ตอนที่ 137 เย่หมิงเป่ยอยู่ที่เมืองหลวง (1)
ตอนที่สองแม่ลูกกำลังคุยกัน ในเวลานี้เย่หมิงเป่ยก็กำลังมองรถที่ขับผ่านไปมาอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่งของเมืองหลวง
แน่นอนว่าเขาเดินทางมาถึงปักกิ่งนานแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่เขาเพิ่งลงจากรถไฟและออกมาจากสถานี ก็คล้ายกับเข้ามาอยู่โลกอีกใบอย่างไรอย่างนั้น
ความคิดแรกคือ คนมาจากไหนกันถึงได้เยอะแยะขนาดนี้?
ผู้คนที่เนืองแน่นทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดและงุนงง
เขาเองก็เป็นคนที่เข้าไปในเมืองบ่อย ๆ แต่ในเมืองก็ไม่ได้มีคนมากมายขนาดนี้
จากนั้นก็เป็นรถ ที่บ้านของเขาทางฝั่งนั้นการที่จะได้เห็นรถสักคันเป็นเรื่องยากมาก แต่หลังจากมาถึงเมืองหลวง สิ่งนี้ไม่ได้ขาดแคลนเลยจริง ๆ แค่ออกจากประตูบ้านก็เห็นแล้ว
นอกจากนี้ยังมีตึก เป็นตึกสูงระฟ้า
ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเห็นแล้วตาลาย ในเวลาเดียวกันพวกมันก็ส่งเสียงดังจอแจ ทำให้เกิดเสียงวิ้ง ๆ ในสมอง ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าจะได้สติกลับมา และปรับตัวเข้ากับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองใหญ่แห่งนี้ได้บ้าง
วันนั้นโจวหมิ่นเดินทางมารับเขาที่สถานีด้วยตัวเอง จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่
แต่การนั่งรถแท็กซี่ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเดินทางถึงที่พักของพวกเขา ซึ่งเป็นบ้านพักแบบเรือนสี่ประสาน[1]
สถานที่ที่โจวหมิ่นเช่าไว้ให้เขาเป็นเรือนหลักหนึ่งหลัง ตรงกลางกั้นเป็นสัดส่วน ด้านหลังเป็นห้องครัว ด้านหน้ามีเตียงหนึ่งเตียง ขนาดพื้นที่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับห้องในบ้านของพวกเขา
แต่หนึ่งเดือนต้องจ่ายให้ที่นี่ห้าหยวนแล้ว
เรือนสี่ประสานแห่งนี้นอกจากพวกเขาสองคนที่เช่าแล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเช่า
หลังจากเย่หมิงเป่ยกวาดตาสำรวจแล้วก็ไม่แปลกใจที่จะปล่อยเช่าไม่ออก ราคาแพงขนาดนี้มีแค่ภรรยาแสนทึ่มของเขาเท่านั้นแหละที่จะตัดสินใจเช่าโดยไม่เสียดาย
เดิมทียังมีคุณป้าอีกหนึ่งคนที่มาทำอาหารให้ แต่หลังจากเย่หมิงเป่ยเดินทางมาถึงก็ลาออกไป ไม่ต้องใช้งานนางแล้ว เพราะเขาเองก็ทำอาหารเป็น ทั้งยังทำอร่อยมากด้วย
โจวหมิ่นพักอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่เป็นเพราะต้องทำงานยุ่งอยู่ข้างนอก หล่อนจึงไม่ได้กลับไปที่มหาวิทยาลัยอยู่บ่อย ๆ แต่จะมาพักอยู่ที่นี่ ตอนนี้เย่หมิงเป่ยมาแล้ว หล่อนจึงย้ายออกมาและไม่ได้พักอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัยแล้ว
เขาไปส่งหล่อนทุกวัน ตอนเที่ยงก็จะเอาอาหารไปส่งให้ที่มหาวิทยาลัย โจวหมิ่นยังต้องเรียนหนังสือ เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรต้องทำ จึงเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เขากำลังออกมาเดินอยู่ข้างนอก
