ตอนที่ 215 หลอกสำเร็จ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จ้าวเหวินเทาก็ไปหาหัวหน้าคณะละครพร้อมกับเกาเสียงและฉินหมิง นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถ
จากนั้น ภายใต้พยานรู้เห็นอย่างเกาเสียงและฉินหมิง เขาก็เริ่มกระทำงานถนัดของเขา…การหลอกล่อ
อย่ามองว่าจ้าวเหวินเทาไม่เข้าใจเรื่องละคร แต่เมื่อพูดถึงละครที่ผู้คนชอบดูก็พูดได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน
ประกอบกับฝีปากที่ดี ทำให้หัวหน้าถึงกับพยักหน้าอย่างอดใจไม่ได้
ภายในใจกำลังคิดว่า เสี่ยวจ้าวคนนี้พูดได้มีเหตุผลจริง ๆ
“…หัวหน้าคณะ แม้ว่าละครเก่าจะดี แต่เราก็ไม่สามารถพึ่งละครเก่าทั้งหมดได้ พวกเราเองก็ต้องมีหนังใหม่สักหน่อยด้วย คนแก่ ๆ ก็ต้องให้วัยรุ่นเข้ามารับช่วงต่อไม่ใช่เหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความจริงใจ “อีกอย่าง หัวหน้าคณะ คุณเองก็เห็นแล้ว คนชอบดูหนังมากกว่า ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะมันแปลกใหม่ไง!”
“การแสดงละครบนเวทีคนดูมาตั้งกี่ปีแล้ว แต่หนังล่ะ เพิ่งได้ดูแค่กี่ปีเอง? เปลี่ยนรูปแบบใหม่ ทุกคนยิ่งชอบ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำหนังออกมา ผลิตฟิล์มออกมาให้มากหน่อย ฉายพร้อมกันทั่วทั้งอำเภอก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าร้องบนเวที แบบนั้นนักแสดงคงเหนื่อยตายเลย ฟิล์มหนังดีกว่าตั้งเยอะ เอาออกไปขายข้างนอก แค่คณะละครนั่งบนเตียงอุ่นก็ได้เงินมาแล้ว!”
“เสี่ยวจ้าวนายพูดถูก แต่ก็นะ ในฐานะที่เป็นคณะการแสดงในอำเภอ พวกเราก็ยังต้องพัฒนาศิลปะการแสดงต่อไป เราจะแอบขี้เกียจได้ยังไง อีกอย่างเรื่องหาเงินจะนำมาทำเป็นเป้าหมายในคณะไม่ได้หรอกนะ” หัวหน้าคณะกล่าวอย่างเป็นทางการ
จ้าวเหวินเทากล่าวเยินยอด้วยท่าทางผ่อนคลาย “หัวหน้าคณะเป็นคนมีจิตสำนึกสูง! เรื่องนี้ผมยังนึกไม่ถึงเลย ผมแค่คิดว่านักแสดงของพวกเราขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีท่ามกลางอากาศหนาวทั้งวัน ฤดูร้อนอาการร้อนขนาดนั้น ยังต้องใส่เสื้อผ้าหนา ๆ แบบนั้นอีก ลำบากเกินไปแล้ว นี่ถ้าทำเป็นภาพยนตร์ได้ แบบนั้นก็ผ่อนคลายได้แล้ว คุณอย่าหัวเราะเลยนะ ผมไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ก็แค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจก็เท่านั้น”
นี่คือคำพูดที่อยู่ในใจที่ถูกพูดออกมาตรง ๆ ไม่ว่าหัวหน้าคณะ เกาเสียงหรือฉินหมิงก็รู้สึกอบอุ่นภายในใจ
หัวหน้าคณะมีความสุข “เสี่ยวจ้าว ถ้าแบบนายเรียกว่าไม่มีประสบการณ์ แบบไหนถึงจะเรียกว่ามีประสบการณ์? นายพูดถูก การทำหนังปล่อยออกมาให้ประชาชนได้ดู ไม่ว่าจะด้านไหนก็มีประโยชน์กับคณะทั้งนั้น อย่างน้อย ๆ พวกเราก็มีเวลาว่างมากขึ้นที่จะถ่ายละครให้ดียิ่งขึ้น แถมยังได้ศึกษาการแสดงให้ดีขึ้นด้วย!”
จ้าวเหวินเทามองหัวหน้าคณะด้วยความชื่นชม “หัวหน้าคณะ ผมไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี มีหัวหน้าคณะที่มองการณ์ไกลแบบคุณเป็นผู้นำ คณะละครในอำเภอของเราต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน ประชาชนตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเราก็จะได้ดูละครดี ๆ ได้มากขึ้นด้วย ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปบอกคนในชนบท พวกเขาต้องดีใจมากแน่ ๆ!”
