ตอนที่ 103 ชาจูฉ่ายอาหารภาคเหนือ
คุณพ่อจ้าวมองลูกคนเล็กที่อยู่ทางฝั่งนั้นปราดหนึ่งด้วยรอยยิ้ม ปากก็พูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “ก็มันทำตัวไม่เอาจริงเอาจังแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“มีลูกชายหัวใสฉลาดปราดเปรื่องแบบนี้ นายเองก็คงแอบมีความสุขอยู่นั่นแหละ ฉันว่าเหล่าไป๋โถวก็เคยคิดอยากจะรับลูกชายคนเล็กคนนี้ของนายไปเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาเลือกไปค้าขายแล้ว ไม่งั้นเหล่าไป๋โถวคงให้เขาติดตามอย่างมีความสุขแน่นอน” ชายชราอีกคนกล่าว
บนใบหน้าของคุณพ่อจ้าวไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ทว่าภายในใจกลับยิ้มอยู่ ลูกชายคนเล็กของตนเองไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนทักทาย เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับนิสัยที่ทำให้ผู้คนรักใคร่ซึ่งหาได้ยาก
แต่เขาก็ไม่ได้ยกยอปอปั้นลูกชายของตัวเองตามคนอื่น กล่าวว่า “ฉันเองก็ไม่อยากให้มันไปหาบเร่หรอก แต่จะไม่ให้มันไปก็ไม่ได้ งานในนามันก็ไม่ยอมทำ ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว ภรรยาก็ท้องแล้ว ตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน ฉันก็เลยไม่ได้สนใจมันแล้ว”
“คนหนุ่ม ๆ อยากจะค้าขายก็ให้ไปเถอะ ถ้าทำไม่ไหวค่อยกลับไปลงนาก็ยังไม่สาย”
“หาบเร่ดีจะตายไป นี่เขาก็ทำได้ไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอ?”
“คงได้เงินมาไม่น้อยเลยมั้งเนี่ย?”
ทุกคนต่างก็ถามพ่อจ้าวกันหมด
“มันไปเป็นลูกมือให้พี่สามของภรรยา ได้เงินไหมก็เป็นเรื่องของมันแล้ว หลังจากแยกบ้านยังต้องมาบอกพวกเราเรื่องนี้อีกเหรอ?” คุณพ่อจ้าวกล่าว
คนอื่น ๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด มิเช่นนั้นคนแก่ ๆ อย่างพวกเขาเหตุใดถึงไม่มีความสุขที่แยกบ้านล่ะ เมื่อแยกบ้านแล้ว ก็จะกลายเป็นอยู่คนละบ้านกับลูกชาย
มีคนหลายคนงานจึงสำเร็จรวดเร็ว ไม่นานนักไส้กรอกเลือดก็ถูกกรอกจนเสร็จ
เครื่องในอะไรพวกนั้นก็จัดการเรียบร้อยแล้ว นอกจากน้ำมันที่เหลือไว้ให้ทีมใหญ่ใช้ อย่างอื่นที่ควรกินก็กิน ที่ควรแบ่งก็แบ่ง ไม่ได้เหลือเก็บไว้
ผักกาดขาวแห้งที่ห้องครัวถูกล้างทำความสะอาด หลังจากผ่านน้ำเดือดไปหนึ่งรอบก็เริ่มนำลงไปต้มในหม้อเป็นชาจูฉ่าย(1)
ชาจูฉ่ายเป็นอาหารเฉพาะของภาคเหนือ
ทางฝั่งนี้โดยทั่วไปจะใช้ผักกาดขาวแห้ง บางที่ก็จะใช้ผักดอง ไม่ว่าจะใช้อะไร ถึงอย่างไรก็ต้องเติมไส้กรอกเลือด เนื้อขาว หรือหมูสามชั้นลงไป ก็กลายเป็นชาจูฉ่ายแล้ว