ที่นี่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยของโจวหมิ่นไม่ไกล อยู่ในเขตชานเมือง รถและคนไม่ได้มากเหมือนกับที่เห็นตรงสถานีรถไฟ แต่เมื่อเทียบกับบ้านเกิดแล้วก็ยังเยอะมากอยู่ดี
โดยเฉพาะรถจักรยานที่รวมกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อน เย่หมิงเป่ยไม่เคยเห็นรถจักรยานเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ
นอกจากนี้อาหารของที่นี่ก็แพงมากด้วย
แม้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่เพิ่งมาถึงจะรับประทานอาหารกับโจวหมิ่นที่ร้านอาหารไปหนึ่งมื้อ แล้วหลังจากนั้นเขาทำอาหารเองตลอดก็ตาม
แต่ค่าครองชีพก็สูงมาก มาตรฐานราคาของสินค้าทางนี้แพงกว่าบ้านเกิดของเขาทางฝั่งนั้นไม่น้อยเลย
โดยเฉพาะการเผาถ่านหินรังผึ้ง(2)ของทางฝั่งนี้ ซึ่งใช้เยอะมาก สิ่งที่เผาก็คือเงินจริง ๆ
อย่ากล่าวว่าเย่หมิงเป่ยเป็นคนขี้เหนียวเกินไปเลย นี่เป็นการคำนวณโดยใช้เกณฑ์ของชายตัวใหญ่คนหนึ่ง ทุกอย่างล้วนเป็นค่าครองชีพ จะไม่ให้คำนวณได้อย่างไรกัน?
ต้องคำนวณให้ชัดเจนในใจถึงจะมีแผนว่าเงินส่วนไหนที่ควรใช้ เงินส่วนไหนไม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่จำเป็นต้องชี้ให้เห็น
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่มีช่องทางหารายได้ คิดดูแล้วก็ต้องประหยัดไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เย่หมิงเป่ยออกมาเดินเล่นข้างนอก อันที่จริงเขาไม่ได้แค่เดินเที่ยวชมภูมิทัศน์เฉย ๆ แต่กำลังไตร่ตรองว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้าง
ผลลัพธ์ที่ได้คือเขาทำอะไรไม่เป็นเลย
เป็นเพราะเวลาในการทำงานและเลิกงานของเขาขึ้นอยู่กับการเข้าเรียนและเลิกเรียนของโจวหมิ่น แต่เขาคือเถ้าแก่หรืออีกฝ่ายเป็นเถ้าแก่ล่ะ? คิดจะทำงานก็ต้องทำตามอีกฝ่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะยึดเวลาตามคนทำงานอย่างเขา
ดังนั้นเมื่อเย่หมิงเป่ยคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าตนเองจะไม่รับจ้างทำงาน ต้องทำงานเป็นของตัวเองถึงจะดี
แต่ทำงานเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เย่หมิงเป่ยออกมาเดินข้างนอกเสร็จแล้วก็ยังไม่มีความคิดอยู่ดี กลับมาเขาก็เจอโจวหมิ่นแล้ว
โจวหมิ่นกำลังอ่านหนังสือ เมื่อเห็นเขากลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“อืม” เย่หมิงเป่ยแย้มยิ้ม
“เดินไปไหนมาคะ กลับมาครึ่งชั่วโมงแล้วไม่เห็นคุณเลย” โจวหมิ่นกล่าว
เย่หมิงเป่ยยื่นหน้าเข้ามาจูบ ทำเอาโจวหมิ่นถึงกับยิ้มออกมา
แม้ว่าหลังจากมาถึงปักกิ่งเย่หมิงเป่ยจะเกิดอาการตะลึงลานไป เด็กชนบทเดินทางมาถึงมหานครใหญ่ครั้งแรกแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่อารมณ์ทั้งหมดก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับภรรยาและลูกของเขา
เขารู้สึกได้ว่าหลังจากที่เขาเดินทางมาถึง ภรรยาของเขาก็มีความสุขเป็นพิเศษ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ
ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ก็ต้องทำให้ภรรยาของตัวเองมีความสุข และทำให้รู้สึกปลอดภัยไม่ใช่เหรอ?
