ตอนที่ 210 อย่าทำลายสุนทรียภาพ
จ้าวเหวินเทาอุ้มลูกชายกลับบ้านพร้อมกับภรรยา
เมื่อมาถึงบ้านก็เปิดไฟ ทั้งบ้านจึงสว่างจ้าทั้งหลัง
“มีไฟฟ้าก็ดีเหมือนกันนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “ก่อนหน้านี้มืดจนต้องจุดไฟ คิด ๆ ดูแล้วก็น่าอึดอัดเหมือนกัน”
“แหงสิ มีไฟฟ้าใช้ทำอะไรก็สะดวกสบาย” จ้าวเหวินเทายื่นลูกชายให้ภรรยา “ผมจะไปดูกระต่ายหน่อย จะได้ไปเติมฟืนด้วยเลย เตียงจะได้อุ่นไปถึงเช้า”
เป็นเพราะในชนบทมีเตียงเตา ภายในบ้านจึงไม่ได้หนาวขนาดนั้น เป็นเพราะกลัวว่าอุณหภูมิภายในห้องร้อนเกินไป แถมอุณหภูมิที่อยู่ด้านนอกก็แตกต่างมาก จ้าวเหวินเทาจึงไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อน เพราะกลัวว่าลูกจะเป็นหวัด
“เจี๊ยก ๆ!”
ลิงน้อยกระโดดลงมาจากคานบ้าน เจ้าตัวเล็กตัวนี้ถ้าไม่มีใครอยู่ในบ้านมันก็จะขึ้นไปนอนบนคาน
เย่ฉูฉู่ลูบหัวมัน “ไฉไฉ ไปปูผ้าห่มหน่อย น้องชายจะนอนแล้ว”
ลูกลิงขึ้นไปบนเตียง มันใช้อุ้งเท้าหน้าและหลังปูผ้าห่มลงบนเตียงตำแหน่งติดกับช่องระบายควัน จากนั้นเย่ฉูฉู่จึงวางลูกชายไว้ด้านบน
เธอเป็นกังวลว่าเตียงจะร้อนเกินไปจนอาจลวกผิวของลูกได้ จึงวางไว้ในจุดที่อยู่ห่างจากจุดที่อยู่ตรงกลาง หลังจากกล่อมลูกนอนแล้ว ก็จะได้ให้นมลูกช่วงกลางดึกด้วย ส่วนสามีนอนตำแหน่งใกล้ปากเตา
และเป็นเพราะกลัวว่าเจ้าลิงน้อยจะข่วนเสี่ยวไป๋หยางตอนที่มันฝันกลางดึก มันจึงถูกจ้าวเหวินเทาเรียกให้ไปนอนกับเขาในเตียงอบอุ่น ซึ่งเจ้าลิงน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน
หลังจากดูกระต่ายเสร็จและเติมฟืนแล้ว จ้าวเหวินเทาก็ใช้น้ำที่ผ่านการต้มในหม้อมาล้างหน้าและขึ้นไปนอนบนเตียง “ภรรยา คุณติดงอมแงมเลยเหรอ?”
เย่ฉูฉู่วางลูกลงแล้วก็ใช้น้ำร้อนล้างเนื้อล้างตัวด้วยเช่นกัน “สนุกมากเลยค่ะ คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงพริบตาเดียวจะดูจบไปสองเรื่อง ฉันยังนึกว่าจะฉายอีกเรื่องหนึ่งอยู่เลย?”
