“บ้านพวกเขามีลูกเยอะ ที่ดินก็มีตั้งเยอะแยะ ไม่สร้างบ้านตอนนี้หลังจากนี้จะไปมีเวลาว่างที่ไหนกันล่ะ ฤดูหนาวก็สร้างไม่ได้อีก!” คุณพ่อจ้าวกล่าว
คุณแม่จ้าวไม่ได้พูดอะไร เมื่อมองดูบ้านตัวเองที่ทั้งเก่าและดูทรุดโทรม จึงถอนหายใจออกมา
เมื่อไรตระกูลจ้าวของพวกเขาถึงจะสร้างบ้านได้นะ
ตอนนี้จ้าวเหวินเทาในสภาพเปลือยท่อนบนกำลังขึ้นคานบ้านกับพวกชายหนุ่มอีกสามสี่คน ทุกคนพร้อมใจกันตะโกน จากนั้นก็ออกแรงพร้อมกัน ในที่สุดก็ติดตั้งคานจนเสร็จ
พี่ใหญ่เย่ที่อยู่ด้านล่างจุดประทัดแขวน ครั้นเสียงประทัดดังขึ้นปัง ๆ พี่ใหญ่เย่จึงคลี่ยิ้มออกมา
การสร้างบ้านใหม่ไม่เพียงต้องจุดประทัดแต่ยังต้องมีงานเลี้ยงด้วย ตอนนี้อากาศไม่หนาวแล้ว งานเลี้ยงจึงถูกจัดภายในลานบ้าน
ไม้กระดานหลายแผ่นต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นโต๊ะ เก้าอี้ม้านั่งยาวหลายตัวถูกวางไว้อย่างดี เนื้อและผักที่ถูกจัดใส่จานเล็กถูกยกมาเสิร์ฟ เหล้าถูกรินลงในชามสีขาวใบใหญ่ งานเลี้ยงราคาประหยัดหนึ่งมื้อได้เริ่มขึ้นแล้ว
จ้าวเหวินเทาเองก็หิวแล้วเช่นกัน เขาตักเนื้อไก่ชิ้นใหญ่ขึ้นมารับประทานหนึ่งชิ้น
เขาไม่ได้ดื่มเหล้า เพราะตอนบ่ายยังต้องไปส่งของ รับประทานเนื้อให้มากหน่อยก็พอแล้ว
พี่ใหญ่เย่ทักทายแขกรอบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งข้าง ๆ จ้าวเหวินเทา ยกถ้วยข้าวขึ้นมาพลางพุ้ยข้าวเข้าปาก
“พี่ใหญ่ ทำไมพี่ไม่ดื่มล่ะ?” จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม เขาจำได้ว่าพี่ใหญ่ของภรรยาคอแข็งใช้ได้
“ตอนบ่ายฉันยังต้องไปขนอิฐอีก ดื่มเยอะคงเสียงานแย่” พี่ใหญ่เย่กล่าว “ฉันยังดายหญ้าในแปลงข้าวฟ่างรอบแรกไม่เสร็จเลย รอบสองก็จะเริ่มอีกแล้ว”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ พี่ปลูกข้าวฟ่างให้น้อย ๆ หน่อย พืชชนิดนี้จัดการยุ่งยากจะตายไป ต้องดูแลรอบแล้วรอบเล่า!” จ้าวเหวินเทาคีบกับข้าวพลางกล่าว
“ฉันสู้นายไม่ได้หรอก ฉันมีลูกเป็นโขยง ยังไงก็ต้องกินข้าว ไม่ปลูกข้าวฟ่างแล้วจะเอาอะไรกิน?” พี่ใหญ่เย่พูดติดตลก
คนในพื้นที่ต่างก็กินข้าวเป็นอาหารหลัก บะหมี่เป็นอาหารเสริม ส่วนข้าวโพดและข้าวฟ่างนาน ๆ ครั้งถึงจะได้รับประทานนิดหน่อย
เดิมทีจ้าวเหวินเทาอยากพูดว่าปลูกข้าวโพดไปขายแล้วซื้อข้าวมาแทนก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่มาคิด ๆ ดูแล้วพี่ใหญ่เย่ก็ไม่ต่างอะไรกับพี่รองของเขา เพราะเป็นคนซื่อสัตย์ทั้งคู่ ไม่มีทางเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
พี่ใหญ่เย่กลับพูดความในใจของเขาออกมา “ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร จะบอกให้ฉันปลูกข้าวโพดกับดอกทานตะวันแล้วเก็บไปขายในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเอาเงินไปซื้อข้าวสินะ แต่นี่ฉันสร้างบ้านแล้ว อิฐก็ซื้อก่อนค่อยจ่ายทีหลัง ถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ต้องเอาเงินไปจ่ายเขา จะมีเงินเหลือไปซื้อข้าวได้ยังไง?
จ้าวเหวินเทาชะงัก รีบถามว่า “พี่ใหญ่ พี่บอกว่าพี่ซื้ออิฐมาก่อนแล้วจ่ายทีหลังเหรอ?”