“ผมจะไปทำอาหารนะ” เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โจวหมิ่นเองก็ปล่อยให้เขาไปจัดการ เธอกล่าวว่า “พรุ่งนี้วันหยุด ฉันจะพาคุณไปเดินเล่นนะคะ”
“ครับ” เย่หมิงเป่ยตอบกลับ
แม้ค่าครองชีพจะสูงจนเย่หมิงเป่ยเองก็รู้สึกว่าแพงเกินไปไม่น้อย แต่ของกินที่ควรซื้อกลับมาก็ต้องซื้อกลับมา ยกตัวอย่างเช่นกลางคืนรับประทานปลาผัดน้ำแดง เนื้อไก่ผัดเห็ดหูหนู และไข่คน นี่ก็ถือว่าเต็มโต๊ะมากแล้ว
หลังจากสองสามีภรรยารับประทานอาหารเสร็จก็เดินเล่นในเรือนสี่ประสาน ระหว่างนั้นก็ปลูกดอกไม้ไปด้วย
หลัก ๆ คือโจวหมิ่นอยากปลูก หล่อนซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้กลับมาไม่น้อย เย่หมิงเป่ยจึงปลูกให้หล่อนตามที่หล่อนอยากจะปลูก
เมื่อถึงเวลาแล้ว สองสามีภรรยาก็อาบน้ำเข้านอน
เย่หมิงเป่ยอยู่ค่อนข้างห่างจากภรรยา ตอนนี้เขาไม่กล้านอนข้างภรรยา ช่วยไม่ได้ แค่นอนข้างๆ เขาก็เป็นทุกข์แล้ว
โจวหมิ่นหัวเราะเสียงเบา ตอนที่กลับไปในช่วงข้ามปี แต่ละวันก็ต้องนอนกอดหล่อนจนแน่น ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะกอดหล่อนด้วยซ้ำ
“หมิงเป่ย” โจวหมิ่นร้องเรียกเสียงเบา
“ภรรยา” เย่หมิงเป่ยกุมมือหล่อนไว้
โจวหมิ่นยิ้ม หล่อนยื่นหน้าเข้ามาจูบเขา เย่หมิงเป่ยจึงกระซิบเสียงเบา “ภรรยา ตอนนี้คุณท้องแล้ว ทำไม่ได้นะ”
“ฉันรู้ ก็แค่จูบเอง ฉันอยากจูบน่ะ” โจวหมิ่นกล่าว
เย่หมิงเป่ยทนไม่ไหวแล้ว เขายื่นหน้าเข้ามาจูบภรรยาของเขา จากนั้นเขาก็ทนไม่ไหว จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยภรรยาของตนเอง
โจวหมิ่นย่อมรู้ดีว่าเขาลำบากใจ แต่ตอนนี้ระยะสามเดือนแรกยังไม่ผ่านพ้น ซึ่งไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ดังนั้นหล่อนจึงยื่นมือล้วงลึกลงไปด้านล่าง…
คืนนี้เย่หมิงเป่ยได้มอบชีวิตของเขาให้กับภรรยาแล้ว เป็นเพราะมีวิธีช่วยปลดปล่อย เขาจึงอยากนอนกอดภรรยาเพื่อนอนหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาย่อมรู้สึกสดชื่น
“คุณพ่อของลูก ฉันจะพาคุณไปเดินห้างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงนะ” หลังจากรับประทานอาหารเช้า โจวหมิ่นจึงกล่าวขึ้น
มีเหตุผลอะไรที่เย่หมิงเป่ยจะไม่พึงพอใจ เขาย่อมออกไปเป็นเพื่อนกับภรรยาอยู่แล้ว
ทั้งสองคนเรียกรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดที่โจวหมิ่นบอก ซึ่งก็คือห้างสรรพสินค้าโหย่วอี้
ห้างสรรพสินค้าในตอนนี้ไม่สามารถนำมาเทียบกับห้างสรรพสินค้าในยุคหลังได้ ลำพังห้างสรรพสินค้าโหย่วอี้นี้ก็ถือว่าใหญ่มากจริง ๆ
ทำให้คนเดินหาทิศกันไม่เจอเลยทีเดียว
โจวหมิ่นคล้องแขนของเขา จากนั้นก็พาเขาเดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วเคาน์เตอร์เล่า
