ตอนที่ 49 คำปลอบโยนจากภรรยา
จ้าวเหวินเทาเล่าเรื่องของพี่เขยห้าอย่างหดหู่ “เขาเดินทางเที่ยวหนึ่งก็ได้เงินมาหลายร้อยหยวนแล้ว ในหนึ่งปีพวกเราคงหาเงินขนาดนั้นไม่ได้หรอก”
เย่ฉูฉู่เข้าใจแล้ว ที่แท้เขาก็โดนโจมตีทางจิตใจมานี่เอง เธอมองสามีพลางกล่าวว่า “เหวินเทา อย่าบอกนะคะว่าคุณอิจฉา?”
“ไม่มีทาง นั่นพี่เขยของผมนะ เขาปฏิบัติกับผมดีออกขนาดนี้ เห็นเขาทำเงินได้มากผมก็ย่อมดีใจ จากนี้ไปพี่สาวห้าของผมจะได้มีอนาคตสดใส แล้วที่บ้านคงไม่ต้องกังวลในเรื่องของหล่อนอีก ผมก็แค่…แค่รู้สึกแย่นิดหน่อยเท่านั้นเอง!” จ้าวเหวินเทาใช้แขนทั้งสองข้างหนุนศีรษะ มองดูแสงไฟในห้องพลางถอนหายใจ “ว่ากันว่าของเปรียบเทียบกันต้องมีถูกทิ้ง คนเปรียบเทียบกันต้องตายไปข้าง* ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของมันแล้ว”
*คนเราต้องพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ถ้าคุณพูดแบบนี้ บนโลกนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่คนแล้วมั้งคะ ไม่ต้องพูดถึงที่อื่นหรอก ดูหมู่บ้านเราสิ พวกที่ไม่ได้มีชีวิตแบบคุณก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันแล้วน่ะสิคะ? ดูคุณสิโตมาหล่อขนาดนี้ ทั้งยังมีความสามารถ ขึ้นเขาหนึ่งรอบได้ของกลับมาตั้งเยอะแยะ ในขณะที่พวกเขาเอาแต่พูดเรื่องสัปดนกันในช่วงอากาศหนาว ๆ แบบนี้ คุณกลับแอบออกไปหาเงิน อย่างนี้พวกเขายังจะมีชีวิตต่อไปได้อีกเหรอคะ?”
จ้าวเหวินเทารู้สึกดีขึ้นมาก เขามองภรรยาของตัวเองพลางกล่าวขึ้น “ภรรยา พูดอีกได้ไหมครับ?”
เย่ฉูฉู่ย่อมต้องการให้กำลังใจสามีของตนอยู่แล้ว เธอจึงพูดให้สามีเกิดความมั่นใจ “ถึงอย่างไรในสายตาของฉัน สามีของฉันก็ดีทุกอย่าง เหวินเทา พวกเราใช้ชีวิตของพวกเราก็พอแล้วนะคะ ไม่ต้องไปเทียบกับคนอื่น ไม่ว่ายังไงฉันก็เชื่อคุณ เชื่อว่าคุณสามารถทำให้ฉันมีชีวิตที่ดีได้ เชื่อว่าคุณจะมีอนาคตที่สดใส ทำให้ฉันมีเกียรติที่ได้แต่งงานกับคุณและเป็นภรรยาของคุณ!”
จ้าวเหวินเทาเริ่มมีความกระตือรือร้นขึ้นมา เขาเอื้อมมือไปกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงจัง “ภรรยา คุณวางใจได้เลย ผมจะทำให้คุณมีชีวิตที่ดีเอง!”
เย่ฉูฉู่ใจอ่อนระทวย แม้ว่าชาติที่แล้วคือชาติที่แล้ว แต่ความไว้วางใจของนางที่มีต่อเขาไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างนุ่มนวล “เหวินเทา ขอแค่ฉันได้อยู่กับคุณ ตราบใดที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวันไหนก็เป็นวันที่ดี ต่อให้ทั้งสามมื้อได้ดื่มแค่น้ำต้มสุก หัวใจของฉันก็ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่ดี หัวใจของฉัน คุณรู้สึกถึงมันไหมคะ?”
จ้าวเหวินเทาไม่คิดว่าภรรยาจะกล่าวแบบนี้ คำบอกรักแสนหวานที่น่าฟังนี้ทำให้ในใจของเขาเกิดความร้อนรุ่ม ร่างกายของเขาก็ร้อนรุ่ม เขาคร่อมร่างของภรรยาไว้ในทันที จ้องมองใบหน้าของภรรยาที่ทั้งขาวอมชมพูและนุ่มนิ่มด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว กล่าวว่า “ภรรยา ผมชักจะเกิดความอยากแล้วสิ มาสักรอบไหมครับ?”