“ถ้าไม่ค้างจ่ายจะไปมีเงินสดที่ไหนกันล่ะ มีเงินค่าเมล็ดพันธุ์ตั้งหลายสิบหมู่ แล้วยังมีค่ารถเล็ก ค่าสัตว์เลี้ยงอีก เงินในบ้านก็เกือบหมดเกลี้ยงแล้ว” พี่ใหญ่เย่พูดด้วยสีหน้าราวกับมีแรงกดดันมหาศาล
ตอนนี้แยกบ้านกันแล้ว แรงกดดันก็ต้องมากอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พวกเขาสองสามีภรรยาก็ต้องตัดการด้วยตนเอง
จ้าวเหวินเทาได้ยินคำพูดนี้ของพี่ใหญ่ของภรรยาก็กลับรู้สึกมีความสุข “พี่ใหญ่ พี่ทำได้ดีจริง ๆ ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงเนี่ย!”
“คิดไม่ถึงอะไร?” พี่ใหญ่เย่มองเขาด้วยความหดหู่ การแบกรับหนี้สินมากมายขนาดนี้ทำให้เขากังวลแทบตายอยู่แล้ว อีกฝ่ายยังบอกว่าทำได้ดีจริง ๆ อีก น้องเขยคนนี้ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ
“ซื้ออิฐก่อนแล้วค่อยจ่ายไง!” จ้าวเหวินเทากล่าว
เรื่องการสร้างบ้านอาจพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่จ้าวเหวินเทาหมกมุ่นมากที่สุด เขาขยันหาเงินขนาดฤดูหนาวก็ยังไม่หยุดพักแบบนี้ ก็เพื่ออะไรกันล่ะ?
ก็เพื่อสร้างบ้านในปีนี้ไง!
เดิมทีการตื่นเช้ากลับดึกก็ทำให้เขาสร้างบ้านได้หนึ่งหลัง แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้แล้ว เพราะเงินส่วนใหญ่เขาให้เย่หมิงเป่ยพี่สามของภรรยาคนนี้ไปเกือบหมด
แต่จ้าวเหวินเทาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เพราะถ้ามาคิดดูจริง ๆ แล้ว เขาต่างหากล่ะที่ได้เปรียบ รถคันนั้นซื้อมาในราคาเจ็ดร้อยหยวนถือว่าไม่ได้แพงเลย
อีกอย่างตอนนี้รถคันนี้ก็เป็นของเขา การพึ่งพารถคันนี้ในช่วงนี้ ก็ทำให้เขาได้เงินกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว
ถ้าพูดถึงเรื่องสร้างบ้าน นับว่าเรื่องนั้นยังห่างไกลอีกมากโข แต่จ้าวเหวินเทาอยากสร้างบ้านจริง ๆ ดังนั้นเขาเองก็เป็นกังวล
แต่ไม่คิดเลยว่าการสร้างบ้านจะสามารถค้างชำระได้ด้วย เรื่องนี้ถือเป็นลู่ทางที่ดีจริง ๆ!
พี่ใหญ่เย่เองก็คิดได้แล้ว เขามองน้องเขยพลางกล่าว “นายจะค้างชำระค่าอิฐเพื่อสร้างบ้าน?”
“ใช่ พี่ใหญ่ อีกเดี๋ยวผมจะไปกับพี่ด้วย ผมเองก็อยากไปดูเหมือนกัน” จ้าวเหวินเทากล่าว
“นายต้องไปส่งของไม่ใช่เหรอ?” พี่ใหญ่เย่ถาม
“ไม่เสียเวลาหรอกครับ” จ้าวเหวินเทายกถ้วยขึ้นมาแล้วรีบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างรวดเร็ว
เขามองบ้านใหม่ที่พี่ใหญ่เย่สร้างขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นแค่โครงสี่เหลี่ยมที่ขึ้นคานแล้ว แต่เขาก็ยังอิจฉามากอยู่ดี ถ้าเป็นไปได้เขาก็จะสร้างหนึ่งหลังเช่นกัน
จากความสามารถในการหาเงินของตนเองในตอนนี้ การติดหนี้แค่นั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
พี่ใหญ่เย่เองก็ไม่ได้พูดอะไร
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังรับประทานอาหาร คุณแม่เย่ก็ถือเนื้อไก่มาเพิ่มให้พวกเขาอีกหนึ่งจาน
“แม่ พอแล้วครับ” จ้าวเหวินเทารีบกล่าว
“กินเนื้อให้เยอะหน่อย เหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว” คุณแม่เย่ไม่ได้เดินจากไปในทันที แต่ถามลูกเขยว่า “ลูกได้คุยโทรศัพท์กับพี่สามหรือยัง?”
