บทที่ 64 – ของขวัญจากผู้ที่ถูกพระเจ้ารัก
“หืม เจ้าจะบอกว่าในนั้นมีศัตรูที่ต่อให้เป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดก็ชนะไม่ได้อยู่เหรอ?”
คนที่พูดอยู่ตอนนี้คืออาจารย์สาวที่สวมแว่นซึ่งอาศัยอยู่ที่โรงเรียนลิเบอร์แน่นอนว่าเธอคนนี้ก็เป็นตัวประกอบในเกมพิชิตหัวใจรักเช่นกัน
แต่ทุกครั้งที่เธอมีบท เธอจะเป็นเหมือนคนที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง.. หากอนาสตาเซียมาเห็นคงต้องคิดแบบนี้นั่นแหละนะ
อย่างไรก็ตามที่นี่คือห้องส่วนตัวที่ค่อนข้างหรู ใช่เป็นห้องส่วนตัวของผู้นำประเทศที่ชื่อว่าอาณาจักรมิราลิส
และอาจารย์คนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอมีชื่อว่า ‘เวโรเน่’ และคนที่อยู่ตรงกันข้ามกับอาจารย์เวโรเน่คือนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ‘เซนิส’
ตามจริงเธอควรจะลาออกเพราะเหตุการณ์การลักพาตัวคนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่สุดท้ายประชาชนก็ยังเลือกเธอขึ้นเป็นรัฐมนตรีอยู่ดี
เพราะทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ผิดแต่อย่างใดนั่นเอง… อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีที่นั่งคุยกับอาจารย์เวโรเน่นั้นเธอค่อนข้างเคารพเลย
“ใช่แล้วค่ะ.. อาจารย์”
รัฐมนตรีเรียกอาจารย์สาวของโรงเรียนลิเบอร์ว่า ‘อาจารย์’ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงเป็นเรื่องใหญ่โตพอสมควรเลยล่ะ
เพราะดูจากหน้าตาทั้งสองคนอายุไม่ต่างกันมาก เอาเข้าจริงที่บอกว่าไม่ต่างเนี่ยหมายถึงว่าอาจารย์เวโรเน่อายุน้อยกว่าเซนิสนะ
“แบบนั้นนักเรียนจะไม่เป็นไรเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ต่อให้ตายที่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าตายจริงๆ สักหน่อยนี่คะ?”
“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ที่ข้าจะบอกคือศัตรูมันปกป้องการ์ดอยู่นี่ ถ้าเอาชนะไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ศัตรูที่เอาชนะไม่ได้ส่วนมากจะเป็นศัตรูที่ต้องแก้ Puzzle น่ะ ถ้าทำผิดพลาดมันค่อยจะโผล่ออกมา.. นอกจากนี้ถึงข้าจะบอกว่านักเรียนชนะไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกันก็ชนะได้อยู่แล้วค่ะ”
เซนิสกล่าวอธิบายแบบนั้น อาจารย์เวโรเน่คิดสักพักหนึ่งก็พยักหน้า
“แล้ว.. เซนิส เจ้าไปเอาวิทยาการนั่นมาจากไหน.. นี่แหละคือสิ่งที่ข้าอยากจะรู้ในตอนนี้”
“หมายถึง…?”
“ที่ทำให้วิญญาณและร่างกายของนักเรียนดำรงอยู่สองที่พร้อมๆ กันน่ะ.. และสาเหตุที่นักเรียนต่อให้บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตก็จะไม่รู้สึกทรมานขนาดนั้น ไม่รู้สึกเหมือนตายเลยด้วยซ้ำ.. เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?”
“อาจารย์มองออกด้วยสินะคะ?”