“ตอนแรกกะจะฉายสามเรื่องนั่นแหละ แต่คนในหมู่บ้านบอกว่าตอนเช้ายังต้องเอาของไปขาย ถ้าดึกเกินไปจะตื่นไม่ไหว แถมยังทำให้การทำงานล่าช้าด้วย ก็เลยฉายแค่วันละสองเรื่อง ตอนเช้ามีงิ้วช่วงเช้าหนึ่งรอบ ช่วงบ่ายหนึ่งรอบ หนังก็ฉายทั้งหมดสองรอบเหมือนกัน วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นการแสดงงิ้วเรื่อง ดอกไม้สื่อกลาง”
“แสดงแค่เรื่อง ดอกไม้สื่อกลาง เหรอ?” เย่ฉูฉู่เช็ดหน้าเสร็จก็ทาครีมพลางเอ่ยถาม
“ใช่ ตอนเช้ายังแสดงไม่เสร็จ ก็เลยแบ่งแสดงเป็นสองรอบ” จ้าวเหวินเทาพูดถึงตรงนี้ก็แอบเป็นกังวล “วันมะรืนก็จะแสดง ฉางเอ๋อเหินสู่จันทรา แล้ว ติดแค่ว่าพวกคนหนุ่มสาวไม่ค่อยชอบฟังงิ้ว ผมเลยไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นจะมีคนมามากน้อยแค่ไหน”
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “คุณเป็นกังวลว่าจะมีไม่กี่คนที่ได้เห็นโฆษณากระต่ายสินะคะ?”
“ใช่ไง คนแก่ๆ ดูไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก พวกเขาไม่เลี้ยงอยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความรู้สึกแตกสลาย “จะมีสักกี่คนที่เหมือนกับแม่ของพวกเรา? พวกคนหนุ่มสาวก็ไม่ชอบดูอีก ยากจริง ๆ”
พวกคนแก่ต่างอนุรักษนิยมเกินไป ต่อให้ได้เห็นว่ากระต่ายสามารถขายได้เงิน และคิดว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริง มากสุดก็แค่เลี้ยงไก่ คงไม่คิดจะพึ่งพาด้วยการเลี้ยงกระต่าย
เย่ฉูฉู่ทาครีมเสร็จก็ถอดชุดแล้วเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มพลางกล่าว “อันที่จริงฉันคิดว่าการแสดงงิ้ว ฉางเอ๋อเหินสู่จันทรา มันสนุกมากเลยนะ แต่กลับถูกโฆษณาของคุณมาแฝงแบบไม่ได้มีความเข้ากัน ถือเป็นการทำลายสุนทรียภาพของมันไม่น้อย”
จ้าวเหวินเทาชะงัก เขามองภรรยา “สุนทรียภาพ?”
เย่ฉูฉู่พยักหน้า “ค่ะ สุนทรียภาพ นี่เป็นคำที่ฉันเรียนมาจากพี่สะใภ้สาม”
จ้าวเหวินเทาหัวเราะ “พี่สะใภ้สามของคุณนี่ขยันสร้างคำศัพท์ใหม่ ๆ จังเลยนะ มีคำว่าสุนทรียภาพอีก ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกว่ามันสุนทรียภาพอะไรขนาดนั้นล่ะ? ผมจำได้ว่าพี่สะใภ้ของคุณยังไม่รู้เรื่องที่พวกเขาจะโฆษณากระต่ายเลยนะ?”
จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ชอบฟังงิ้ว เรื่องนี้เขาจึงสู้เย่ฉูฉู่ไม่ได้ ขณะที่เย่ฉูฉู่เองพอจะรู้ได้ว่าการแสดงงิ้วมีความงดงามมาก แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อย
เย่ฉูฉู่กล่าว “ค่ะ ยังไม่รู้ พี่สะใภ้บอกว่าเสื้อผ้าต้องให้คนรู้สึกได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่โดดเด่นเกินไป แบบนั้นจะเป็นการทำลายสุนทรียภาพ ตัวฉันคิดว่าการแสดงนั้นดีอยู่แล้ว แต่คุณกลับจะแทรกโฆษณาให้ได้ แบบนั้นคงไม่สนุกหรอก”
“แต่กระต่ายที่ภรรยาผมทำมันดูดีนะ!” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นคำพูดที่จริงใจของเขา กระต่ายที่ภรรยาของเขาทำออกมามันดูดีมากจริง ๆ คนในคณะงิ้วชอบจนวางไม่ลงเลย การโฆษณาของจ้าวเหวินเทาที่จะเสนอออกมาจึงไม่ได้มีความรู้สึกย้อนแย้งอะไร
เย่ฉูฉู่เองก็นึกขึ้นได้ในตอนที่ทำกระต่ายว่าการแทรกโฆษณาเข้าไปแบบทื่อ ๆ นั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ควรเปลี่ยนเป็นวิธีที่ดีกว่านี้สักหน่อย แต่จะเปลี่ยนเป็นวิธีแบบไหนนั้นเธอเองก็ยังคิดไม่ออก
แต่เมื่อเธอพูดถึงความคิดนี้ออกมา จ้าวเหวินเทากลับเก็บมาใส่ไว้ในใจแล้ว
เย่ฉูฉู่พูดอยู่พักหนึ่งก็ผล็อยหลับไป ต้องเลี้ยงดูลูก ทั้งยังต้องทำงานบ้าน ต่อให้จ้าวเหวินเทาและลูกลิงช่วยดูแลก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี
จ้าวเหวินเทาปิดไฟ เขาห่มผ้าให้ภรรยา ภายในใจคิดทบทวนถึงคำพูดของภรรยา เมื่อได้คิดแบบเงียบ ๆ เขาก็คิดว่าสิ่งที่ภรรยาพูดมีเหตุผลมาก แต่จะเปลี่ยนเป็นวิธีไหนดีล่ะ?
ระหว่างที่คิดถึงปัญหานี้ เขาก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวจนถึงเช้า
เป็นเพราะเช้ารุ่งขึ้นมีการแสดงงิ้ว พวกคนหนุ่มสาวจึงไม่สนใจ แต่ละคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการขายของขนฟืน ส่วนพวกคนแก่ต่างก็มีความสุข พวกเขารับประทานอาหารตั้งนานแล้ว ทั้งยังย้ายเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งดูงิ้ว
เวทีแสดงถูกตั้งอยู่ภายในลานที่ทำการของทีมใหญ่ เลขาเองก็เป็นคนหลงใหลในการแสดงงิ้ว เขาสามารถท่องบทได้สองสามบท ทั้งยังบอกว่าเคยขึ้นเวทีด้วย
การจัดเวทีแสดงไว้ภายในทีมใหญ่นั้นสะดวกต่อคนในคณะละคร ไม่ว่าจะกิน พักอาศัยหรือแต่งหน้าก็อยู่ที่นี่ ทุกคนรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
จ้าวเหวินเทาเดินทางมาถึงที่ทำการทีมใหญ่นานแล้ว ทั้งยังไปหาสหายสองคนที่แต่งตัวข้ามเพศด้วย
พวกเขาและนักแสดงคนอื่น ๆ เพิ่งจะรับประทานอาหารเช้าเสร็จ กำลังนั่งแต่งหน้ากันอยู่ อีกครู่หนึ่งคนร่างสูงก็ต้องขึ้นเวทีแล้ว จึงกำลังนั่งแต่งหน้า ส่วนคนที่ตัวเล็กกว่าแสดงวันพรุ่งนี้จึงอยู่ช่วยงาน
เมื่อเห็นจ้าวเหวินเทา เขาก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย “มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
จ้าวเหวินเทายิ้ม “ฉันมาหานายเพราะมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
คนที่ตัวเล็กกว่าชื่อ ‘ฉินหมิง’ เขานึกว่าเป็นเรื่องโฆษณากระต่ายจึงกล่าวว่า “วันนี้แสดงเรื่องดอกไม้สื่อรักนะ ไม่ได้แสดงเรื่องฉางเอ๋อเหินจันทรา”
“ฉันรู้” จ้าวเหวินเทากล่าว “นายว่างไหม พวกเราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันหน่อย ฉันมีเรื่องอยากปรึกษา”
คนแต่งตัวข้ามเพศที่ตัวสูงกว่าชื่อว่า ‘เกาเสียง’ เขายืนแต่งหน้าอยู่ข้าง ๆ จึงพูดหยอกล้อ “นายไปเถอะ ไม่ต้องกลัว เขากินนายไม่ได้หรอก”
จ้าวเหวินเทาและฉินหมิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ แต่คนอื่น ๆ กลับหัวเราะออกมา
ฉินหมิงจึงพาจ้าวเหวินเทาไปที่ห้องที่เขาพักอยู่ แม้ว่าจะเป็นห้องพักแบบง่าย ๆ มีแค่เตียงเตาขนาดใหญ่และตู้เก่า ๆ หนึ่งตู้ แต่บนเตียงก็อุ่นมาก
“คุยที่นี่แล้วกัน” ฉินหมิงกล่าว
จ้าวเหวินเทาจึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อมเกี่ยวกับการโฆษณากระต่ายที่ดูเหมือนโดดเด่นเกินไปจนทำให้บทละครไม่สนุก
ฉินหมิงขมวดคิ้ว “แล้วนายจะเอายังไง ทำยังไงถึงจะสนุก?”
