ตอนที่ 231 วิธีกินที่เป็นเอกลักษณ์
เย่ฉูฉู่ตัดแบ่งแป้งเสร็จแล้ว เธอจึงหยิบตะเกียบมาเพื่อคีบไส้เกี๊ยว “แม่สามีของฉันดูแลลูกให้ พอลูกโตขึ้นก็ไม่สนิทกับฉันแล้ว ถ้าไม่สนิทกันจะอบรมสั่งสอนได้ยังไงล่ะ อีกอย่างก็ช่วยดูให้ไม่ได้หรอก ลูกต้องกินนมทุกชั่วโมง ฉันต้องวิ่งเทียวไปเทียวมา แม่สามีมาที่นี่ก็ต้องเดินทางมาอีก ฉันเคยบอกให้พ่อแม่สามีย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมา บอกว่าใช้ชีวิตเองเป็นอิสระดี พวกเราก็ไม่ควรบังคับพวกท่านเพื่อความสะดวกสบายของตัวเองเหมือนกัน ก็เลยปล่อยให้พวกท่านอยู่กันเองแบบนั้นต่อไปนั่นแหละ”
เฮ่อซงจือกลับพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันว่าแบบนี้ก็ดีนะ อยู่ด้วยกันแบบระยะเวลาสั้น ๆ ก็ยังดีอยู่หรอก แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ต่อให้เป็นแม่สามีลูกสะใภ้ที่ดีกว่านี้ก็ต้องมีปัญหาเข้าสักวัน! ต่อให้ไม่มีปัญหาไม่เธอก็แม่สามีนั่นแหละที่รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรม พวกเขาแก่ตัวไปเดินไม่ไหว พูดไม่ได้ ก็ควรจะดูแล แต่ถ้ายังเดินได้ก็ให้พวกท่านใช้ชีวิตของตัวเองเถอะ พ่อแม่สามีเธอพูดถูกนะ เป็นอิสระ ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับอิสระแล้วล่ะ!”
เย่ฉูฉู่รู้สึกขบขัน “ทำอย่างกับเธอใช้ชีวิตไม่เป็นอิสระงั้นแหละ”
เฮ่อซงจือห่อเกี๊ยวพลางกล่าว “มันก็ไม่เหมือนกับเธออยู่ดีนั่นแหละ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ”
เย่ฉูฉู่คิด ๆ ดูแล้วก็คิดว่าใช่ ตอนที่ยังอยู่บ้านหลังเก่าและไม่ได้แยกบ้านออกมา แม่สามีอยากกินอะไรก็ต้องทำตามนั้น แม้เธอจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่เฮ่อซงจือพูดก็มีเหตุผล เมื่ออยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะรับประทานอะไรก็ต้องถามก่อน ไม่ได้เหมือนกับตอนนี้ที่อยากรับประทานอะไรก็ทำเองได้เลย
คิดแบบนี้แล้ว ใช้ชีวิตเองก็ดีจริง ๆ
“ฉันคิดไว้ดีแล้วละ ถ้าฉันมีลูกชาย อนาคตแก่ตัวไป ตราบใดที่ฉันยังเดินไหว ฉันจะไม่ไปอยู่บ้านพวกเขาเด็ดขาด ถ้าลูกชายแต่งงานเมื่อไรก็ต้องออกไปสร้างบ้านเอง พวกเขาอยากจะใช้ชีวิตยังไงก็ตามสบาย แต่อย่ามาอยู่ด้วยกัน เพื่อไม่ให้ความคิดเห็นของคนนอกและเรื่องหน้าตามาทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับตัวเอง!”
“ฮ่า เธอคิดไกลดีนะ หรือว่าเธอมีลูกอีกคนแล้ว?” เย่ฉูฉู่แซว
“ใครจะมีเร็วขนาดนั้นกันล่ะ!” เฮ่อซงจือหน้าแดง “คนนี้ยังไม่ทันได้ออกจากอ้อมอก ยังจะมีเพิ่มอีกคน เหนื่อยตายกันพอดีสิ? เรื่องอยากได้ก็อยากได้อยู่หรอก แต่ต้องรอให้โตแล้วเดินเป็นก่อนค่อยว่ากัน เธอล่ะ?”
“ยังไม่ได้คิดเลย ไว้ค่อยว่ากัน” สำหรับเรื่องนี้ เย่ฉูฉู่ค่อนข้างปล่อยสบาย ๆ
“รอให้ลูกโตอีกสักสองปีค่อยว่ากันก็ยังได้ จริงสิ ที่ฉันมาหาเธอเพราะเรื่องแม่สื่อนี่แหละ” เฮ่อซงจือกล่าว
เย่ฉูฉู่เดาได้ตั้งนานแล้ว ไม่เช่นนั้นเฮ่อซงจือคงไม่วิ่งมาหาท่ามกลางหิมะตกหนักหรอก “เธอกับอีกคนตกลงเวลาที่จะมาได้แล้วเหรอ?”
