ตอนที่ 59 เลี้ยงดูยามแก่เฒ่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
คุณแม่จ้าวเหล่ตามองเจ้าสามปราดหนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับลูกชายคนเล็กว่า “เจ้าหก รอบ้านแกสร้างเสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ตอนนี้พวกเรายังเดินได้ ไม่ต้องมีใครช่วยทั้งนั้นแหละ พวกเราจะใช้ชีวิตกันเอง เรื่องน่ารำคาญแบบนี้ทะเลาะไปก็ไม่จบสิ้น กลับไปนอนให้หมดเลยไป”
คุณแม่จ้าวลากจ้าวเหวินเทาเดินออกมา ระหว่างทางก็พูดว่า “แกนี่ก็จริง ๆ เลยนะ ไปบอกว่าจะเลี้ยงพ่อกับแม่ตอนแก่คนเดียวได้ยังไง”
ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่หรอก แต่นางไม่อยากให้เรื่องเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าตกไปอยู่ที่ลูกชายคนเล็กเพียงคนเดียว
“แม่ เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้นแล้ว ท่าทางเหมือนกับคนที่จะเลี้ยงพ่อกับแม่ตอนแก่เหรอ? รอให้ผมสร้างบ้านได้เมื่อไหร่พ่อกับแม่ก็มาอยู่กับพวกเรา ส่วนคนพวกนั้นอยากจะทำอะไรก็เชิญ” จ้าวเหวินเทากล่าว
คุณแม่จ้าวถอนหายใจ ภายในใจก็อยากจะพูดอีก แต่ตอนนี้ดึกขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้เช้าลูกชายคนเล็กก็ต้องตื่นเช้าอีก จึงพูดว่า “เรื่องนี้ค่อยคุยกันวันหลัง รีบกลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นไม่ไหวก็ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว พักผ่อนสักวัน”
จ้าวเหวินเทารู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ได้สร้างบ้าน พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ “อะไรก็ไม่สามารถหยุดการหาเงินของผมได้ทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่ งั้นผมกลับไปนอนแล้วนะ ถ้าพวกเขายังมาสร้างความวุ่นวายก็ไม่ต้องไปสนใจแล้ว”
“เข้าใจแล้ว รีบกลับไปนอนเถอะ” คุณแม่จ้าวพยักหน้า
ทางฝั่งพี่สะใภ้รองจ้าว เมื่อเห็นว่าคุณแม่จ้าวและเหวินเทากลับไปแล้ว ทะเลาะต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงแยกย้ายกันกลับห้อง ส่วนพี่รองจ้าวก็ไม่ได้สนใจพี่สะใภ้รอง เขาดึงผ้าห่มที่ปูอยู่บนเตียง ก่อนจะตะโกนเรียกลูกทั้งสามคนที่กำลังตกใจอยู่บนพื้น “รีบขึ้นไปนอนบนเตียง!”
ลูก ๆ ทั้งสามคนนั่งมองแม่ที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น ก่อนรีบขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างรวดเร็วโดยไม่กล้าส่งเสียงดัง
เหลือก็แค่พี่สะใภ้รองจ้าวเพียงคนเดียว หล่อนสร้างปัญหามาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอื่น หลังจากเป่าลมดับไฟก็เอนตัวนอน
คืนนี้มีเพียงเย่ฉูฉู่ที่นอนหลับสบาย เธอตื่นขึ้นก็ตอนที่สามีของเธอกลับมาที่ห้องแล้วพาลมหนาวเข้ามาด้วย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียหนึ่งประโยค
จ้าวเหวินเทาบอกเธอว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้วก็หลับไป เธอจึงหลับปุ๋ยไปอีกครั้ง ครั้นตื่นมาอีกทีตอนรุ่งสาง คนเป็นสามีก็เข้าเมืองไปแล้ว
ชีวิตในฐานะภรรยาของเธอจะดีเกินไปหรือเปล่านะ?
เย่ฉูฉู่แอบรู้สึกละอายใจ แต่เธอก็ชอบชีวิตที่เป็นแบบนี้มากจริง ๆ
เธอนอนขลุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ อย่างเกียจคร้านอยู่ครู่หนึ่งถึงจะลุกขึ้น หลังจากเก็บข้าวของลวก ๆ และรับประทานอาหารเช้าแล้ว เธอก็มาหาแม่สามีเพื่อถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในบ้านผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติอย่างไร มันดูไม่ค่อยเหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมาเลย
“น้องสะใภ้หก!” พี่สะใภ้สี่จ้าวที่กำลังเรียงกองฟืนหันมาโบกมือเรียกเธอ
“พี่สะใภ้สี่ มีอะไรเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่เดินเข้าไปหา
พี่สะใภ้สี่ทำท่าทางให้เธอลดเสียงลง จากนั้นก็ลากเธอไปด้านหลังกองฟืน ทั้งยังทำท่าหันซ้ายเหลียวขวา ก่อนจะพูดขึ้น “น้องสะใภ้หก น้องสามีเล็กล่ะ?”