“นายช่วยดูให้หน่อยสิว่าสามารถแสดงละครเกี่ยวกับกระต่ายให้ฉันแบบเดี่ยว ๆ ได้ไหม?” จ้าวเหวินเทาถาม
ในเมื่อการแทรกโฆษณาเข้าไปแบบทื่อ ๆ เป็นการทำลายสุนทรียภาพของเรื่อง เช่นนั้นก็แสดงแยกเดี่ยวไปเลย แบบนั้นก็ไม่ทำลายสุนทรียภาพแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เพียงแค่ไม่ทำลายสุนทรียภาพ แต่ยังทำให้รู้สึกถึงสุนทรียภาพด้วย
ต้องยอมรับว่าจ้าวเหวินเทาช่างมีความคิดริเริ่มนัก
น่าเสียดายที่ฉินหมิงไม่ได้ชื่นชมสิ่งนี้ เขาหัวเราะอย่างโกรธเคือง “แสดงละครกระต่ายให้นายแบบเดี่ยว ๆ นายล้อกันเล่นหรือเปล่า นายคิดว่าแสดงละครสักฉากมันง่ายขนาดนั้นเหรอ? เรื่องนี้คงแสดงให้ไม่ได้หรอก!”
“เปล่า นายฟังฉันก่อน จะให้การแสดงแบบดอกไม้สื่อรักแบบนั้นคงไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเลยขอแบบง่าย ๆ แค่ครึ่งชั่วโมงก็พอ ถ่ายทอดเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงกระต่ายของพวกเรา ฉันมั่นใจว่าทุกคนต้องชอบดูแน่นอน!”
ฉินหมิงนึกถึงเรื่องการเลี้ยงกระต่ายที่จ้าวเหวินเทาพูดถึงตอนที่แสดงอยู่บนเวที จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
“ไม่ได้ แสดงไม่ได้หรอก!” ฉินหมิงปฏิเสธอีกครั้ง
“นายยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงล่ะ?” จ้าวเหวินเทาพูดโน้มน้าวใจด้วยความอดทน “ฉันจะบอกให้นายฟัง มีเรื่องเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านพวกเราตอนเราเลี้ยงกระต่ายเยอะแยะจะตายไป ไม่ได้ด้อยไปกว่าการแสดงละครของพวกนายเลย อยากให้มีปมเรื่องก็มี อยากมีอะไรก็มีแบบนั้น! ถ้านายแสดงให้ฉันจะเหมาค่าตัวนายเอง!”
ฉินหมิงเห็นจ้าวเหวินเทายืนกรานเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดไปว่า “ฉันไม่เข้าใจเลย นักแสดงออกจะเยอะแยะขนาดนั้นทำไมนายถึงพุ่งเป้ามาที่พวกฉันเนี่ย?”
พวกฉันที่เขาหมายถึงก็คือตัวเขาและเกาเสียง เพราะเรื่องที่จ้าวเหวินเทาจะโฆษณานั้นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพวกเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหวินเทาเจออุปสรรคแล้ว ทีนี้จะโฆษณาการเลี้ยงกระต่ายอย่างไรดีน้า
ไหหม่า(海馬)