“ตกลงเวลากันแล้ว ฉันมีลูกคงไปไหนไม่ได้ หล่อนมาหาฉัน แล้วก็บอกว่าอีกสองวันจะพาน้องสาวมาที่นี่” พูดถึงตรงนี้เฮ่อซงจือก็แอบรู้สึกลำบากใจ “ฉูฉู่ บ้านฉันคนเยอะขนาดนั้นคงไม่ค่อยสะดวก ถึงเวลานั้นมาดูตัวที่บ้านเธอได้ไหม?”
“ได้สิ ถึงเวลานั้นเธอก็ไปเรียกเจ้ารองฉวี่ให้มาที่นี่ก็ได้ ฉันเองก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว” เย่ฉูฉู่ตอบตกลงอย่างใจถึง
เฮ่อซงจือพูดอย่างมีความสุข “ฉูฉู่ เธอนี่ดีจริง ๆ เลย ขอบใจนะ!”
เย่ฉูฉู่รู้สึกขบขัน “ถ้าฉันไม่ตอบตกลงก็เป็นคนไม่ดีแล้วสิ?”
“ไม่ตอบตกลงก็ยังเป็นคนดี จะตกลงหรือไม่ตกลงก็ดีทั้งนั้นแหละ” เฮ่อซงจือพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเป็นแม่สื่อ แอบรู้สึกไม่ชินเลย”
“งั้นเธอก็ทำบ่อย ๆ สิ ในหมู่บ้านมีคนโสดตั้งเยอะ เธอก็เหมาให้หมดเลย คงฝึกฝนจนชินแน่นอน” เย่ฉูฉู่พูดเคล้ารอยยิ้ม
“จะบ้าเหรอ!” เฮ่อซงจือหัวเราะ “เธอเองก็ไม่ใช่คนตงฉินแล้วนะ เรียนรู้เรื่องไม่ดีมาจากจ้าวเหวินเทาเข้าแล้วสิ”
“งั้นเธอเรียนรู้เรื่องที่ดีหรือไม่ดีมาจากจ้าวเหวินจื้อล่ะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวติดตลก
ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อหัวเราะสนุกสนาน เพียงไม่นานก็ห่อเกี๊ยวหนึ่งหม้อจนเสร็จ ส่วนเสี่ยวไป๋หยางนอนเก่งมากจนเฮ่อซงจือถอนหายใจ ลูกชายคนนี้เอาใจใส่ดีจริง ๆ รู้ว่าแม่ของเขาต้องทำอาหาร ตัวเองก็เลยนอนหลับยาว
เย่ฉูฉู่หอบฟืนไปจุดไฟต้มเกี๊ยว จากนั้นก็บอกให้เฮ่อซงจือนำกลับไปด้วย
หลังจากส่งเฮ่อซงจือกลับไปแล้ว เธอจึงกลับมาโขลกกระเทียม ใส่น้ำมันงา ซีอิ๊วและผักชีผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน เกี๊ยวไส้ผักกาดดองช่างหอมอร่อยสุด ๆ ไปเลย!
หากใส่รวมกับเต้าหู้ของพี่สามจ้าวคงดียิ่งกว่านี้ เย่ฉูฉู่รับประทานไปพลางครุ่นคิดไปพลาง
หลังจากรับประทานเสร็จก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย ช่วงค่ำที่จ้าวเหวินเทากลับมา เย่ฉูฉู่จึงนำไปทอดในน้ำมันให้เขารับประทาน จ้าวเหวินเทารับประทานไปหนึ่งคำ ก็สูดปากเข้าออกเพราะร้อนลวกลิ้น แต่กลับรับประทานแบบติดงอมแงม
“อร่อย ภรรยา ทำไมคุณถึงทำทุกอย่างอร่อยขนาดนี้เนี่ย ขนาดเกี๊ยวไส้ผักดองยังอร่อยขนาดนี้เลย!”
