“สามปีเหรอ ก็ยังดี” คุณพ่อจ้าวถอนหายใจ
ไม่ว่าจะกี่ปี ถ้าคืนได้ก็ยังถือว่าดี ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดนั้น
คุณแม่จ้าวกลอกตาใส่สามีของนาง “ก็ยังดี? นี่ติดหนี้ก้อนโตเลยนะ!”
“เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้ สร้างบ้านดี ๆ ในคราวเดียวหลังจากนี้ก็ลดความยุ่งยากได้ไม่ใช่เหรอครับ?” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รู้จักแต่ใช้เงินอยู่นั่นแหละ” คุณแม่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ นางหันไปกำชับเย่ฉูฉู่ให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ล้มหรือไปชนกับอะไรเข้า จากนั้นก็กลับไปพร้อมกับคุณพ่อจ้าว
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้ว จ้าวเหวินเทาจึงยืดแขนบิดขี้เกียจกล่าวว่า “ไปกันหมดแล้ว ดีจริง ๆ เลย ภรรยา หลังจากนี้ใต้หล้าก็จะมีแค่พวกเราแล้วนะ!”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “หลงตัวเองจริง ๆ เลยนะคะ ยังจะพูดว่าใต้หล้าอีก คุณอยากเป็นฮ่องเต้หรือไง?”
“อยู่ในบ้านของเรา ผมคือฮ่องเต้ ส่วนคุณก็คือฮองเฮาไงครับ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างมีความสุข
“เจี๊ยก ๆ!”
ลิงน้อยไฉไฉไม่รู้ว่ามาจากไหน ในตอนนี้ก็ได้กระโดดมาบนแขนของจ้าวเหวินเทา
จ้าวเหวินเทารู้สึกเป็นสุข “ภรรยา คุณดูสิ เรายังมีขุนนางอีกคนด้วย!”
เย่ฉูฉู่ถูกหยอกจนหัวเราะ
ในยุคนี้ยังไม่มีโทรทัศน์ใช้อย่างแพร่หลาย ความบันเทิงของผู้คนโดยพื้นฐานก็คือเรื่องมโนสาเร่
หัวข้อบันเทิงที่ผู้คนในหมู่บ้านคุยกันในวันนี้ก็คือเรื่องบ้านใหม่ของจ้าวเหวินเทา และหนี้สินก้อนโตที่จะตามมาหลังจากนี้ของเขา
“เธอว่าเจ้าหนูจ้าวเหวินเทานั่นสรุปแล้วมีเงินรึเปล่า บอกว่าไม่มีเงินแต่เขาก็สร้างบ้านดีขนาดนั้น แต่ถ้าบอกว่ามีเงิน ก็ยังต้องขาดแคลนเงินจนต้องไปติดหนี้คนอื่น แถมยังติดหนี้ก้อนโตขนาดนั้นอีก มาคิด ๆ ดูแล้วฉันยังใจสั่นเลย!”
“ดูบ้านหลังนั้นสิ ดีจริง ๆ แค่เข้าไปในบ้านก็สว่างแล้ว พอมาดูบ้านของพวกเรา มืดตึ๊ดตื๋อ ถ้าได้อยู่บ้านแบบนั้นต่อให้ขาดแคลนเงินฉันก็ยอม!”
“เธอเอาแต่เห็นดีเห็นงามกับบ้านตอนนี้ ทำไมเธอไม่นึกถึงตอนคืนเงินบ้างล่ะ? ถ้าไม่มีเงินคืน คนพวกนั้นก็ต้องมาทวงเงินถึงบ้าน แต่ละปียังใช้ชีวิตได้ไม่ดี เมียร้องลูกเรียกหา ชีวิตไม่ได้หยุดพักแน่!”
“นั่นสิ คิดว่าเป็นหนี้จะเป็นเรื่องที่ดีขนาดนั้นเหรอ คอยดูเถอะ ต้องมีวันที่จ้าวเสี่ยวลิ่วร้องไห้แน่ นั่นไม่ใช่แค่เงินสามสิบห้าสิบหยวน เกรงว่าคงเป็นหนี้หลายพันเลยมั้ง!”
“หา หลายพัน? เธอรู้ได้ไง ใครบอก?”
“ยังต้องมีใครบอกอีกเหรอ เธอดูบ้านหลังนั้นสิ มีสวนตั้งสองจุด ไหนจะที่ดินอีกหลายหมู่ เครื่องทำความร้อน แถมยังมีก๊อกน้ำอีก ของพวกนี้ราคาตั้งเท่าไร? เธอลองคำนวณกระเบื้องสิ เพดานบ้านของพวกเขาก็ปูด้วยกระเบื้อง ไหนจะประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์อีก”
“จริงสิ ยังมีปูนซีเมนต์ด้วย ลานบ้านถูกปูด้วยปูนซีเมนต์ ยังมีที่ตากผ้าด้านหน้าบ้านด้วยนะ เธอลองคำนวณดู คำนวณดูแล้วไม่ต่ำกว่าหลายพันหยวนแน่นอน!”
