ตอนที่ 6 ปล่อยพี่สาวคนนั้น แล้วเข้ามาหาฉันนี่!
พี่สี่จ้าวชะงัก เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยไม่เข้าใจว่าหล่อนกำลังพูดถึงอะไร
พี่สะใภ้สี่จ้าวกำลังพูดกับเขาเรื่องไข่ไก่สองฟอง
“นั่นก็เป็นเพราะน้องหกกล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้องไง แถมยังถูกตีจนอยู่ในสภาพนั้นอีก เป็นเรื่องปกติที่แม่จะเป็นห่วง และให้ไข่ไก่กับเขาเพื่อบำรุงร่างกาย” พี่สี่จ้าวพูด
พูดจบพี่สี่จ้าวก็นอนหลับไป โดยไม่สนใจหล่อนอีก
พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นอีกฝ่ายพลิกตัวนอนและส่งเสียงกรนหลับสนิทไปในทันใด หล่อนก็แทบจะร้องไห้ด้วยความโมโห
เป็นเพราะหล่อนให้กำเนิดแต่ลูกสาวสินะ กระทั่งสามีก็ไม่อยากฟังในสิ่งที่หล่อนพูด!
ณ ห้องด้านหลังบ้านในเวลานี้ จ้าวเหวินเทาก็กำลังรับประทานไข่ไก่กับภรรยาอย่างสบายใจเฉิบเพราะไม่มีอะไรต้องทำ
ไข่ไก่ทั้งสองฟองนี้ พวกเขาแบ่งกันรับประทานคนละใบอย่างมีความสุข
หลังจากรับประทานเสร็จ จ้าวเหวินเทาก็เตรียมจะขึ้นไปนอนบนเตียงเตา แต่เย่ฉูฉู่รินน้ำให้เขา บอกให้เขาออกไปแปรงฟันก่อนแล้วค่อยเข้านอน
“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วจะแปรงฟันอะไรอีกครับ?” จ้าวเหวินเทาพูด
“ต้องแปรงนะคะ แปรงให้สะอาดด้วย” เย่ฉูฉู่พูดเสียงเบา
นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายสอนนางในชาติที่แล้ว องค์ชายช่างมีความรู้มากนัก ก่อนหน้านี้ใคร ๆ ก็ใช้ก้านต้นหลิวขัดฟัน แต่องค์ชายกลับผลิตแปรงสีฟันขึ้นมาด้วยตนเอง
是的,就叫牙刷,专门用来刷牙的,告诉她早上晚上都要刷。
ใช่แล้ว มันเรียกว่าแปรงสีฟัน ใช้สำหรับแปรงฟันโดยเฉพาะ เขาบอกว่านางต้องแปรงทั้งเช้าและค่ำ
เขาผลิตของออกมามากมาย ยกตัวอย่างเช่นสบู่อะไรสักอย่างนี่แหละที่ขายดีเป็นพิเศษ จนคนนอกต่างก็พูดว่าองค์ชายช่างร่ำรวยถึงขนาดซื้อดินแดนได้ทั้งผืน
แต่องค์ชายเก็บเงินส่วนพระองค์ไว้ไม่มากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาชอบนำไปสร้างสะพานและปูถนน สร้างสะพานสำหรับสถานที่ยากจนแร้นแค้นหลายแห่ง ทั้งยังปูถนนให้กับชนบทในอีกหลายพื้นที่ด้วย
จ้าวเหวินเทาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก “ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย แถมมันเปลืองยาสีฟันด้วย ตอนนี้พี่สาวห้าแต่งงานออกไปแล้ว ส่งมาให้ทางบ้านได้ไม่บ่อยนักหรอก ”
หลังพี่สาวห้าของเขาเข้าเมืองไปทำงานที่โรงงานยาสีฟัน ทุกคนในบ้านก็เริ่มแปรงฟัน มีหลายคนในชนบททีเดียวที่ไม่ค่อยแปรงฟันกัน แต่ถ้าไม่แปรงฟันก็คงจะฟันผุ
พี่สาวห้าของเขาเป็นคนเผยแพร่ให้กับทางบ้าน ดังนั้นทุกคนจึงต้องแปรงฟัน แต่จะแปรงฟันอีกครั้งในตอนกลางคืนก็ออกจะเกินไปหน่อย
“คุณไปแปรงเถอะค่ะ ฉันเองก็จะแปรงด้วย” เย่ฉูฉู่พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
จ้าวเหวินเทามองภรรยาของตนเอง ภายในใจก็แอบรู้สึกจักจี้ จึงพูดว่า “ก็ได้ งั้นผมจะไปแปรงกับคุณ!”
วันนี้ภรรยาของเขายั่วยวนเกินไปแล้ว เขาชักอยากทำการบ้านขึ้นมาเสียแล้วสิ ดังนั้นตามใจเธอหน่อยก็แล้วกัน
ทั้งสองคนแปรงฟันในช่วงกลางดึก จากนั้นจึงขึ้นเตียงเพื่อเข้านอน
ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จต่อไปก็ต้องเข้านอนแล้ว เย่ฉูฉู่ใบหน้าแดงก่ำ นาง…กำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับองค์ชายเหรอ?