“จริงเหรอ? ชาวบ้านชอบดูละครขนาดนั้นเลย?” หัวหน้าคณะไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ ถึงได้พูดออกมาแบบนี้
จ้าวเหวินเทารีบระบาย “หัวหน้าคณะ คุณคงไม่รู้สินะ ในชนบทไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ละวันรู้แค่ว่าต้องทำงาน ตอนค่ำหัวถึงหมอนก็นอนแล้ว คุณคิดว่าชีวิตแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไร? เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีหมู่บ้านที่มีคณะละครขนาดใหญ่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเรายี่สิบกว่าลี้ อากาศอย่างร้อนระอุ แต่คนจากทั้งหมู่บ้านก็ยังไปดู ตอนค่ำเหนื่อยแทบแย่ ตอนนั้นต่างก็คิดกันว่า ถ้าได้ดูละครในหมู่บ้านของเราก็คงจะดีมาก ๆ เลย จนกระทั่งวันนี้ที่ละครได้มาแสดงให้ถึงหมู่บ้าน”
“หัวหน้าคณะ คุณคงไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือว่าเด็ก ทุกคนต่างก็ชอบดูกันทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณไม่เชื่อ ถามเกาเสียงกับฉินหมิงดูก็ได้ พวกเขาเองก็ไปแสดงกันมา รู้ทุกอย่างเลย”
ฉินหมิงและเกาเสียงพยักหน้า “หัวหน้าคณะ เป็นแบบนี้จริง ๆ พวกชาวบ้านต่างก็ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีเลย ได้แสดงหมู่บ้านหนึ่ง คนจากหมู่บ้านข้าง ๆ ก็มาดูด้วย แถมยังมากันทั้งครอบครัวเลยครับ”
นี่คือเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้พูดโกหก หัวหน้าคณะก็ได้ยินมาจากนักแสดงคนอื่น ๆ แล้ว จึงเชื่อคำพูดนี้ อีกอย่างเขาก็แค่ถามไปงั้น ๆ
“ฮ่า ๆ! งั้นก็ดีเลย ถ้าทุกคนชอบดูงั้นพวกเราก็ทำ!” หัวหน้าคณะกล่าวประโยคสุดท้าย
หลังจากออกมาจากพูดคุยกับหัวหน้าคณะ เกาเสียงและฉินหมิงก็ยังมึนงงอยู่ นี่สำเร็จแล้วเหรอ?
จ้าวเหวินเทาได้ยินพวกเขาถาม ก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ จะไม่สำเร็จได้อย่างไรกัน?
ภาพยนตร์ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมากและทุกคนก็ได้ประจักษ์แล้ว หัวหน้าคณะไม่ใช่คนโง่ เขาจะมองไม่เห็นเหรอ?
อีกอย่าง ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ก็ทำเพื่อชื่อเสียงหรือไม่ก็เพื่อความอยู่รอดของคณะละครที่ดียิ่งขึ้น หัวหน้าคณะย่อมตอบตกลง
แน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่อาจพูดกับสองคนนี้ให้ชัดเจนได้ พวกเขายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น จ้าวเหวินเทาจึงทำได้เพียงแค่พูดเยินยอหัวหน้าที่เป็นผู้อุทิศตนเพื่อประชาชนและนักแสดงต่อไป จึงยอมตอบตกลง
เขาเดาได้ถูกต้องเลย ที่หัวหน้าคณะยอมตกลงก็เป็นเพราะมีความคิดอยากจะพัฒนาคณะละคร อีกอย่างการพัฒนาก็จำเป็นต้องมีรายได้ แม้ว่าภายนอกคณะละครจะดูไม่เลว แต่แท้จริงแล้วหัวหน้าคณะก็สังเกตเห็นถึงการพัฒนาของภาพยนตร์ที่รวดเร็ว หากไม่มองหาทางออก ไม่ช้าก็เร็วคณะละครคงถูกภาพยนตร์โค่นล้ม
อีกอย่างละครใหม่ที่จ้าวเหวินเทาเป็นคนคิดค้นก็ได้รับความนิยมมากจริง ๆ จึงตอบตกลง
หลังจากจ้าวเหวินเทากลับไปแล้ว เกาเสียงก็ยังรู้สึกราวกับว่าที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนฉินหมิงนั้นได้สติกลับมาก่อน “หมอนี่ไม่ธรรมดาเลย!”