“เข้าไปขายถั่วงอกในเมืองแล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่มองหล่อนขณะตอบ
“ยังมีกะจิตกะใจไปขายถั่วงอกอีกนะ” พี่สะใภ้สี่ส่งเสียงจุ๊ ๆ สองเสียง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “น้องสามีขยันจริง ๆ ตอนเช้าหนาวจะตาย ตื่นเช้าแบบนี้ทุกวันคงขายได้เงินไม่น้อยจริง ๆ สินะ?”
เห็นท่าทางซุบซิบของพี่สะใภ้สี่ เย่ฉูฉู่จึงพยักหน้าตอบกลับไป “ขายได้เงินไม่น้อยอยู่แล้วค่ะ”
“ได้เท่าไรล่ะ?” พี่สะใภ้สี่รีบถาม
“แค่เตรียมขายถั่วงอกเพื่อเป็นครัวเรือนหมื่นหยวนน่ะค่ะ เหวินเทาก็เคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พี่สะใภ้สี่รู้สึกได้ในทันทีว่าตนเองถูกหลอก ใช้ชีวิตอยู่กับใครก็เป็นแบบคนนั้นจริง ๆ ก่อนหน้านี้น้องสะใภ้เล็กคนนี้แม้ว่าจะเจ้าอารมณ์แต่ก็เป็นคนจริงใจ ดูตอนนี้สิ พูดจาทีเล่นทีจริงออกมาได้เต็มปากเต็มคำ!
“พี่สะใภ้สี่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ” เย่ฉูฉู่ไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะพูดคุยไร้สาระกับอีกฝ่าย
“มีสิ” พี่สะใภ้สี่จ้าวรีบพูด “เรื่องเมื่อคืนเธอเองก็รู้แล้วใช่ไหม?”
“เมื่อคืนมีเรื่องอะไรคะ?” เย่ฉูฉู่ยังไม่รู้จริง ๆ เมื่อคืนเธอก็เหนื่อยมาก จึงหลับลึกโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว
พี่สะใภ้สี่จ้าวแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางของเย่ฉูฉู่ที่ดูไม่ได้เสแสร้งอะไร หรือว่าจะไม่รู้จริง ๆ?
ไม่มีทาง เสียงดังเอิกเกริกขนาดนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน? คงไม่รู้เรื่องที่น้องสามีเล็กบอกว่าจะเลี้ยงพ่อแม่ยามแก่สินะ หล่อนจึงซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องที่น้องสามีเล็กสัญญาว่าจะเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ให้ฟัง
“น้องสะใภ้หก ไม่ใช่ว่าพี่พูดอะไรไม่เข้าหูนะ แต่การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรื่องที่พอจะดีอยู่บ้างก็มีพวกอาหารการกิน ที่อย่างไรก็กินข้าวกันแค่ข้าวถ้วยเดียว เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ได้มากมายอะไร เสื้อหนึ่งตัวใส่ได้ตั้งหลายปี ถ้าจะให้กลัวก็กลัวเรื่องเจ็บป่วยนี่แหละ คนแก่ป่วยง่าย ป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าป่วยหนักขึ้นมา โอ๊ยเธอเอ๊ย นอนติดเตียงลุกไม่ขึ้น อย่าว่าแต่ต้องจ่ายเงินเลย แถมยังต้องดูแลปรนนิบัติอีก”
“ยายจางที่อยู่ถนนด้านหน้าเธอเองก็น่าจะรู้ อายุยังไม่ถึงเจ็ดสิบ ฤดูหนาวปีที่แล้วตอนหิมะตก ลื่นล้มหัวคะมำเพราะเม็ดแตง ผลลัพธ์ที่ได้คือเป็นอัมพาตเลย ถึงตอนนี้ก็ยังลุกไม่ขึ้น ป้าจางที่เป็นลูกสะใภ้อายุสี่สิบกว่าปี ผ่านไปแค่ปีเดียวก็ผมขาวทั้งหัวเลย ดูแลคนแก่ที่เจ็บไข้ได้ป่วยชนิดที่ไม่ต้องหลับต้องนอนเลยล่ะ!”
พี่สะใภ้สี่พูดฉอด ๆ ไม่หยุด ระหว่างที่พูดก็เสริมในใจ เธอกตัญญูนักไม่ใช่เหรอ? ทั้งยกน้ำล้างเท้าทั้งเอาของดี ๆ ไปให้พ่อกับแม่กิน แล้วอย่างไรล่ะ ใคร ๆ ก็ทำได้ รอให้นอนเป็นอัมพาตติดเตียงก่อนเถอะ ดูสิว่าเธอจะยังกตัญญูอีกหรือเปล่า!
หล่อนไม่อยากจะนึกเลย หากหล่อนไม่สามารถทำอะไรอย่างที่คนอื่นทำได้ ต่อไปนางจะคาดหวังอะไรจากหล่อนได้อีก?