นี่มัน…ช่างน่าอายจริง ๆ
“ภรรยา ขึ้นเตียงเถอะ” จ้าวเหวินเทาเลิกคิ้วมองเธอ
เรื่องหลังจากนี้ เย่ฉูฉู่พูดได้เพียงว่าต่อให้ยกมาทั้งฟ้าดินก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยายออกมาได้
จ้าวเหวินเทาเองก็ตื่นเต้น ทำไมภรรยาของเขาถึงได้เขินอายยิ่งกว่าวันส่งตัวเจ้าสาวอีกล่ะ? เสียงร้องครวญครางนั่นทำให้เขาแทบจะร้องขอชีวิตจริง ๆ
“ภรรยา มีลูกตัวอ้วนใหญ่ให้ผมเร็ว ๆ นะ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างพึงพอใจ
เย่ฉูฉู่อายจนไม่ไหวแล้ว นางไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา
จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางของเธอแล้วก็พลันโอบกอดเธอด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดความในใจกับภรรยา “ถ้าครอบครัวของเราแยกบ้านได้ก็คงดีมากเลยนะ”
“แยกบ้าน?” เย่ฉูฉู่ได้ยินคำพูดนี้พลันชะงักไปเล็กน้อย นางมองเขาอย่างงุนงง
“ภรรยา คุณไม่คิดที่จะแยกบ้านเหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาเห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงคิดว่าควรจะเจรจากับภรรยาให้เข้าใจสักหน่อย “ถ้าพวกเราแยกบ้าน พวกเราก็สามารถกินอะไรตามใจตัวเองได้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำงานก็ทำ ไม่อยากทำงานก็พัก สบายจะตายไป แถมไม่ต้องคอยดูสีหน้าพวกพี่ชายพี่สะใภ้ด้วย!”
“แต่สุดท้ายทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังอยู่ พวกเราจะแยกบ้านได้ยังไงล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่พูด
เหตุผลที่ว่าลูกชายลูกสาวไม่แยกบ้านเพราะพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางเองก็พอจะเข้าใจ
“เรามีครอบครัวของเราเอง จะไม่แยกบ้านได้ยังไงล่ะครับ อีกอย่างคุณไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอครับ ว่าพี่สะใภ้สามยังพอทน แต่พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สี่น่ะไม่ชอบพวกเราเอาเสียเลย” จ้าวเหวินเทาพูด
“เรื่องแยกบ้านเกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิคะ อีกอย่างฉันคิดว่าพี่สะใภ้สี่เองก็คงไม่อยากแยกบ้านเหมือนกัน ครอบครัวของหล่อนมีลูกสาวทั้งสองคน แยกบ้านไปก็ต้องเลี้ยงตัวเอง” เย่ฉูฉู่พูด
“ช่างหล่อนเถอะครับ ทั้งบ้านมีหล่อนที่ขี้ระแวงที่สุดแล้ว แยกบ้านนั่นแหละดีที่สุด แยกบ้านแล้วก็ให้หล่อนดูแลตัวเอง อย่าหวังว่าพวกเราจะช่วยเลี้ยง!” จ้าวเหวินเทาบุ้ยปาก
“ฉันเชื่อคุณค่ะ ถ้าหากคุณอยากแยกบ้าน งั้นก็หาโอกาสไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ดูก็แล้วกันนะคะ” เย่ฉูฉู่ซบอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของเขา พลางกระซิบต่อ “ต่อให้แยกบ้าน ฉันก็สามารถทำงานหาเลี้ยงคุณได้นะคะ”
จ้าวเหวินเทาได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสุขล้นขึ้นมา “ได้ๆ ผมจะพึ่งพาให้ภรรยาเลี้ยงผมก็แล้วกันนะครับ”
“อื้อ คุณสบายใจได้เลยค่ะ” เย่ฉูฉู่พยักหน้าอย่างจริงจัง
จ้าวเหวินเทาจำเป็นต้องให้ภรรยาของเขาเลี้ยงที่ไหนกันล่ะ เพียงแต่ไม่อยากขัดใจภรรยาของเขาที่นาน ๆ จะรักเขาสุดหัวใจแบบนี้ก็เท่านั้นเอง
ไม้ที่ฟาดลงมาในวันนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาแบบ 180 องศาจริง ๆ
เขาไม่ได้ถูกทุบตีอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่เปล่าประโยชน์เลยจริง ๆ
เขานอนกอดภรรยาของตนเองโดยไม่รังเกียจความร้อนและเนื้อตัวเหนียวเหนอะแต่อย่างใด
เย่ฉูฉู่เองก็เหนื่อยเช่นเดียวกัน ทว่านางกลับนอนด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข
ก่อนนอนนั้นนางกำลังคิดว่า ไม่ว่าจะแยกบ้านหรือไม่ นางก็อยากจะดูแลเหวินเทาของนางให้ดี
แต่หากแยกบ้าน เห็นได้ชัดว่าคงดีกว่าเล็กน้อย เพราะนางสามารถทำอาหารอร่อย ๆ ให้เหวินเทากินได้ และไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนอื่น
เหล่าลูกชายและลูกสะใภ้โตแล้วย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง อันที่จริงคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวที่อยู่ในห้องก็กำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่เช่นกัน
คุณพ่อจ้าวถามว่าได้บำรุงร่างกายเจ้าหกแล้วหรือยัง เพราะเขาถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพแบบนั้น
เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อจ้าวก็เป็นห่วงลูกชายคนสุดท้อง
คุณแม่จ้าวบอกว่าได้ต้มไข่ไก่ให้รับประทานไปแล้ว คุณพ่อจ้าวจึงไม่ได้กล่าวอะไร และบอกให้ภรรยารีบนอนพักผ่อน
ครั้นถึงเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คุณแม่จ้าวก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า พี่สะใภ้รองจ้าว พี่สะใภ้สามจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ทยอยกันตื่นนอนต้อนรับเช้าวันใหม่
ครั้นเห็นว่าคนบ้านหกยังไม่ตื่น พี่สะใภ้รองจ้าวก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าพี่สะใภ้สี่จ้าวกลับรู้สึกถึงความอยุติธรรม และกระซิบว่า “น้องสามีกับน้องสะใภ้หกยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ? มีเสื้อผ้าในบ้านอีกกองหนึ่งที่ยังไม่ได้ซักนะคะ!”
