ตอนที่ 65 ปลูกผักในโรงเรือนไม่ใช่เรื่องง่าย
คนขับหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหล่าชวีโถว ผมพาน้องชายมากินข้าวมื้อหนึ่งลุงยังจะไปฟ้องอีก ทีลุงดื่มเหล้าเกาเหลียง[1]ของผมไปตั้งหลายขวดผมยังไม่ว่าอะไรเลยนะ?”
เหล่าชวีโถวถึงกับเงียบสนิท
จ้าวเหวินเทายิ้ม
แม้จะบอกว่ามีของร้อน ๆ ให้รับประทาน แต่ฝีมือการทำอาหารของเหล่าชวีโถวก็แสนจะธรรมดา จ้าวเหวินเทาที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากภรรยาก็รู้สึกว่ามันแค่ทำให้ท้องอิ่มเท่านั้น
อาหารล้วนเป็นจานหลัก มีผักกาดขาววุ้นเส้นหมูตุ๋น ไข่ตุ๋นผักโขม ตับหมูผัดพริก และผักฉีกมืออีกหนึ่งจาน ซึ่งก็คือการใช้มือฉีกผักกาดขาว ต้นหอม ผักชี และผักกาดหอม ราดด้วยเต้าเจี้ยว กินแล้วให้ความรู้สึกสดใหม่
สุดท้ายแล้วทีมใหญ่ในหมู่บ้านที่ปลูกผัก ก็สามารถกินผักใบเขียวได้
ข้าวเป็นข้าวฟ่างหุงสุก แต่ไม่มีเหล้า เพราะหลังจากรับประทานเสร็จ คนขับรถหลิวต้องไปพลิกหน้าดิน จึงไม่สามารถดื่มได้ กลับมาช่วงค่ำถึงจะดื่มหนึ่งจอก
แม้รสชาติอาหารจะไม่ถูกปาก แต่จ้าวเหวินเทาก็รับประทานจนท้องกลมดิก หลังกินเสร็จก็ยังดื่มชารสเข้มอีกสองแก้ว ก่อนจะบอกลาคนขับหลิวเพื่อเข้ามาศึกษานอกสถานที่ตรงด้านในหมู่บ้านไท่ผิง
เขาสามารถมองเห็นความมั่งคั่งของหมู่บ้านไท่ผิงจากอาคารบ้านเรือน แม้ว่าจะไม่ใช่บ้านอิฐ แต่ก็เป็นการสร้างบ้านผสมผสานระหว่างอิฐและดิน โดยใช้อิฐเป็นโครงสร้าง ส่วนอื่นทำจากดิน อีกอย่างด้านบนหลังคาบ้านหลายหลังก็ปูด้วยกระเบื้องแดง ดูทันสมัยเป็นอย่างมาก
นอกจากสิ่งเหล่านี้ ลานบ้านแต่ละบ้านก็ใหญ่โตมาก ด้านหน้าและด้านหลังเป็นโรงเรือนคลุมแผ่นพลาสติกทั้งหมด ด้านหน้าปลูกผัก ด้านหลังเลี้ยงไก่ เป็ดและสุกร ชายหญิงต่างก็เดินเข้า ๆ ออก ๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ให้ความรู้สึกถึงการใช้ชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงแล้ว จ้าวเหวินเทาเห็นผู้หญิงอายุสามสิบสี่สิบปีคนหนึ่งกำลังปีนบันไดออกแรงดึงแผ่นพลาสติกที่อยู่บนโรงเรือน เขาจึงขันอาสา “พี่สาว เดี๋ยวผมช่วยนะครับ!”
หญิงคนนั้นหันมามองจ้าวเหวินเทาที่ออกจากประตูใหญ่ ซึ่งจ้าวเหวินเทามีหน้าตาดี ผิวพรรณขาวผ่องหล่อเหลา จมูกสูงโด่ง เห็นใครก็ยิ้มให้อย่างดูเป็นกันเอง
ประกอบกับการตะโกนเรียกหล่อนว่าพี่สาวยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกเป็นวัยรุ่น ผู้หญิงน่ะ ไม่ว่าจะอายุมากขนาดไหนก็อยากอ่อนเยาว์กันทั้งนั้น หล่อนจึงคลี่ยิ้มในทันที “เอาสิ น้องชาย ขอบใจนะ เธอขึ้นบันไดฝั่งนั้น ดึงพลาสติกไปทางนั้นหน่อย”
“ขอบใจอะไรกันครับ เรื่องเล็กน้อย!” จ้าวเหวินเทามีท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว เขาขึ้นบันไดทางฝั่งนั้น ก่อนจะดึงพลาสติกไป หลังจากดึงจนเรียบตึงแล้ว ภายใต้การสั่งการของหญิงสาว พลาสติกก็ถูกคลุมเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
“น้องชาย มา เข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าในบ้านก่อน” หญิงคนนั้นชวนด้วยรอยยิ้ม
จ้าวเหวินเทายิ้มตอบ “พี่สาว ผมไม่ขอเข้าไปดีกว่าครับ ผมอยากดูโรงเรือนนี้ของพวกพี่สักหน่อย ได้หรือเปล่าครับ?”
