“ผ่านไปสักสิบวันครึ่งเดือนแกก็จะได้ชิมรสเค็มแล้ว ถ้าจืดไปก็เติมเกลือลงไปอีกหน่อยนะ” คุณแม่เย่ล้างมือพลางกล่าว
“ฉันทราบแล้วค่ะ แม่ เที่ยงนี้อยู่กินข้าวด้วยกันสิคะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปหยิบผักมาให้แม่เอากลับไปส่วนหนึ่งด้วย” เย่ฉูฉู่กล่าว
“ไม่ต้องหรอก ที่บ้านมีผักแล้ว พวกลูกเก็บไว้กินเถอะ” คุณแม่เย่ไม่ได้ต้องการผักของลูกสาว นางกล่าวว่า “ปีนี้แม่เองก็ตากผักแห้งไว้ไม่น้อย พอกินแล้วล่ะ จริงสิ ทางฝั่งแกมีเห็ดไหม?”
ช่วงฤดูหนาวของทุกปี คุณแม่เย่จะนำผักไปตากแห้ง มีทั้งมะเขือยาวแห้ง บวบเหลี่ยมแห้ง ฟักทองแห้ง ถั่วแขกแห้ง หัวไชเท้าแห้ง และพริกแห้งอะไรพวกนั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้โต๊ะอาหารในฤดูหนาวดูอุดมสมบูรณ์มากแล้ว
“ปีนี้พี่สะใภ้สามจะกลับมาไม่ใช่เหรอคะ? จะให้กินแต่ผักแห้งก็คงไม่ดี” เย่ฉูฉู่กล่าว
คุณแม่เย่ไม่ใส่ใจ “ไม่ดีอะไรกันล่ะ ในเมืองอยากกินยังไม่ได้กินเลย แต่แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้ากลับมาจริง ๆ ถึงเวลานั้นก็ค่อยให้พี่สามของแกไปซื้อผักสด ๆ มาให้หล่อนสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว”
นางไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้เอาเสียเลย ไม่มีความเหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่สามารถห้ามความชอบของลูกชายได้ ทั้งเขายังยืนกรานอย่างดื้อรั้นว่าต้องเป็นหล่อน คนเป็นแม่อย่างนางจะพูดอะไรได้? จึงทำได้เพียงแค่กลั้นใจยอมรับไป
แม้บอกว่าจะกลับมาในปีนี้ แต่คุณแม่เย่ก็มองว่าน่าห่วงอยู่ดี ภรรยาเป็นปัญญาชนมีการศึกษา หน้าตาก็ดี สอบติดไปอยู่ในเมืองแล้ว จะกลับมายังสถานที่เล็ก ๆ แบบนี้จริง ๆ เหรอ?
“แม่สามีของแกล่ะ ตอนที่แม่มาเห็นยังลงกลอนห้องอยู่เลย” คุณแม่เย่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“คงออกไปช่วยใครสักคนทำผักดองแล้วล่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว
“แกเองก็รีบเอาผักมาดองเถอะ ผ่านไปอีกไม่กี่วันอากาศก็เปลี่ยนแล้ว เดี๋ยวล้างผักแล้วจะหนาวมือนะ” คุณแม่เย่กล่าว
“เข้าใจแล้วค่ะ พรุ่งนี้ฉันก็จะเอาผักมาดองแล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
บทสนทนาของพวกเธอทั้งสองล้วนเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้ชีวิตทั้งหมด ซึ่งหลัก ๆ คุณแม่เย่จะเป็นคนพูด นางบอกให้ลูกสาวและลูกเขยเก็บออมเงิน จากนั้นก็ออกไปสร้างบ้านอยู่อาศัยกันเอง หากขาดเหลือนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ให้ไปเอาที่บ้าน หยิบยืมมาใช้ก่อนได้
หลังจากลูกสาวและลูกเขยสร้างบ้านขึ้นมาแล้ว ชีวิตต่อจากนี้ก็จะสะดวกสบายขึ้นเยอะ จำเป็นต้องมาเบียดเสียดใช้ของร่วมกับทุกคนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?