จะให้ได้รสชาติของชาจูฉ่ายนั้นต้องทำตอนที่เชือดหมู เพราะวัตถุดิบจะสดใหม่ ทั้งยังได้รับความรู้สึกจากพิธีกรรมนี้ด้วย ในแง่ที่ว่าเมื่อรับประทานชาจูฉ่ายแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับผลตอบแทนจากความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งปีนี้คืนมาในที่สุด
ไส้กรอกเลือดจำนวนมากขนาดนี้ไม่สามารถใส่ลงไปในชาจูฉ่ายได้ทั้งหมด ต้องต้มขึ้นมาอีกหม้อหนึ่งด้วย ระหว่างที่ต้ม ก็ใช้เข็มเจาะไส้กรอกเลือดเพื่อไล่อากาศภายใน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเน่าเสียและทำให้ดูไม่สวย
นอกจากไส้กรอกเลือดแล้ว ยังต้มเนื้อ เนื้อขาว หมูสามชั้น ตุ๋นจนเนื้อเปื่อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเทกระเทียมกับซีอิ๊วลงไป ก็กลายเป็นกับข้าวหนึ่งจานแล้ว
ที่กล่าวไปข้างต้นคืออาหารจานหลัก นอกจากนี้ยังต้องทำกับข้าวอีกนิดหน่อยด้วย มีวุ้นเส้นผักกาดดอง ผักกาดขาวเต้าหู้ นี่คืออาหารที่เจอบ่อย ๆ ในฤดูหนาวเหล่านี้
หญิงชราและสาววัยกลางคนวุ่นอยู่ในครัว ส่วนลูก ๆ ของตัวเองก็วิ่งเข้ามารับประทานเป็นครั้งคราว แม่คนนี้หั่นไส้กรอกเลือดให้ลูกหนึ่งชิ้น ย่าคนนั้นเพิ่มเนื้อให้หลานไปหนึ่งคำ
หากมีคนเห็นก็เพียงแค่พูดเคล้ารอยยิ้มไม่กี่ประโยค ว่าอย่าให้ลูกบ้านตัวเองกินหมด อีกเดี๋ยวผู้ใหญ่ยังต้องกินอีก แต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไร ถึงอย่างไรในหนึ่งปีนี้เด็ก ๆ ก็ออกแรงให้กับการก่อสร้างและการผลิตไปแล้ว วันที่เชือดหมูนี้ถึงอย่างไรก็ต้องกินสักหน่อย
การแบ่งเนื้อด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับปริมาณที่ไม่เพียงพอ จึงเกิดการโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา
เสียงโวยวายน้้นรุนแรงมากจนไม่สามารถแบ่งเนื้อต่อไปได้ หัวหน้าใหญ่สามคนของทีมใหญ่มาแล้ว เสียงของเลขาคนนี้ทำเอาคนที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง
“ทะเลาะอะไรกัน? จะบอกอะไรให้นะ ปีนี้จะเป็นการแบ่งเนื้อหมูเป็นครั้งสุดท้าย ปีหน้ามีระบบสัญญารับผิดชอบที่ดินแล้ว พวกเธออยากกินเนื้อหมูก็ต้องเลี้ยงกันเอง ไม่ได้มีเรื่องดี ๆ แบบนี้แล้ว ตอนนี้ยังจะแบ่งอีกไหม? ถ้าไม่แบ่งก็ยกเลิกไปเลย!” เลขาของทีมสวมเสื้อกันหนาวหนังแกะ หลังจากพูดจบก็กวาดตามองทุกคน ก่อนจะแค่นเสียงเย็นเดินกลับเข้าบ้านไป
“พอแล้ว ๆ รีบแบ่งเนื้อเถอะ ไม่ได้ยินที่เลขาพูดเหรอ ปีหน้าไม่มีให้แบ่งแล้วนะ พวกเธอก็ต้องหวงแหนกันไว้!” หัวหน้ากล่าว ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเช่นกัน
ฝ่ายบัญชีกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “แบ่งได้น้อยอีกเดี๋ยวก็กินให้เยอะ ๆ หน่อยแล้วกันนะ!”
