนาคตเพราะหลายวันก่อนที่เธอบอกว่าเจ้าเป็นตัวแทน.. เจ้าก็ดันกลัวจนออกนอกหน้า พอมาเจอสถานการณ์นี้เข้าบางทีเธอคงสังเกตเห็นอะไรสักอย่างละมั้ง”
“นั่นสินะ”
“เฮ้ย นี่เจ้าฟังอยู่ไหมเนี่ย อนาสตาเซีย”
“ฟังอยู่สิ แต่ว่า…”
“แต่?”
“กลิ่น ท่านเลทิเซียหอมมากเลยว่ะค่ะ อยากดมอีกจัง”
“……”
“แล้วปากนี่ฉันจะไม่ล้างตลอดชีวิตเลย!”
“…….”
“แขนนี่ก็ด้วย”
ว่าแล้วฉันก็ยกแขนขึ้นมาดมฟืดฟาด
“อนาสตาเซีย..”
“อะไรเหรอ?”
“ข้าว่า เจ้าควรเข้าพบจิตแพทย์สักครั้งในชีวิตจริงๆ นะ .. ระดับเจ้าไม่น่าจะเคสธรรมดาแล้ว น่าจะเข้าขั้นภัยสังคมแล้วอ่ะ”