จ้าวเหวินเทาทราบดีว่าแม่ยายของเขายังเป็นกังวล จึงกล่าวว่า “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมคุยกับพี่สามเมื่อสองวันก่อนแล้ว พี่เขาบอกว่าสบายดี พี่สะใภ้สามของผมก็สบายดีเหมือนกัน แถมยังไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วด้วย เด็กในท้องร่างกายแข็งแรงดี ตอนนี้พี่สามกำลังรับช่วงดูแลโรงงานผลิตเสื้อผ้าของพี่สะใภ้สามอยู่”
คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาดูแลโรงงานผลิตเสื้อผ้าของหมิ่นหมินเป็นด้วยเหรอ?”
“ทำเป็นแน่นอนครับ พี่สามมีความสามารถดีขนาดนั้น ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “รอกลับมาครั้งหน้า พี่สามต้องทำให้แม่ตกตะลึงแน่นอน คงได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่เลยล่ะครับ”
การเดินทางไปเมืองหลวง ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
คุณแม่เย่แย้มยิ้ม
พี่ใหญ่เย่เองก็กล่าวว่า “แม่ เมืองหลวงต้องดีกว่าฝั่งนี้ของเราอยู่แล้ว แม่อย่ากังวลเลย”
คุณแม่เย่นั่งลง “เมื่อกี้พวกลูกคุยอะไรกันเหรอ?”
“แม่ เมื่อกี้ผมบอกกับพี่ใหญ่ไปแล้วว่าอีกเดี๋ยวจะไปโรงงานอิฐด้วย ผมอยากซื้ออิฐแบบซื้อก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลังสักหน่อย จะเอากลับไปสร้างบ้าน” จ้าวเหวินเทากล่าวกับคุณแม่เย่
พี่ใหญ่เย่เองก็หันมองแม่ เขาหวังว่าแม่จะพูดโน้มน้าวสักสองสามคำ
เขาไม่เห็นด้วยที่จ้าวเหวินเทาจะสร้างบ้านในตอนนี้ เพราะได้ยินมาว่าเขาให้เงินเกือบทั้งหมดกับเจ้าสามไปแล้วเพื่อซื้อรถของเจ้าสาม นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่เขายากจนและไม่มีอะไรเลย แต่ยังคิดจะสร้างบ้านอีก สร้างบ้านไม่ได้ใช้แค่อิฐสักหน่อย
คุณแม่เย่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางถามลูกเขยว่า “เหวินเทา ลูกคิดจะสร้างบ้านปีนี้เหรอ?”
จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ตอนที่แยกบ้านผมก็คิดไว้แล้วว่าจะสร้างบ้านปีนี้ แถมตอนนี้ภรรยาก็ท้องพอดี คงได้คลอดตอนช่วงฤดูหนาว บ้านนั่นหนาวเกินไป ผมก็เลยคิดว่าจะสร้างบ้านใหม่แล้วติดตั้งเครื่องทำความร้อน ลูกที่คลอดออกมาก็จะได้อยู่บ้านใหม่เลย!”
คุณแม่เย่รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก นางย่อมเห็นด้วย จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นลูกก็สร้างเถอะ มีเรื่องยากลำบากอะไรก็บอก อย่ามองว่าพี่ใหญ่กับพี่รองของลูกต่างก็สร้างบ้านกันแล้ว พวกเรามีญาติเยอะ ถ้าลูกติดขัดอะไรแม่จะคอยสนับสนุนลูกเอง”
ในฐานะของแม่ยาย คุณแม่เย่แสดงออกอย่างใจกว้างว่าจะสนับสนุน ถึงอย่างไรคนที่ได้ผลประโยชน์ของเรื่องนี้ก็คือลูกสาวและหลานของนางไม่ใช่เหรอ?
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่ต้องเป็นกังวล ถ้าขาดเหลืออะไรผมต้องหน้าหนาถ่อมาหาถึงบ้านแน่นอน”
คุณแม่เย่ยิ้ม
พี่ใหญ่เย่เห็นว่าแม่เห็นด้วย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะปกติเรื่องที่แม่เห็นดีเห็นงามแล้วจะไม่มีปัญหาอะไร
ช่วงบ่ายจ้าวเหวินเทาจึงได้เดินทางมาที่โรงงานอิฐพร้อมกับพี่ใหญ่เย่
แค่ถามก็สามารถซื้ออิฐแบบค้างชำระได้แล้ว โดยอิฐหนึ่งก้อนราคาสองเฟิน
จ้าวเหวินเทาคำนวณมาแล้วว่าเขาใช้อิฐแค่โครงสี่ด้านและส่วนขอบของหน้าต่าง ถ้าเป็นบ้านขนาดสามห้องก็ไม่ได้ใช้อิฐมากมายอะไร
แต่เมื่อคิดว่าจะรับพ่อกับแม่มาอยู่ด้วย รวมถึงลูกที่เพิ่มเข้ามา บ้านขนาดสามห้องก็นับว่ายังน้อยไปหน่อย สุดท้ายจึงตัดสินใจเป็นสี่ห้อง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหวินเทานี่ปากมีบุญนะเนี่ย เอ่ยขออะไรจากใครก็ราบรื่นไปหมดเลย พ่อกระต่ายจะได้สร้างบ้านแล้ว
ไหหม่า(海馬)