เซนิสยิ้มออกมาแล้วก็พึมพำด้วยความประหลาดใจ เวโรเน่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เวโรเน่ไม่ได้สนใจ อย่างไรซะพี่สาวของเธอก่อนที่เธอจะจากไปเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็เพราะเวทเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณโดยตรง
และตอนนี้ที่พี่เธอยังไม่เกิดใหม่ คนที่รู้เรื่องวิญญาณดีรองจากพี่มาคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวของเวโรเน่.. แต่ก็นะนั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะโง่มองไม่ออก.. สิ่งที่เซนิสทำในการแข่งขันครั้งนี้คือเหมือนการสร้างวิญญาณและร่างกายขึ้นในอีกมิติ
แต่ในความเป็นจริงแล้วมิติที่ว่าหรือเขตเฟสเตอร์นั้น ไม่มีทางเข้าหรือทางออกเลย อย่าว่าแต่เข้าออกขนาดเดินทางข้ามมิติยังเข้าไปไม่ได้
เพราะการบิดเบี้ยวของกาลอวกาศนั้นไม่เท่ากัน ทำให้มีค่าพื้นที่ที่แตกต่างกันมากเกินไป ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้คนไปอยู่ในมิตินั้นทั้งที่ร่างกายยังอยู่โลกฝั่งนั้นได้
มีแต่การบิดเบือนโครงสร้างที่เหนือกว่าระยะและเวลา… นั่นก็เป็นพลังในระดับขอบเขตที่แม้แต่ผู้กล้าก็ยังทำยากแล้ว
“นั่นมันฝืนกฎของความธรรมดา.. การที่มีตัวตนอยู่สองที่ในพร้อมกันมันคือการฝ่าฝืนกฎ… เจ้าไม่กลัวเทพธิดาจะมาจัดการหรือไง?”
“อาจารย์ก็พูดเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้.. มันก็ไม่ต่างอะไรจากการแยกร่างหรอก”
“เจ้าคิดงั้นเหรอ?การดำรงอยู่สองที่พร้อมกันมันหมายความว่ามีการดำรงอยู่ของสิ่งสิ่งเดียวเกิดขึ้นสองตำแหน่ง นั่นแปลว่าต่อให้ตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ‘ตาย’ ไปก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายที่อยู่อีกด้านหนึ่ง”
ใช่แล้ว การที่ตัวตนดำรงอยู่ในสองที่พร้อมกันนั้นหมายความว่าคนคนนั้นที่อยู่ในเขตเฟสเตอร์กับนอกเขตเฟสเตอร์คือคนเดียวกัน
ตามหลักแล้วต่อให้ตายในเขตเฟสเตอร์จึงไม่นับว่าเป็นการตาย เพราะมันคืออีกตัวตน หากจะฆ่าก็คงต้องฆ่าสองตัวตนพร้อมกันเท่านั้น
ซึ่งมันผิดกฎของหลักเหตุและผล นี่แหละคือสิ่งที่เวโรเน่อยากจะพูด.. ในโลกนี้ทุกคนต่างก็มีพลังที่แตกต่าง มีเวทมนตร์ที่แตกต่าง
ทุกอย่างล้วนแตกต่างกันแสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในบางระดับ แต่สำหรับความตายแล้วมันคือความเท่าเทียมที่สมบูรณ์แบบ
หากตายไปแล้วแต่ไม่ตาย ก็เท่ากับว่าผลลัพธ์มันถูกบิดเบือนไป.. ซึ่งมันผิดหลักเหตุและผลโดยสิ้นเชิง
หากมีต้นเหตุที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องตายแล้ว จะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด มันไม่ใช่สิ่งที่ใครกำหนด แต่เป็นสิ่งที่แน่นอน
แต่สิ่งที่เซนิสทำคือมีต้นเหตุที่ทำให้ตาย.. แต่ผลลัพธ์กลับไม่ถูกทำงาน.. มันผิดหลักของกฎแห่งเหตุและผลโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่ามันต่างจากการสร้างร่างแยกแล้วร่างแยกตายอะไรแบบนั้น.. เพราะต่อให้ร่างแยกตายแต่นั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไร
เพราะสุดท้ายมันก็คือร่างแยกไม่ใช่ตัวจริง.. แต่ที่เซนิสทำคือการทำให้ตัวจริงของคนมีสองคนเลยนั่นเอง
พอได้ยินอาจารย์ตัวเองพูดแบบนั้น เซนิสก็ยิ้มออกมา
“เป็นครั้งแรกที่ข้าสามารถนำหน้าอาจารย์ได้สินะคะ.. ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะอาจารย์”
“อย่าลืมสิว่ามิตินั้น.. เขตเฟสเตอร์กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบเท่าแสงอยู่นะ และเพราะแบบนั้นเลยทำให้เวลาในนั้นและพื้นที่ในนั้นตัดขาดออกจากโลกของเราโดยสิ้นเชิง”
“เพราะเป็นอาจารย์หรอกนะ ข้าถึงได้พูดน่ะ.. ถ้าข้าจะบอกว่าจริงๆ แล้วเขตเฟสเตอร์กำลังพุ่งด้วยความเร็วที่เหนือกว่าความเร็วแสงอยู่จริงๆ ล่ะ ?”