“หมายความว่าไง?” เกาเสียงถาม
ฉินหมิง “นายลืมแล้วเหรอ เขาขายกระต่ายนะ”
“หา?” เกาเสียงยังคงไม่เข้าใจ
“ละครนี้ถ้าทำออกมาเป็นภาพยนตร์ กระต่ายของเขาก็จะดังไปพร้อมกับภาพยนตร์ด้วย!” ฉิงหมิงชื่นชม “หมอนี่มีความสามารถด้านการค้าขายจริง ๆ!”
เกาเสียงเข้าใจแล้ว จึงพูดด้วยความตกตะลึง “เขามาหาพวกเราเพื่อช่วยถ่ายละครกระต่ายให้เขา และคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงผลลัพธ์ก็เป็นแบบนี้” ฉินหมิงส่ายหน้าทั้งยังแสดงอารมณ์ออกมา
พวกเขาคิดเยอะเกินไปแล้ว จ้าวเหวินเทาไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย เขาจะไปคิดไตร่ตรองไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอ ก็แค่สำเร็จไปทีละก้าวก็เท่านั้นเอง
ก่อนที่จะกลับบ้าน จ้าวเหวินเทาได้โทรศัพท์ไปหาเย่หมิงเป่ย ตอนนี้เขาชอบโทรศัพท์มาก ของชิ้นนี้ดีเกินไปแล้ว มีข้อมูลอะไรก็สามารถแจ้งได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้ล่าช้าเลยสักนิด!
ตอนนี้เขาคิดว่าสักวันหนึ่งจะลองไปถามดูว่าสามารถติดตั้งสิ่งนี้ในบ้านได้หรือไม่ ถึงเวลานั้นจะได้นอนโทรศัพท์อยู่บนเตียง แบบนั้นคงดีมากเลย!
ต้องยอมรับว่า จ้าวเหวินเทาเป็นคนมีพรสวรรค์ในการทำการค้า ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อ่อนไหวกับการส่งข้อมูลขนาดนี้
เย่หมิงเป่ยได้ยินเสียงของจ้าวเหวินเทา ภายในใจก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกดีอย่างไรแล้ว ได้ดูละครแถมยังสามารถขายกระต่ายออกไปได้ด้วย นอกจากนี้ยังจะทำภาพยนตร์อีก ทำไมหมอนี่ถึงได้สมองดีขนาดนี้นะ
หลังจากกลับมาเล่าให้โจวหมิ่นฟัง โจวหมิ่นก็ถึงกับชะงัก คุณแม่เย่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินก็หัวเราะ
“เด็กคนนี้ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ใครๆ พูดว่าเขาเป็นคนโชคดี จริง ๆ เลย! ดูละครก็สามารถขายกระต่ายออกไปได้ตั้งหลายตัว แถมยังทำภาพยนตร์อีก ใครจะโชคดีเหมือนกับเขา!” คุณแม่เย่เห็นคุณน้าพี่เลี้ยงไม่เข้าใจ นางจึงพูดไปว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ลูกเขยคนนั้นของฉัน โชคดีถึงขั้นที่ไม่เคยมีใครโชคดีเท่ากับเขามาก่อนเลยล่ะ!”
จากนั้นนางก็เล่าให้ฟังไปอีกหนึ่งรอบ
เย่หมิงเป่ยคุ้นชินกับการที่แม่ของเขาพูดเยินยอจ้าวเหวินเทาแล้ว เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่นั่งคุยกับโจวหมิ่นที่ข้าง ๆ เตียง
“ตอนนี้เหวินเทาฝีปากดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย เก่งกว่าก่อนที่ฉันจะมาที่นี่อีก หัวหน้าคณะคนนั้นคงต้องถูกหลอกแน่นอนเลย ทำภาพยนตร์ เขาคิดออกมาได้ไงเนี่ย?” เย่หมิงเป่ยเห็นว่าโจวหมิ่นไม่ได้โต้ตอบอะไรอยู่นาน เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดของภรรยาจึงรีบพูดว่า “หมินหมิ่น เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอ?”
โจวหมิ่นชะงัก หล่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เปล่าค่ะ ฉันกำลังคิดเรื่องที่เหวินเทาบอกว่าจะทำหนังอยู่น่ะ เขาบอกว่าละครเรื่องนั้นเป็นการโฆษณากระต่ายให้เขา งั้นถ้าละครนี้ทำเป็นหนังได้ขึ้นมา กระต่ายของเขาต้องมีชื่อเสียงแน่นอนเลย!”
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เหวินเทานี่พกสาริกาลิ้นทองด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย เจรจาทีไรสำเร็จทุกที
ไหหม่า(海馬)