ทั้งสามคนเดินมาเอ่ยปากพูดแล้ว สถานการณ์ย่อมควบคุมได้ การแบ่งเนื้อจึงดำเนินต่อไป
“ข้าวเรียบร้อยแล้ว เลขา จะกินตอนนี้เลยไหม?” พ่อครัวใหญ่ในทีมมารายงาน
เลขานั่งอยู่ริมเตียงเตา พยักหน้าพลางกล่าว “นี่ก็สายแล้ว กินเถอะ เรียกหัวหน้าทีมเล็กมาด้วย”
พ่อครัวใหญ่พยักหน้าโน้มตัวให้ก่อนจะเดินไป
หัวหน้าเองก็ลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันไปเรียกพวกเขาก็แล้วกัน”
พื้นที่ว่างไม่ได้ใหญ่เท่าไรนัก สามารถวางโต๊ะใหญ่ได้สี่ตัว บนเตียงมีเลขาที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ด้านล่างของเตียงเตาคือผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งภายในหมู่บ้าน ยกตัวอย่างเช่นเหล่าไป๋โถวเป็นต้น
ส่วนอีกสองโต๊ะที่เหลือนำโดยหัวหน้าสาวในหมู่บ้าน มีกลุ่มหญิงสาววัยกลางคนและสูงอายุที่มีความสามารถในการปลุกมวลชน และพวกหนุ่มสาวที่ออกแรงร่วมกัน รวมถึงพวกเด็ก ๆ
จ้าวเหวินเทานั่งอยู่กับโต๊ะนี้
บ้านในทีมมีขนาดใหญ่มาก โต๊ะสี่ตัวจึงไม่ได้เบียดเสียดอะไร
บนโต๊ะมีขาจูฉ่ายหม้อใหญ่วางอยู่ นอกจากนี้ยังมีกับข้าวอีกสามจานเล็กเป็นเนื้อตุ๋นผักดอง เนื้อตุ๋นผักกาดขาว และเนื้อตุ๋นผักดองก้อน โต๊ะของเลขาทางฝั่งนั้นมีกับข้าวอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกสามจาน เป็นไส้กรอกเลือดทอด หมูสามชั้นผัดกระเทียมซีอิ๊ว และตับหมูผัดกระเทียมซีอิ๊ว
เหล้าคือเหล้าขาวบรรจุขวด ส่วนโต๊ะอื่นเป็นเหล้าขาวแบ่งขาย ดู ๆ ไปแล้วก็ค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
หัวหน้าเป็นคนที่มีสายตาว่องไวมาก เขารินเหล้าให้เลขาจนเต็มแก้ว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เลขา พูดอะไรสักสองสามประโยคแล้วค่อยกินสิ?”
“ใช่ ๆ เลขา พูดอะไรสักหน่อยสิ!”
“นั่นสิ เลขา คุณต้องพูดนะ ไม่งั้นเนื้อนี้คงกินไม่อร่อย!”
ฝ่ายบัญชีและหัวหน้าทีมเล็กสองสามคนรีบกล่าวเสริม
จ้าวเหวินเทานิ่งสงบมากกับภาพที่เห็นได้ชัดตอนนี้ พวกคนขี้ประจบสอพลอเอ๊ย!
แต่เขาก็คือเงามืดใต้แสงไฟ อันที่จริงสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุดคือทักษะผิวเผินพวกนี้ ถ้าเย่ฉูฉู่อยู่ที่นี่ คงได้ด่าไปหัวเราะไปในเรื่องที่เขายังมีหน้าไปด่าคนอื่นแน่ ๆ?
กลับมาพูดถึงบรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้ หัวหน้าและฝ่ายบัญชีที่นั่งอยู่บนเตียงต่างก็เอ่ยปากแล้ว คนที่อยู่ล่างเตียงเตาก็ไม่ได้อยู่เฉย พากันโน้มน้าวให้เลขาพูดสักสองสามประโยค
เลขาจึงยกมือขึ้นมาและกดลงด้วยรอยยิ้ม
หัวหน้ารีบกล่าว “เงียบเสียง ฟังสิ่งที่เลขาพูด!”