เย่ฉูฉู่ฟังคำที่แม่ของเธอกล่าว
คุณแม่เย่อยู่ไม่นานก็กลับบ้านไป ภายในบ้านยังมีเรื่องใหญ่ต้องทำอีก โดยเฉพาะนางที่ยังมีไก่อีกมากมาย
ตอนนี้แต่ละบ้านก็มีเรื่องวุ่น ๆ ให้ต้องตระเตรียมเพื่อผ่านช่วงฤดูหนาว ตระกูลเย่ที่อยู่ทางฝั่งนี้ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากขนาดนี้ ถ้าไม่เตรียมตัวสักหน่อยก็คงไม่ได้
เมื่อมาถึงบ้าน ก็พบคุณพ่อเย่กำลังกลับมาจากทีมพอดี
“ไปหาฉูฉู่มาเหรอ?” คุณพ่อเย่เห็นคุณแม่เย่หิ้วตะกร้าเดินกลับมาจากด้านนอก จึงเอ่ยถาม
“ฉันเอาไข่เป็ดไปให้ลูกดองนิดหน่อยน่ะ” คุณแม่เย่พยักหน้า
คุณพ่อเย่กล่าว “แล้วไม่ได้เอาไข่ไก่ไปสักหน่อยเหรอ?” ถึงทัศนคติที่เขามีต่อลูกเขยจะค่อนข้างต่ำ แต่เขาก็รักลูกสาว
“เอาไข่เป็ดไปให้นิดหน่อยก็พอแล้ว มีเหวินเทาอยู่ทั้งคน ลูกสาวของคุณจะหิวได้ยังไงกัน?” คุณแม่เย่ยิ้มพลางกลอกตาใส่เขา
คุณพ่อเย่หัวเราะเหอะ ๆ “ผมล่ะเป็นห่วงลูกจริง ๆ ที่ต้องไปอดอยากปากแห้งกับหมอนั่น”
คุณแม่เย่กล่าว “คุณดูถูกลูกเขยของคุณขนาดนี้เลยเหรอ? เหวินเทาซื้อผักฤดูใบไม้ร่วงมาจากในเมืองหนึ่งคันรถ เอามาเสบียงให้ฉูฉู่กินช่วงฤดูหนาว เป็นผักที่มาจากหมู่บ้านไท่ผิงทั้งหมดเลย ผักกาดขาวนั่นใหญ่ขนาดนี้เลยนะ แถมหัวหอมก็หนาเท่านี้เลย” คุณแม่เย่ทำท่าทางให้เขาดู
คุณพ่อเย่เดินเข้าประตูบ้าน “หายากตรงไหนกัน”
คุณแม่เย่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มันก็ไม่ได้หายากหรอก แต่เหวินเทายอมซื้อกลับมาให้ลูกสาวเราได้กิน ยังไงก็ดีกว่าพวกตระหนี่ถี่เหนียวเหล่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
คุณพ่อเย่ไม่ได้แย้งอะไรกับคำพูดนี้ เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตาและดึงตะกร้ายาสูบออกมา ม้วนยาสูบพลางกล่าวว่า “เมื่อกี้ผมเพิ่งกลับมาจากในทีม ได้ไปคุยกับหัวหน้าทีมใหญ่มา บอกว่าปีหน้าคงแบ่งทุ่งนาจริง ๆ แล้วล่ะ”
คุณแม่เย่รีบนั่งลงข้าง ๆ ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ก่อนจะกระซิบ “แบ่งยังไงเหรอ?”
คุณพ่อเย่เผยรอยยิ้มบนใบหน้า “แบ่งตามจำนวนสมาชิก”
คุณแม่เย่ดวงตาเป็นประกาย แบ่งตามจำนวนสมาชิก ถ้าเช่นนั้นก็ต้องรู้สึกดีอยู่แล้ว สมาชิกบ้านนางมีจำนวนไม่น้อย ถึงอย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ
“แล้วสมาชิกหนึ่งคนได้ส่วนแบ่งเท่าไรล่ะ? จริงสิ แล้วลูกสะใภ้สามของเราจะแบ่งยังไง ก็ต้องให้ใช่ไหม?” คุณแม่เย่กล่าว
“หนึ่งคนได้ที่ดิน 7-8 หมู่มั้ง ส่วนลูกสะใภ้สาม…” คุณพ่อเย่ขมวดคิ้ว “ผมเองก็ถามเรื่องนี้แล้ว แต่ได้ยินว่าถ้าสอบออกไปแล้วชื่อในทะเบียนบ้านก็จะย้ายไปด้วย ทะเบียนบ้านไม่ได้อยู่ที่นี่จะแบ่งยังไงล่ะ เพียงแต่เขาเองก็ยังไม่ได้พูดยืนยันแน่นอน ถึงยังไงการแบ่งที่ดินก็ยากที่จะเป็นไปได้อยู่ดี”
คุณแม่เย่กล่าว “แต่จะให้เจ้าสามเสียเปรียบไม่ได้นะ ในบ้านมีเหล้าที่ยังไม่ได้เปิดอีกขวด พรุ่งนี้คุณเอาไปด้วยล่ะ”
“คุณไม่ต้องรีบร้อนยัดของหรอก” คุณพ่อเย่กล่าว “สถานการณ์ของภรรยาเจ้าสามแตกต่างจากคนอื่น ถึงเวลาค่อยดูกันอีกทีเถอะ ผมคิดว่าเบื้องบนคงคิดครอบคลุมกว่าพวกเราแน่นอน อีกอย่างภรรยาของเจ้าสามจะกลับมาเหรอ?”
ไม่เพียงแต่คุณแม่เย่ แม้แต่คุณพ่อเย่ก็บ่นพึมพำ
คุณแม่เย่กล่าว “คุณก็คิดซะว่าหล่อนจะกลับมาสิ แล้วแบ่งกันตอนนี้ หลังจากนี้จะแบ่งหรือเปล่า?”