เมื่อเวโรเน่ได้ยินแบบนั้นเธอก็เบิกตากว้าง..
“อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่แล้วอาจารย์..”
เซนิสยิ้มกว้าง พร้อมอธิบาย..
“จริงอยู่ที่หากเร็วเหนือกว่าความเร็วแสง.. หรือประมาณเร็วกว่าความเร็วเกือบสามร้อยล้านเมตรต่อวินาทีนั้น ก็แค่เร็วเป็นสี่ร้อยล้านเมตรต่อวินาทีก็พอ.. แต่ที่ข้ากำลังพูดถึงคือหมายถึง ‘แสง’ จริงๆ ไม่ใช่ ‘ความเร็วเกือบสามร้อยล้านเมตรต่อวินาที’ … สมมุติว่ามีนาย A เร็วสามร้อยล้านเมตรต่อวินาที ซึ่งคนปกติวัดว่าแสงเร็วเท่านี้เช่นกัน นั่นหมายความว่าตัวเราจะเร็วเท่าแสงไหม ?”
“คำตอบคือไม่… ไม่สิ ถ้ามองในมุมคนนอกคงจะเห็นว่าเร็วเท่ากัน แต่ถ้าเป็นนาย A ที่กำลังวิ่งเทียบเท่าความเร็วของแสงอยู่.. เขาก็จะยังเห็นแสงเร็วกว่าเขาอยู่ดี”
“หรือก็คือแสงเป็นความเร็วคงที่.. ที่ไม่ว่านาย A จะเร็วแค่ไหนแสงก็จะเร็วกว่าเขาเกือบสามร้อยล้านเมตรต่อวินาทีอยู่ดี”
“อาจารย์รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
“คำตอบนั้นง่ายแสนง่าย.. เพราะแสงคือสิ่งที่มีคุณสมบัติที่เร็วที่สุดในจักรวาลของเรายังไงล่ะ เพียงแค่ขอบเขตการรับรู้ของเราสูงสุดคือเห็นมันเร็วแค่นั้น นั่นคือขีดจำกัดของเรา”
“นอกจากนี้.. สิ่งที่จะยืนยันว่าแสงคือความเร็วคงที่สมบูรณ์อีกอย่างคือ การที่เราจะทำให้บางอย่างเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เราต้องมี ‘พลังงาน’ และตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ… การที่เราจะมีความเร็วให้เทียบเท่าแสง เราต้องการพลังงานที่เป็น ‘อนันต์’ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องมีความเร่งที่เป็นอนันต์ ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นอนันต์นั้นคือจุดสูงสุดของจำนวนอยู่แล้ว”
“และอย่างที่รู้กันดีว่า เวลาของคนเราไม่เท่ากัน หากเราอยู่เฉยๆ เวลาจะไหลไปข้างหน้าเร็วกว่าคนที่เคลื่อนที่”
“และหากเราใช้พลังงานอนันต์เป็นความเร่งในการเคลื่อนที่.. นั่นหมายความว่าเวลาที่ควรจะเดินไปข้างหน้าถูกหยุดลงเพราะมีพลังงานอนันต์ที่กำลังเร่งความเร็วของบางอย่างให้เร็วขึ้นมากที่สุด”
“กล่าวคือ… หากเราใช้พลังงานอนันต์เป็นการเร่งความเร็วเวลาจะหยุดเดินโดยสมบูรณ์นั่นแหละ”
“แต่การหยุดเวลา จอมมาร ผู้กล้า พาลาดิน เทพธิดา ทำได้กันอยู่แล้วนี่น่า.. ถึงจะไม่ใช่การหยุดเวลาแบบใช้พลังงานเป็นอนันต์เพื่อเร่งตัวเองจนเห็นเวลาหยุดเดินก็เถอะ อาจารย์ที่เป็น ‘ผู้กล้า’ คงจะคิดแบบนี้อยู่”
“แต่ว่า.. ถ้าเราเร็วกว่าความเร็วที่ใช้พลังงานเป็นอนันต์ขึ้นมาล่ะ ?”