ทุกคนจึงปิดปากเงียบสนิทโดยพลัน
เลขาหัวเราะอีกครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ฉันขอพูดสักสองสามประโยคนะ ปีนี้การเก็บเกี่ยวถือว่าไม่เลวเลย ทุกคนเองก็ได้ส่วนแบ่งจากข้าวไปไม่น้อย ทั้งยังเชือดหมูอีกสี่ตัว ส่วนหมูอีกสิบตัวที่เหลือเหล่านั้นจะนำไปขาย เพื่อนำมาเป็นรายจ่ายให้ภายในทีมในปีหน้า แม้ว่าปีหน้าจะมีระบบสัญญาที่ดินแล้ว ต้องทำงานกันเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีองค์กร ทุกคนยังต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ต้องมีระเบียบวินัย เข้าใจไหม?”
“เลขา พวกเราต่างก็เป็นชาวบ้านไร้การศึกษา และไม่ได้มีวัฒนธรรมอะไร การแยกกันไปทำงานสุดท้ายแล้วมันคือรูปแบบอะไรกันแน่? เลขา ช่วยอธิบายสักหน่อยเถอะ” หัวหน้าทีมเล็กพูดประจบประแจง
เลขามองเขาพลางกล่าว “ก็ได้ ฉันจะอธิบายให้ฟัง อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ ทีมเล็กจะถูกยุบ หัวหน้าทีมเล็กก็จะไม่มีแล้ว”
รอยยิ้มประจบสอพลอของหัวหน้าทีมเล็กพลันแข็งทื่อ ทำไมการเลียแข้งเลียขาของเขาถึงกลายเป็นหาเรื่องให้ตัวเองเสียแล้วล่ะ?
จ้าวเหวินเทาที่นั่งอยู่ทางฝั่งนั้นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
เลขาไม่ได้สนใจสีหน้าไม่สู้ดีของหัวหน้าทีมย่อย เขาพูดต่อไปว่า “ทำงานเองแล้ว ก็ต้องทำงานของตัวเอง ไม่มีใครมาเรียกให้ไปเข้างานแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีความจำเป็นต้องมีหัวหน้าทีมเล็ก ถ้านายไม่ทำงาน ก็ไม่มีใครสนใจนาย แต่ก็นะ หัวหน้าทีมใหญ่ยังคงมีอยู่ ตำแหน่งเลขาอย่างฉันก็ยังอยู่ มีเรื่องอะไร ก็จะช่วยแก้ปัญหาให้พวกนาย นอกจากนี้ตำแหน่งหัวหน้า ฝ่ายบัญชี และหัวหน้าหญิง คนเหล่านี้ยังคงมีเหมือนเดิม!”
ทั้งสามคนที่ถูกกล่าวถึงต่างก็แย้มยิ้มในทันที ตำแหน่งต่อให้เล็กกว่านี้ก็ยังเป็นตำแหน่ง อำนาจที่มีเท่ากับขนาดของยุงก็ยังถือว่าเป็นอำนาจอยู่ดี
หลังจากกล่าวเรื่องเหล่านี้จบแล้ว เลขาก็พูดขึ้นว่า “กิน ทุกคนกินเถอะ อาหารเย็นชืดจะไม่อร่อยนะ!”
ทุกคนจึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มรับประทานอาหาร
………………………………………………………………………………
(1)杀猪菜 อาหารจำพวกหม้อไฟของคนจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยเนื้อหมูสามชั้น ผักกาดขาวดองเปรี้ยว ไส้กรอกเลือดหมู เหมาะกับการกินตอนอากาศหนาวหลังจากเพิ่งล้มหมูมาใหม่ๆ จะเรียกว่าหม้อไฟตงเป่ยก็ได้ (ภาพจาก https://daydaynews.cc/zh-my/food/458257.html)
สารจากผู้แปล
ต่อไปคือต้องพึ่งพาตัวเองแล้วนะ พวกคนขี้เกียจนี่มีหนาวกันแล้ว
ไม่น่าแปลตอนนี้ตอนกลางคืนเลยค่ะ พอไปเสิร์จภาพชาจูฉ่ายแล้วถึงกับน้ำลายสอ
ไหหม่า(海馬)