เขาอยากจะทำเรื่องนั้นกับภรรยาของเขาจริงๆ
เย่ฉูฉู่เกิดความเขินอาย แต่ข้างนอกยังมีคนอื่นอยู่ด้วย เธอจึงรีบผลักเขาออกไปพลางกล่าวว่า “กลางวันแสก ๆ คุณอย่าวุ่นวายสิคะ”
จ้าวเหวินเทามองไปยังท้องฟ้าที่ยังสว่างอยู่ แล้วก็แอบรู้สึกเสียดาย
“ถ้าพวกเรามีบ้านเป็นของตัวเอง ต่อให้ฟ้ายังสว่างอยู่ก็ทำได้!” เขาจูบภรรยาพลางกล่าวออกมา
คำพูดหยาบโลนแบบนี้ทำให้ร่างกายของเย่ฉูฉู่อ่อนยวบ เธอจ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคือง ชาติที่แล้วเขาช่างอ่อนโยนและสง่างาม มาชาตินี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? แต่เธอก็ชอบท่าทางที่คิดอยากครอบครองของเขาในตอนนี้นัก ท่าทางของเขาเมื่อชาติที่แล้วดูราวกับเมฆบนขอบฟ้า มักทำให้เธอรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อมอยู่เสมอ
จ้าวเหวินเทามองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความรักของภรรยาที่มีต่อตัวเอง เขาบรรจงจูบหนึ่งครั้ง ก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า “ภรรยา คุณอย่ามองผมแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นผมจะไม่รอให้ถึงตอนกลางคืนแล้ว!”
“คุณพอได้แล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวอย่างแง่งอน
จ้าวเหวินเทาไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ เพราะกลัวว่าจะทนไม่ไหว ภรรยาของเขาในตอนนี้สามารถพรากวิญญาณของเขาได้จริง ๆ แต่เขาก็ไม่สามารถทำเรื่องนั้นในตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่อยู่
คุณแม่จ้าวได้ยินจากพี่สะใภ้สี่จ้าวว่าสีหน้าของจ้าวเหวินเทาไม่สู้ดีนัก นางจึงคิดว่าการขายถั่วงอกคงต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น เมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้น การขายออกหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น ถึงอย่างไรนางก็เคยผ่านยุคพิเศษนั้นมาแล้ว นางจึงรู้สึกกลัวมาตั้งแต่แรก
เมื่อมาสอบถามจึงได้ทราบว่าเป็นเพราะจิตใจของลูกชายกำลังหดหู่ นางจึงกล่าวด้วยท่าทางโมโหระคนติดตลกว่า “เจ้าลูกชั่วคนนี้นี่ ทำให้แม่ตกใจแทบตาย คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแกซะแล้ว พี่เขยห้าทำอะไร? เทียบกันได้ด้วยเหรอ?!”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าแม่ของเขาเป็นห่วง แต่คำพูดนี้ก็ทำให้จ้าวเหวินเทาอารมณ์เสีย “แม่ แม่พูดแบบนี้ได้ยังไง? ผมมีอะไรที่เทียบไม่ได้เหรอ ผมมีแขนน้อยกว่า มีหัวน้อยกว่าพี่เขยห้าเหรอ? พี่เขยห้าแค่เห็นโลกมากกว่าผมนิดหน่อยเอง แต่เรื่องนี้ผมก็สามารถเติบโตได้ แม่ต้องมั่นใจในตัวลูกชายของแม่รู้ไหม? ”
อย่ามองว่าจ้าวเหวินเทาถูกภรรยาปลอบใจจนไม่ได้รู้สึกหดหู่แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมเป็นคนธรรมดาแบบนี้ แต่เขาเองก็ไม่รีบร้อน ด้วยการสนับสนุนของภรรยาอันเป็นที่รัก เขาสามารถค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปได้ ถึงอย่างไรไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเขาก็ประสบความสำเร็จอยู่ดี!