“โอ๊ยแม่เจ้าโว้ย เงินมากขนาดนั้น ต้องใช้เวลาถึงเมื่อไหร่ถึงจะคืนหมด? ชาตินี้จะคืนหมดหรือเปล่าเนี่ย?”
คนในหมู่บ้านลองคำนวณบัญชีนี้แล้ว พวกเขาถึงกับตกตะลึงไปจริง ๆ
คนที่อยู่ข้างนอกเป็นแบบนั้น คนที่อยู่ในบ้านก็ไม่ได้เงียบสงบเช่นกัน
พี่สะใภ้รองจ้าวพูดสิ่งที่เย่ฉูฉู่เล่าให้พี่รองจ้าวฟัง “…น้องสะใภ้หกบอกว่า ค้างจ่ายทั้งหมดเลย ก๊อกน้ำกับท่อน้ำพวกนั้นใช้เงินตั้งหลายร้อยหยวน ถ้าใช้ได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่ผลที่ได้กลับใช้ไม่ได้ จะซื้อกลับมาทำอะไร?”
พี่รองจ้าวมองกำแพงโคลนที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนและประตูหน้าต่างเก่า ๆ ของบ้านตัวเอง ภายในใจก็รู้สึกว่านี่แหละถึงจะใช้ได้จริง
วัสดุที่สร้างบ้านของเขาใช้วิธีค้างจ่าย แต่อย่างอื่นไม่ได้เป็นแบบนั้น ประตูและหน้าต่างรื้อมาจากเรือนด้านข้างที่เคยอาศัยอยู่
ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็ใช้ของที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ แทบจะไม่มีของใหม่เลย
ปีนี้ถ้าเก็บเกี่ยวได้เป็นอย่างดี หลังจากฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถจ่ายหนี้ได้แล้ว
“เฮ้อ เจ้าหกใช้ชีวิตไม่เป็นมาตั้งแต่แรก ตอนที่อยู่ด้วยกันพ่อกับแม่ก็ยังช่วยดูได้ พอแยกบ้านไปแล้วพ่อกับแม่ก็ดูแลเขาไม่ได้แล้ว ย้ายออกไปก็ไม่เชื่อฟังอะไรแล้ว!” พี่รองจ้าวถึงกับส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“แล้วจะทำยังไง ดูเขาเป็นแบบนี้เหรอคะ?” พี่สะใภ้รองจ้าวอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของน้องสามีคนเล็ก แน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือหล่อนกลัวว่าตนจะถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย “ถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่มีปัญญาจ่ายหนี้จะทำยังไง?”
“วันไหนว่าง ๆ ผมจะไปพูดกับเขาดู นอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำนานะ” พี่รองจ้าวเป่าลมดับไฟ
พี่สะใภ้รองจ้าวไม่ได้รู้สึกอิจฉาแล้ว หล่อนกำลังคิดว่าถ้าถึงเวลานั้นน้องสามีคนเล็กไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ แล้วต้องมาให้พวกเขาช่วยเหลือ หล่อนต้องจับตามองสามีให้ดี จะปล่อยให้เขาช่วยเหลือไม่ได้!
ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้คงไปด้วยกันไม่ได้แล้ว!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้พี่สะใภ้รองจ้าวก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก หล่อนจะพูดเรื่องพวกนี้กับสามีอย่างไรดีนะ
เรื่องของน้องสามีเล็กนี้เป็นหลุมลึกไร้ก้น ทางที่ดีที่สุดคืออย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว อยู่ให้ห่าง ๆ จะดีกว่า แปดเปื้อนแล้วจะยุ่งยาก!
“คุณอย่าไปพูดเลย น้องสามีคนเล็กอีกหน่อยก็จะเป็นพ่อคนแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ สักหน่อย แต่ละบ้านต่างก็มีวิธีในการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง คุณพูดมากหรือพูดน้อยก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรทั้งนั้น” พี่สะใภ้รองจ้าวโน้มน้าวพี่รองจ้าว “อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่บอกว่าน้องสามีหกใช้ชีวิตไม่เป็น ดูตอนนี้สิเขาสร้างบ้านได้แล้ว แถมยังสร้างบ้านดีขนาดนั้นด้วย สิ่งนี้อธิบายอะไรล่ะ? ก็อธิบายว่าน้องสามีคนเล็กมีความสามารถไง อย่างน้อย ๆ ก็มีความสามารถมากกว่าเรา จะไปมีคุณสมบัติสอนเขาได้ยังไง ดูบ้านหลังนั้นของเขา แล้วมาดูบ้านที่เราอยู่ตรงนี้สิ”
เป็นเพราะพี่สะใภ้รองจ้าวต้องการโน้มน้าวสามี จึงใช้กลยุทธ์พูดย้อนแย้งความจริง
แม้พี่รองจ้าวจะยอมรับคำพูดของพี่สะใภ้รองจ้าว แต่ประโยคสุดท้ายก็แอบดูถูกศักดิ์ศรีของเขาอยู่นิดหน่อย จึงกล่าวว่า “ผมเป็นพี่ชายของเขา คุณสมบัตินี้ยังไม่พออีกเหรอ? ที่พูดไปก็หวังดีกับเขา บ้านดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่จะสบายใจได้เหรอ ปีนี้ถ้าพวกเราผ่านไปได้ด้วยดี หลังฤดูใบไม้ร่วงก็ล้างหนี้ได้แล้ว ของเขายังอีกนาน การที่เขาทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมเลย!”