เย่ฉูฉู่รับประทานโจ๊กไปพลางมองดูสามีรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “ถ้าคุณชอบกิน วันพรุ่งนี้ฉันจะห่อเพิ่มให้ ตอนค่ำคุณกลับมาก็ได้กินแล้ว จริงสิ คุณไปซื้อเต้าหู้จากพี่สามหน่อยนะคะ เต้าหู้ของพี่สามอร่อยจริง ๆ ถึงเวลานั้นใส่ลงไปสักหน่อย คงอร่อยกว่านี้อีก”
“ได้สิ!” จ้าวเหวินเทากล่าว “คุณไม่ต้องห่อเองหรอก รอผมกลับมาเดี๋ยวผมจัดการเอง คุณทำไส้เตรียมไว้ก็พอแล้ว เหนื่อยขึ้นมาคงไม่ดีกับตัวคุณนะ”
“คุณนี่ช่างคุยจริง ๆ เลย!” แม้ว่าเย่ฉูฉู่จะพูดแบบนี้ แต่ภายในใจก็รู้สึกได้ถึงความหวานหยดย้อย
จ้าวเหวินเทาเป็นนักกิน ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถกีดขวางหัวใจในการกินดวงนั้นของเขาได้ หลังจากรับประทานเกี๊ยวหมดแล้วก็ไปจองเต้าหู้หนึ่งแถวกับพี่สามจ้าว เพราะกลัวว่าวันพรุ่งนี้จะหมดเสียก่อน
เต้าหู้หนึ่งแถวราคาสิบหยวน ใส่ไว้ในเกี๊ยวหนึ่งชิ้นก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือนำไปตุ๋นกับผักดองได้
“ผมขอแบบที่ทำด้วยมือนะ” จ้าวเหวินเทากำชับพี่สามจ้าว
“ไม่ต้องห่วง พี่สามของนายค้าขายด้วยใจที่มีมโนธรรมอยู่แล้ว ได้เงินค่าเต้าหู้ทำมือ ฉันไม่เอาเต้าหู้ที่ทำจากเครื่องจักรมาให้นายหรอก!” พี่สามจ้าวรับปาก
เรื่องนี้จ้าวเหวินเทาเชื่อใจอีกฝ่าย อย่ามองว่าพี่สามจ้าวเป็นคนเรื่องมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องขายเต้าหู้ เขาเป็นคนจริงจังมาก ดูจากลูกค้าที่กลับมาซื้อจำนวนมากเหล่านั้นก็ทราบแล้ว
อันที่จริงสำหรับพี่สามจ้าวแล้ว การขายเต้าหู้ไปไกลกว่าความหมายของการทำเงินมาก เมื่อได้รับการต้อนรับจากคนจำนวนมากขนาดนั้น สิ่งนี้ก็ทำให้เขาภาคภูมิใจ ความภาคภูมิใจนี้ทำให้เขาแอบสาบานในใจว่า เขาจะค้าขายด้วยความซื่อสัตย์จนถึงที่สุด!
บางครั้งจ้าวเหวินเทาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ขายของแท้ราคาสมน้ำสมเนื้อ ถือเป็นความภาคภูมิใจของเขา พี่น้องแท้ ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติที่เหมือนกันอยู่
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่มีเมฆครึ้ม แม้จะเป็นช่วงบ่ายแล้วแต่ก็รู้สึกราวกับเป็นช่วงค่ำ จ้าวเหวินเทาจัดการขายผักใบเขียวเสร็จแล้วก็ไปรับเต้าหู้จากพี่สามจ้าว เหลือไว้หนึ่งชิ้นเพื่อนำไปทำเป็นไส้เกี๊ยว ส่วนที่เหลือใส่ไว้ในตู้ขนาดเล็กนอกห้องเพื่อแช่แข็งไว้ นี่คือตู้เย็นธรรมชาติที่ใช้ได้ดีเยี่ยม
หลังล้างทำความสะอาดผักกาดดองแล้วก็หั่นเต้าหู้ เย่ฉูฉู่คลุกไส้เกี๊ยว ส่วนจ้าวเหวินเทานวดแป้ง เสี่ยวไป๋หยางเป็นผู้ดูแล ทั้งครอบครัวมีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ให้ความร่วมมือกันโดยปริยาย ผ่านไปชั่วครู่เกี๊ยวก็ถูกห่อออกมาจนเสร็จ เมื่อห่อเกี๊ยวเสร็จแล้ว จ้าวเหวินเทาก็เกิดความคิดนึกสนุก เขาฉีกกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่น จากนั้นนำเกี๊ยววางลงบนกระดาษขาว และนำไปวางบนฝาเตา
“ภรรยา รีบมาดูวิธีการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของผมเร็ว!”
เย่ฉูฉู่เดินมาดูด้วยความสงสัย “มันจะสุกเหรอคะ?”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าเนื้อจะสุกไหม แต่ผักสุกแน่นอน!” จ้าวเหวินเทายื่นมือออกไปพลิกเกี๊ยว ก็พบว่าแผ่นแป้งอีกด้านหนึ่งเป็นสีเหลืองอร่ามแล้ว ทั้งยังส่งกลิ่นหอมฉุยออกมาด้วย
“หอมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!” เย่ฉูฉู่เองก็เริ่มสนใจ เธอดึงเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งรอรับประทานข้าง ๆ
เพียงไม่นานก็เสร็จ จ้าวเหวินเทานำเกี๊ยวออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นดึงกระดาษทิ้งยื่นเกี๊ยวให้ภรรยา “ภรรยา รีบชิมดูสิ!”
เย่ฉูฉู่กัดไปหนึ่งคำดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “อร่อยจริง ๆ!”
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” จ้าวเหวินเทาห่อเกี๊ยวส่วนหนึ่งด้วยกระดาษขาวสะอาดแล้ววางลงบนฝาเตาอีกครั้งด้วยความภาคภูมิใจ “ผมจะบอกอะไรให้นะ ตอนที่ผมยังเด็ก ในบ้านฐานะยากจน ไม่มีเตาไฟ ผมก็เลยออกไปขุดหลุมข้างนอกเพื่อย่างของกิน ของที่เอาออกมาจากการย่างรมควันนั่นแหละอร่อยที่สุด!”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีการเล่นแผลง ๆ ก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี เหวินเทาคือผู้คิดค้นเกี๊ยวย่างสินะ
ไหหม่า(海馬)