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ยังไม่อาจหยุดหัวใจที่รักสวยรักงามของผู้คนได้ ผู้หญิงจำนวนมากสวมกระโปรง ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่
ส่วนผู้ชายมองดูแล้วเหมือนกับสวมใส่ชุดที่บางมาก
เย่หมิงเป่ยเดินไปพลางมองไปพลาง
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เดินเข้ามาที่แผนกเครื่องแต่งกายผู้ชายพร้อมกับภรรยา
เทียบกับแล้วคนที่นี่ดูน้อยลงนิดหน่อย ไม่เหมือนกับเคาน์เตอร์เมื่อครู่เหล่านั้น แน่นขนัดจริง ๆ
“หมิงเป่ย ยืนให้ดีนะคะ ฉันจะดูสิว่าตัวนี้ดูดีหรือเปล่า” โจวหมิ่นหยิบเสื้อสูทมาเทียบกับเย่หมิงเป่ย
พนักงานขายผู้หญิงแตกต่างจากพนักงานขายที่บ้านเกิดที่ชอบเชิดหน้ามองคน เห็นได้ชัดว่าหล่อนดูเป็นกันเองเป็นพิเศษ ทั้งยังเข้ามาพูดชื่นชม “คุณผู้ชายท่านนี้รูปร่างสูง เข้ากับชุดนี้มาก สายตาของคุณผู้หญิงดีจริง ๆ ค่ะ”
แถมยังช่างเจรจาโดยแท้ พูดชมโจวหมิ่นเสร็จก็พูดชมเย่หมิงเป่ย แล้วชมว่าเหมาะสมกับชุดด้วย
……………………………………………………………………………………………………………………
[1] เรือนสี่ประสาน (四合院) หรือซื่อเหอเยวี่ยน เป็นบ้านที่ล้อมรอบด้วยกำแพงทั้งสี่ด้านมีลานบ้านอยู่ตรงกลาง มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับความสมมาตรของเส้นกลางที่แบ่งบ้านออกเป็นสองส่วน บ้านแบบนี้จะปิดประตูใหญ่ของบ้านไว้เป็นเสมือนการจำกัดขอบเขตของโลกภายนอกกับภายในตัวบ้าน ทุก ๆ ห้องภายในบ้านจะหันหน้าเข้าสู่ลานบ้านแสดงให้เห็นถึงการรวมกันของความรักของสมาชิกภายในครอบครัว ซื่อเหอเยวี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสำหรับครอบครัวเดี่ยว ในแง่หนึ่งสามารถกล่าวได้ว่ารูปแบบของเรือนสี่ประสานเป็นการแสดงถึงสังคมศักดินาภายในครอบครัวของจีน ซึ่งสังคมภายนอกไม่มีผลต่อภายในบ้าน ส่วนคนภายในบ้านก็พัฒนาตัวเอง ในอีกแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่ารูปแบบนี้แสดงถึงว่าผู้น้อยควรเคารพผู้อาวุโส ต่างชนชั้นก็ปฏิบัติต่างกัน คนในครอบครัวกับคนนอกครอบครัวก็ปฏิบัติตนต่างกัน แบ่งตามลำดับศักดินาภายในครอบครัว สภาพแวดล้อมที่เป็นลานบ้านแบบปิดนี้ทำให้คนในบ้านรับรู้ถึงความเงียบสงบและความสะดวกสบายอีกด้วย (ภาพจาก https://aichineseschool.wordpress.com/2019/03/22/145/)
(2) ถ่านหินรังผึ้ง เป็นถ่านหินอัดแท่งที่มีรูพรุนตรงกลางคล้ายรังผึ้ง เผาแล้วให้ความร้อนสูง ลุกไหม้เร็ว และประหยัดพลังงาน โดยถ่านหินรังผึ้งก้อนหนึ่งใช้เวลาลุกไหม้นาน 120-150 นาที (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E8%9C%82%E7%AA%9D%E7%85%A4/8621891)
สารจากผู้แปล
เอ็นดูหมิงเป่ยตอนนี้จริง ๆ เหมือนโจวหมิ่นเลี้ยงทั้งลูกชายทั้งสามีในตัวคนเดียว
ห้างในเมืองไทยที่วางผังได้งงที่สุดในความคิดของผู้แปลก็คือเซ็นทรัลเวิลด์นี่แหละค่ะ เข้าไปแล้วหลงทุกที
ไหหม่า(海馬)