“บอกว่าแบ่งปีละครั้ง อันนี้ก็ยังไม่แน่นอน” คุณพ่อเย่กล่าว
“แบ่งปีละครั้ง แบบนั้นจะวุ่นวายขนาดไหนเนี่ย?” คุณแม่เย่พูดอย่างไม่ถูกใจ
“นั่นน่ะสิ คุณคิดว่าก่อนปลูกในแต่ละปีจะแบ่งที่ดินอีกเหรอ?” คุณพ่อเย่ส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่วิธีการระยะยาวเลย”
“ได้ยินมาว่ามีบางที่ก็แบ่งที่ดินไปแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเขาแบ่งกันยังไงล่ะ?” คุณแม่เย่ถาม
“ดูเหมือนว่าจะแบ่งตามจำนวนคนในตอนนี้ แบ่งเสร็จก็วาดแบ่งที่ดินทำกินอีกส่วนหนึ่ง บ้านไหนมีลูกแล้ว ก็ต้องแบ่งในส่วนของที่ดินทำกินให้กับบ้านพวกเขาด้วย” คุณพ่อเย่อธิบายสิ่งเหล่านี้
“แบบนี้ก็ไม่เลวนะ ถ้างั้นพวกเราทำแบบนั้นก็ได้แล้วสิ” คุณแม่เย่กล่าว
“เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับคุณหรอกนะ” คุณพ่อเย่สูบยาสูบพลางกล่าว
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุย สามพี่น้องตระกูลเย่ก็เดินทางกลับมาจากการไปแบกฟืนบนเขา
ในยุคนี้ไม่เพียงแค่อาหารการกินที่มีอย่างจำกัด ของที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงก็จำกัดเช่นกัน การพึ่งพาเศษวัสดุเหลือใช้ในเรือกสวนไร่นาที่เป็นส่วนแบ่งจากทีมเพียงน้อยนิดไม่เพียงพอให้เผาหรอก ฤดูหนาวจำเป็นต้องได้รับความอบอุ่น ต้องใช้ฟืนปริมาณมากขึ้น ดังนั้นในแต่ละปีก็จะเริ่มขึ้นไปเก็บฟืนบนเขาในตอนนี้ หลังยุ่งกับการทำนาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาได้หยุดพัก
บ้านอื่นใช้ชีวิตอย่างไร ภายในยุ้งฉางมีข้าวหรือไม่ก็ไม่อาจเห็นได้ แต่สามารถมองเห็นกองฟืนภายในลานบ้านได้ หากกองฟืนใหญ่มากพอ ถ้าเช่นนั้นก็อธิบายได้แล้วว่าบ้านหลังนั้นย่อมใช้ชีวิตได้อย่างไม่เลวเลย
คราด รถคันเล็ก และลาที่สามพี่น้องลากมาเป็นของในทีมทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่ยืมมาใช้งาน ตอนนี้เป็นการขนส่งฟืนรอบที่สามแล้ว
ทั้งสามคนเริ่มนำฟืนที่อยู่บนรถลงมากองไว้บนกองฟืน
“พวกแกเอารถกับลาไปส่งเสร็จก็ไม่ต้องไปแล้ว นี่ก็สายขนาดนี้แล้วด้วย”คุณแม่เย่บอก
เย่หมิงตงรีบกล่าว “แม่ พวกเราไปอีกรอบแล้วค่อยเอาไปคืนก็ยังทัน ตรงนั้นยังมีฟืนอีกเยอะเลย ไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะยืมไม่ได้แล้วด้วยนะครับ”
เย่หมิงหนานรีบกล่าว “นั่นสิครับ รอพรุ่งนี้ก็คงมีคนแบกไปแล้ว แม่ แม่ดูฟืนพวกนี้สิว่าดีขนาดไหน เป็นกิ่งไม้หญ้าแห้งทั้งนั้นเลย”
เย่หมิงเป่ยอยากนำฟืนกลับมาที่บ้านเยอะ ๆ จนทนไม่ไหวแล้ว “แม่ ไม่เป็นไรหรอกครับ ใช้ประโยชน์จากอากาศดี ๆ แบกกลับมาเยอะ ๆ หน่อย หมินหมิ่นกลัวความหนาวที่สุดเลย”
ประโยคแรกก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แต่เมื่อได้ยินประโยคหลังสุดของเย่หมิงเป่ย คุณแม่เย่พลันบุ้ยปาก เจ้าลูกโง่คนนี้ใจลอยไปหมดแล้ว ถ้าสอบติดไปแล้วแต่ยังกลับมาจริง ๆ นางเองก็คงจะรักลูกสะใภ้คนนี้เหมือนลูกสาว
“งั้นพวกแกก็รีบกลับไปเร็ว ๆ เลย” คุณแม่เย่ไม่สนใจแล้ว
“เข้าใจแล้วแม่”
ลูกชายทั้งสามคนช่วยกันขนฟืนคนละไม้คนละมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกไปพร้อมกับรถ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทางบ้านเย่ก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เข้าใจเลยว่าบ้านชนบทสมัยนั้นไม่มีฮีตเตอร์แล้วมันลำบากขนาดไหน ถ้าเตรียมฟืนไว้ไม่พอเผาในหน้าหนาวก็เตรียมแข็งตาย
ขอให้พี่สามเย่ได้เจอกับภรรยานะคะ
ไหหม่า(海馬)