เย่ฉูฉู่ฟังอย่างใจเย็น แม้ว่าคำพูดของพี่สะใภ้สี่จะใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไป แต่ความหมายโดยรวมก็ยังไม่เปลี่ยน นั่นก็คือพี่ชายและพี่สะใภ้ต่างก็สงสัยว่าพ่อกับแม่แอบเอาของดีให้พวกเขา และสามีของเธอก็เสนอว่าจะเลี้ยงดูพวกท่านยามแก่เฒ่าเพียงลำพัง
แต่เหล่าพี่ชายและพี่สะใภ้ไม่ยอม เหตุผลที่ไม่ยอมกลับกลายเป็นเพราะกังวลว่าจะได้ชื่อว่าเป็นลูกเนรคุณ ภายหลังสามีของเธอบอกว่าอย่างนั้นก็ให้พ่อแม่อยู่กับพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครเห็นด้วย ท้ายที่สุดก็จบลงแบบคาราคาซัง
เธอพอจะจินตนาการถึงฉากที่เกิดขึ้นตอนนั้นออก จึงรู้สึกรักสามีของตัวเองมาก ปากก็พูดไปว่า “พี่สะใภ้สี่ เหวินเทาบอกกับฉันแล้วว่าหลังจากสร้างบ้านจะรับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย ฉันเองก็ตอบตกลงแล้ว ต่อให้ถึงวันนั้นวันที่พ่อกับแม่แก่จนเดินไม่ไหว ฉันในฐานะลูกสะใภ้ ก็ควรดูแลปรนนิบัติพ่อกับแม่ พี่สะใภ้สี่ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วฉันไปก่อนนะคะ”
พี่สะใภ้สี่เบิกตากว้าง ที่หล่อนพูดไปครึ่งค่อนวันกลายเป็นสูญเปล่า? คนคนนี้คงไม่ใช่ว่าเป็นยัยโง่หรอกนะ? ยินดีที่จะปรนนิบัติคนแก่ ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่เชื่อหล่อนล่ะ!
แต่เมื่อย้อนคิดดู ไม่ว่าจะเป็นน้องสามีเล็กหรือเย่ฉูฉู่ ทั้งคู่ต่างก็พูดว่าจะสร้างบ้านแล้วมารับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่สร้างบ้านก็ไม่ต้องรับพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วยน่ะสิ?
จะสร้างบ้านเมื่อใด ใครจะไปรู้? น้องสามีเล็กก็เป็นแบบนั้น คุยโวโอ้อวดใช้เงินฟุ่มเฟือย ทั้งชีวิตนี้จะสร้างบ้านได้หรือเปล่าก็ไม่รู้แต่ก็ขอให้ได้คุยโวไว้ก่อน!
พี่สะใภ้สี่ที่คิดว่าตนเองได้ทราบความจริงแล้วถึงขั้นตบหน้าขาตัวเองดังฉาด ราวกับเห็นแสงสว่างส่องผ่านม่านเมฆ ความจริงกระจ่างโดยพลัน!
ที่แท้ก็เป็นแค่การคุยโวนี่เอง!
เย่ฉูฉู่มาหาคุณแม่จ้าวทางฝั่งนี้ เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ หลังจากนี้พวกเราคงได้เอาเปรียบพี่รองแล้ว”
คุณแม่จ้าวชะงัก นางรู้สึกไม่เข้าใจโดยพลัน “เอาเปรียบอะไรกัน?”
“ที่บ้านมีคนแก่หนึ่งคนก็เท่ากับมีสมบัติหนึ่งชิ้น แม่กับพ่อคือสมบัติสองชิ้น หลังจากนี้ฉันกับเหวินเทาต้องการดูแลพ่อกับแม่ นี่ก็เท่ากับว่าพวกเราเอาเปรียบแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่จ้าวเข้าใจได้ในทันที ไม่ว่าหลังจากนี้จะอยู่กับใครเพื่อให้เลี้ยงดูยามแก่ ทว่าเมื่อได้ยินลูกสะใภ้เล็กพูดแบบนี้ก็เกิดความอบอุ่นใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหวินเทาบอกเธอแล้วเหรอ?”
“เหวินเทาบอกกับฉันนานแล้วค่ะ รอให้สร้างบ้านเสร็จเมื่อไหร่ พวกเราจะให้พ่อกับแม่ไปอยู่ด้วยกัน” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่จ้าวได้รับการปลอบประโลมใจเป็นอย่างมาก ไม่เสียแรงที่รักลูกคนเล็กเลย ไหนจะภรรยาของลูกชายคนเล็กคนนี้อีก ต่างก็กตัญญูรู้คุณกันทั้งคู่
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวก็รู้ค่ะว่าบ้านหกโม้หรือเอาจริง รู้แต่ว่าตอนนั้นต้องมีคนหน้าแหกแบบหาเศษหน้าไม่เจอแน่ ๆ
ไหหม่า(海馬)