“เจ้าเด็กเหม็นนี่” คุณแม่เหลือบมองลูกชายของนางอย่างโมโห แม้ว่านางจะดุด่าลูกชาย แต่ในใจของนางกลับพึงพอใจ “แม่คนอื่นเขาก็ไม่สนใจลูก แต่แกจะทำเรื่องโง่ ๆ ไม่เป็นจริงเป็นจังไม่ได้นะเข้าใจไหม? นึกถึงพ่อกับแม่ไว้ให้มาก ๆ รวมถึงภรรยาที่เป็นดั่งดอกไม้และหยกของแกด้วย!” คุณแม่จ้าวกล่าวพร้อมกับมองลูกชาย นางกังวลว่าถ้าลูกชายของนางเลือกเดินทางผิด ก็คงไม่มีญาติมิตรคนไหนเข้าไปกินข้าวเป็นเพื่อนเขาในคุก
“แม่ แม่พูดไปถึงไหนแล้วเนี่ย ผมจะไปทำเรื่องโง่ ๆ ได้ยังไงกัน? คอยดูเถอะ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า จ้าวเหวินเทาคนนี้จะทำให้แม่กับพ่อและภรรยาของผมมีความสุขให้ได้!” จ้าวเหวินเทากล่าวอย่างมีชัย
“เรื่องขี้โม้ไม่มีใครเอาชนะแกได้เลย” คุณแม่จ้าวดุด่าด้วยรอยยิ้ม เจ้าเด็กคนนี้มักจะร่าเริงแบบนี้อยู่เสมอ ใครได้เห็นก็ชอบเขากันทั้งนั้นแหละ!
คุณแม่จ้าวพูดคุยกับลูกชาย จากนั้นจึงเรียกเย่ฉูฉู่ออกมาข้างนอก นางคุยกับลูกชายหนึ่งรอบ แล้วก็คุยกับลูกสะใภ้อีกหนึ่งรอบ นางกระซิบว่า “ฉูฉู่ แม่ว่าเหวินเทาแอบเหลิงไปนิด เธอก็ช่วยโน้มน้าวใจเขาสักหน่อย อย่าให้เขาทำตัวซุกซนเกินไปล่ะ งานของพี่เขยห้าไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ เงินที่เขาหามาก็ยากลำบาก สองปีที่ผ่านมากข้างนอกวุ่นวายมาก”
ต่อให้นางจะพอใจในความทะเยอทะยานของลูกชาย แต่คุณแม่จ้าวก็เคยได้ยินเรื่องนี้จากลูกสาวของนางมาก่อน แม้ว่าตอนนี้จะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว แต่ด้านนอกก็วุ่นวายมากจริง ๆ คนธรรมดาอย่างพวกเขา สิ่งสำคัญคือทำตัวอนุรักษ์นิยมสักหน่อยก็ดี
เย่ฉูฉู่ไม่ได้รู้สึกอะไรหลังจากได้ยินความกังวลของแม่สามี เธอจึงทำตัวเป็นลูกสะใภ้ตัวน้อย กล่าวว่า “คุณแม่ เหวินเทามีแผนในใจแล้ว ฉันเชื่อเขาค่ะ คุณแม่ก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเหวินเทาสิคะถึงจะถูก”
คุณแม่จ้าวไม่รู้ว่านี่เป็นการปลอบใจหรือจนปัญญา ลูกสะใภ้คนนี้ที่ทำตามทุกอย่างที่สามีบอก คงไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้นางพอใจมากที่สุด นางเองก็เข้าใจลูกชายของนางดี นางจะวางใจได้อย่างไรกัน?
เย่ฉูฉู่เป็นเด็กกตัญญู เมื่อเห็นแม่สามีเป็นกังวลจึงกล่าวว่า “คุณแม่ไม่ต้องกังวล เหวินเทามีแผนอยู่ในใจแล้ว พวกเราแค่สนับสนุนเขาก็พอค่ะ ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะ แม่ลองปล่อยให้เขาได้ลองดูก่อน ถ้าไม่ได้เราก็ค่อยมาว่ากัน เราต้องปล่อยให้เขาลองก่อนแล้วค่อยพูดไม่ใช่เหรอ?”
คุณแม่จ้าวไม่กล่าวอะไรอีก จึงบอกให้ลูกสะใภ้ดูแลเงินให้ดี “ผู้ชายเป็นคราดดึงเงิน ส่วนผู้หญิงเป็นกระปุกเงิน ครอบครัวจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ อยู่ที่ผู้หญิงที่เป็นกระปุกเงินว่าดูแลเงินได้ดีไหม ดังนั้นเธอไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น แต่เงินนี้จะปล่อยให้เขาใช้ตามอำเภอใจไม่ได้”
เย่ฉูฉู่บอกไม่ได้ว่าตัวเองเชื่อฟังเหวินเทา จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับไป
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แปลตอนนี้แล้วสำลักน้ำตาล หวานกันมากเลยค่ะ
เหวินเทาก็แค่ต้องการกำลังใจน่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)