เซนิสกล่าวแบบนั้น ดวงตาของอาจารย์เวโรเน่ก็หรี่ลง… ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนดำเนินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น้อยกว่าแสง
ไม่ว่าจะเป็นดาวตก ระเบิดซุปเปอร์โนว่า หรือแม้แต่หลุมดำที่กลืนกินดวงดาวไปทีละดวงยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าแสง
อย่างที่เซนิสกล่าวไปไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่เร็วกว่าแสง ในอีกกรณีจึงหมายความว่าพลังงานในโลกนี้ไม่มีทางถึงอนันต์นั่นเอง
กล่าวคือเหตุและผล ก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความเร็วแสง.. หากเราสามารถทำอะไรด้วยความเร็วที่เกินกว่าแสง เหตุอาจจะมาหลังผลก็ได้…
กล่าวคือที่เซนิสจะบอก ในมิติแห่งนั้นในเขตเฟสเตอร์… บางสิ่งบางอย่างได้หลุดออกจากกรอบของหลักเหตุและผลไปแล้ว
ทำให้ตัวตนของคนคนหนึ่งมีสองตัวได้..แถมถ้าตามที่เซนิสพูดยังหมายความว่าในเขตเฟสเตอร์ต่อให้นักเรียนตายไปในนั้นก็สามารถคืนชีพกลับมาในนั้นได้ทันที
และความตายก็จะไม่ได้ทรมานเหมือนความตายจริงๆ นั่นเอง
นอกจากนี้ตัวตนของพวกเขาที่อยู่ในนั้นจะมองว่าทุกอย่างในนั้นเป็นเรื่องปกติ.. กล่าวคือโลกแห่งนั้นได้มีหลักของเหตุและผลที่แตกต่างจากปกติไปแล้ว
“แต่ว่า.. เธอจะไปเอาพลังงานที่มากกว่าอนันต์มาจากไหน…? ขนาดพลังงานอนันต์ต่อให้เป็นเวทมนตร์ก็ยังมีไม่กี่คนในโลกที่ทำได้ แล้วพลังงานที่มากกว่านั้นเธอจะเอามาจากไหน”
เมื่อเวโรเน่ถามแบบนั้น เซนิสก็ยิ้มออกมาแล้วก็หยิบลูกบาศก์สี่เหลี่ยมออกมา…
“นี่คือ…”
“ของขวัญจากผู้ที่ถูกพระเจ้ารัก… เธอบอกให้ฉันเรียกแบบนั้นน่ะ ชื่อเธอรู้สึกว่าจะชื่อ… ‘ลิซ’ ละมั้ง”
…………….
……….
……
“เฮ้ยๆ เอาจริงดิ.. นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ แล้วยัยนั่นโผล่มาได้ไงละเนี่ย ?”
หญิงสาวผมสีเหลืองทองที่มีตุ๊กตาที่เอวที่มีท่าทางขี้เล่นก็พึมพำด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย
“ตามบทแล้ว มิตินี้มันควรจะเป็นมิติที่ เข้าใกล้ความเร็วแสงเฉยๆ ไม่ใช่หรือไงกัน ไอ้แบบนี้มันชักจะมั่วกันไปใหญ่แล้วนะ.. แถม ‘ผู้ที่ถูกพระเจ้ารัก’ งั้นเหรอ บ้าบอคอแตกชะมัด”
“เอาน่า.. หงุดหงิดไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
หญิงสาวอีกคนพูดดักคอขึ้น
“เหอะ ทำได้สิ ฉันจะไปจัดการหล่อนตอนนี้แหละ”
“นี่เธอจะไปรังแกคนที่ไม่สู้คนอื่นเหรอ ?”
“ก็ช่างหล่อนสิ ถ้าอยากจะเป็นผู้ชมก็ควรอยู่เฉยๆ สิ”
“อ่า อืม งั้นก็ระวังผู้ส่งสาส์นด้วยนะ ยัยนั่นนอกจากองค์หญิงแล้วในโลกนี้ก็ไม่มีใครเอาชนะได้หรอก แต่ฉันก็จะเป็นกำลังใจให้นะ”
“…..”
เด็กสาวผมสีเหลืองทองหยุดชะงัก… เมื่อได้ยินชื่อนั้นเธอบ่น
“เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะไปหาเรื่องหล่อนนี่นะ ปล่อยไว้ก็ไม่เสียหาย”
“กลัวอ่ะสิ ?”
“กลัวแม่เธอสิ !”
“แม่เธอกับฉันก็คนเดียวกันนั่นแหละ..ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า มาเอาใจช่วยน้องสาวพวกเราดีกว่า”
“…….”