“ก็แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ใช้คนไม่มากหรอก เดี๋ยวให้พวกต้าหยาเอ้อร์หยาไปซักก็ได้” พี่สะใภ้สามจ้าวเอ่ยขณะยืนแปรงฟันอยู่ข้าง ๆ
พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่อยากพูดกับพี่สะใภ้ใจดำคนนี้แล้ว
“บ้านจ้าวมีใครอยู่ไหม?” ในเวลานี้มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก
“ใครคะ?” พี่สะใภ้รองจ้าวที่กำลังกวาดลานบ้านเดินออกมาเปิดประตู
คนที่ตะโกนอยู่ด้านนอกประตูคือพ่อค้าเนื้อไช่ ซึ่งพี่สะใภ้รองจ้าวไม่รู้จักเขา เมื่อเปิดประตูเห็นเขาหล่อนจึงถามกลับ “พี่ชายมาหาใครเหรอคะ?”
ครั้นกล่าวจบ สายตาของพี่สะใภ้รองจ้าวก็เหลือบเห็นเนื้อหมูที่พ่อค้าเนื้อไช่หิ้วอยู่ในมือ
เยี่ยมไปเลย นี่มันเนื้อนี่ เป็นเนื้อหมูสามชั้นที่มีมันแทรกอยู่ น่าจะหนักราวหนึ่งชั่ง[1] ทีเดียว!
นี่คงไม่ใช่ญาติของใครในบ้านหรอกใช่ไหม?
“ผมมาขอบคุณน้องชายเหวินเทา เมื่อวานกลับมาบ้านก็ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือ เช้าวันนี้ผมก็เลยนำเนื้อมาให้เขาหนึ่งชิ้น!” พ่อค้าเนื้อไช่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องที่น้องสามีของฉันทำเรื่องกล้าหาญเพื่อความถูกต้องน่ะเหรอคะ?” พี่สะใภ้รองได้ยินก็รีบถามกลับไป
“ใช่แล้ว ๆ ต้องขอบคุณน้องชายเหวินเทามากจริง ๆ!” พ่อค้าเนื้อไช่พูดด้วยท่าทางจริงจัง
เมื่อวานภรรยาของเขาได้ใส่เงินไว้ในกระเป๋าของหล่อน เป็นเงินรายได้ของเขาในเดือนนี้รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมด 28 หยวน
หากไม่ใช่เพราะน้องชายจ้าวเหวินเทาไม่กลัวต่ออำนาจความชั่วร้าย เงินในกระเป๋าของภรรยาคงโดนขโมยจนหมด ที่สำคัญก็คือเมื่อวานมีแค่ภรรยาของเขาอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายถึงสี่คน
นี่มันอันตรายขนาดไหนกัน?
เมื่อวานหลังจากกลับถึงบ้าน ภรรยาของเขาก็จับมือเขาแล้วบอกเขาว่า ต้องขอบคุณเหวินเทาให้ดี ๆ หล่อนรู้สึกซึ้งใจกับศีลธรรมอันสูงส่งของน้องชายจ้าวจริง ๆ!
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะจ้าวเหวินเทารู้ดีว่าเขาและภรรยาคงหนีไม่พ้น ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงดุดันสีหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าปล่อยพี่สาวคนนั้นแล้วเข้ามาหาฉันนี่!
ตอนที่สู้กันหนึ่งต้านสี่ เขายังตะโกนบอกว่าพี่สาวจงรีบหนีไป ผมจะรับมือเอง!
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
[1] หนึ่งชั่ง เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัม
สารจากผู้แปล
ฟินล่ะสิฉูฉู่ ผู้แปลเองก็ฟินเหมือนกันค่ะ
ความดีที่ทำไว้เริ่มปรากฏผลแล้ว พวกพี่ชายพี่สะใภ้จะมีความเห็นยังไงกันบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)