พี่สะใภ้รองจ้าวทราบดีถึงอารมณ์ของสามี จึงพูดเอาใจว่า “ใช่ คุณเป็นพี่ชายของเขา ทำไปเพราะหวังดีกับเขา แต่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวแล้ว ก็ต้องมีหน้ามีตานะ”
“คุณพูดถูก หรือจะให้ไปพูดกับพ่อแม่ล่ะ?” พี่รองจ้าวเองก็รู้สึกได้ว่าหน้าตาของน้องชายเป็นเรื่องสำคัญมาก
“ตอนนี้พ่อกับแม่ก็ต้องได้ยินแล้วเหมือนกัน ยังไงก็ต้องไปคุยกับเขาอยู่แล้ว พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งเลย คนที่ไม่รู้คงคิดว่าพวกเราไปหาเรื่องเขานะ” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างใจเย็น
ในที่สุดพี่รองจ้าวก็เชื่อฟังคำพูดของภรรยา เขาอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกโดดเดี่ยวขณะพูด “นี่ก็แยกบ้านแล้ว ย้ายออกไปแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันห่างเหินจัง?”
“ห่างเหินอะไรกัน ยังไม่ได้ออกจากหมู่บ้านสักหน่อย นอนเถอะค่ะ ไม่ต้องคิดไปไกลแล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงสิ้นสุดหัวข้อสนทนา หล่อนไม่อยากพูดเรื่องสองสามีภรรยาบ้านหกให้มากมายแล้วจริง ๆ
ทุกคนใช้ชีวิตเป็นของตัวเองจึงจะดีที่สุด!
ตอนนี้พี่สามจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวก็กำลังเข้าสู่บทสนทนาแบบนี้เหมือนกัน แต่หลัก ๆ แล้วพี่สามจ้าวเป็นคนแสดงความคิดเห็นคนเดียว ส่วนพี่สะใภ้สามจ้าวก็แค่ตอบรับทุกประโยคเท่านั้น
“เจ้าหกได้เงินเท่าไรกันแน่เนี่ย ถึงได้กล้าเป็นหนี้มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีความสามารถจริง ๆ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ แต่การค้าขายของแค่นิดหน่อยจะได้เงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? อีกอย่างนี่ก็เพิ่งจะทำงานได้ไม่เท่าไรเอง เป็นไปไม่ได้…” พี่สามจ้าวบ่นพึมพำเป็นชุด แต่ยังไม่รอให้คู่สนทนาตอบ เขาก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะ เป็นใบ้ไปแล้วเหรอ?”
“ไม่รู้ค่ะ” พี่สะใภ้สามจ้าวจึงตอบกลับมา
“ไหนคุณพูดมาสิ คุณรู้อะไรบ้าง?” พี่สามจ้าวกล่าว
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” พี่สะใภ้สามจ้าวตอบ
“แต่งงานกับผู้หญิงสุรุ่ยสุร่ายแบบคุณนี่โคตรซวยเลย!” พี่สามจ้าวโกรธแทบตายอยู่แล้ว
“แต่งงานกับผู้ชายแบบคุณฉันก็โคตรซวยเหมือนกันนั่นแหละค่ะ” พี่สะใภ้สามจ้าวตอบกลับเสียงเรียบหนึ่งประโยค
หล่อนไม่ได้สนใจเรื่องเกี่ยวกับสองสามีภรรยาบ้านหกเลยจริง ๆ หล่อนไม่เข้าใจเลยว่ามีอะไรให้น่าพูดถึง เจ้าหกกล้าทำแบบนั้นก็หมายความว่าเขามีความสามารถที่จะคืนเงินได้ไม่ใช่เหรอ ยังต้องพูดอะไรอีก?
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่สะใภ้รองสับสนอะไรหรือเปล่า ใครจะขอความช่วยเหลือจากใครกันแน่ ที่แน่ ๆ เหวินเทาไม่มีทางขอความช่วยเหลือด้านการเงินกับพี่ ๆ ตัวเองแน่นอน ไม่แน่ว่าเป็นฝ่ายพี่ ๆ นั่นแหละที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเหวินเทา
พี่สะใภ้สามยิ่งนับวันยิ่งเผ็ดนะคะ โต้กลับพี่สามได้แบบประโยคเดียวจุกไปอีกนานเลย
ไหหม่า(海馬)