หญิงสาวยิ้มแย้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เธอคงเป็นคนนอกหมู่บ้านสินะ มาที่นี่เพราะอยากจะปลูกผักในโรงเรือนเป็นของตัวเองเหรอ?” ระหว่างที่พูดหล่อนก็นำจ้าวเหวินเทาเดินเข้าไปด้านในประตูโรงเรือนที่มีม่านผ้าฝ้ายแขวนอยู่
“พี่สาวดูออกได้ไงครับเนี่ย?” จ้าวเหวินเทาเดินตามหล่อนเข้าไปขณะพูดด้วยรอยยิ้ม
“คนที่อยากดูโรงเรือนก็มีแค่คนนอกหมู่บ้านทั้งนั้นแหละ คนในหมู่บ้านต่างก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นของหายากอะไร” หญิงสาวพูด อีกอย่างจ้าวเหวินเทาก็ไม่ใช่คนแรกที่มา
จ้าวเหวินเทาเข้ามาด้านในโรงเรือนก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าว แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ สายตาจ้องมองไปยังผักใบเขียวที่อยู่ตรงหน้า มีกุยช่าย ผักกาดขาว ผักกาดหอม ต้นหอม ต้นกระเทียมและอื่น ๆ มากมายเต็มไปหมด
เมื่อครู่ตอนที่คลุมโรงเรือน เขาก็กวาดมองอยู่ปราดหนึ่ง แต่เป็นเพราะต้องทำงานด้วยจึงไม่ได้มองอย่างละเอียด คราวนี้ได้มองใกล้ ๆ ทำให้เขารู้สึกถึงความสดใหม่ ด้านนอกนอกจากต้นสนแล้วก็ไม่เห็นสิ่งที่เป็นสีเขียวขจีเลย
“นี่เป็นของที่เก็บไว้กินเอง ส่วนทางฝั่งนั้นเอาไว้ขาย” พี่สาวคนนี้เรียกเขาให้เดินเข้าไปด้านใน
จ้าวเหวินเทาเดินตามเข้าไปด้านใน ผักที่ใช้ขายมีอยู่สองชนิด คือมะเขือยาวและมะเขือเทศ
“ผักใบเขียวพวกนี้เป็นคนละชนิดกัน การผสมเกสรก็ไม่เหมือนกัน สองประเภทนี้มีระยะเวลาเจริญเติบโตไล่เลี่ยกัน ก็เลยปลูกด้วยกัน ดูแลได้ง่าย ของที่ตัวเองกินจะงอกงามออกมาได้ดีหรือเปล่าก็ด้วยวิธีนั้นแหละ” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผสมเกสร?
จ้าวเหวินเทาครุ่นคิดดูก็เข้าใจขึ้นมา ฤดูหนาวไม่มีผึ้งและไม่มีผีเสื้อ จึงจำเป็นต้องใช้คนเพื่อผสมเกสร
หญิงสาวคนนี้เป็นคนกระตือรือร้น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือต้องการมองจ้าวเหวินเทาอย่างเจริญหูเจริญตา จึงพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญของการปลูกผักในโรงเรือน อย่างเช่นพวกการเก็บความร้อน แสงสว่าง การควบคุมอุณหภูมิ การใส่ปุ๋ย การกำจัดศัตรูพืชอะไรทำนองนั้น
จ้าวเหวินเทาได้ยินก็แอบเดาะลิ้นในใจ คิดไม่ถึงเลยว่าการปลูกผักในโรงเรือนจะซับซ้อนแบบนี้
“ทุกๆ วันต้องดึงฟางกับม่านที่คลุมออกเพื่อให้โดนแดด ช่วงบ่ายเวลานี้ก็จะคลุมอีกครั้ง บางครั้งก็คลุมตอนค่ำ” หญิงสาวมองท่าทางของจ้าวเฉิน จึงแย้มยิ้มออกมา “รู้สึกว่ามันยุ่งยากมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ยุ่งยากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ”
“ตอนที่ไม่ได้ปลูกพืชในโรงเรือนก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่พอปลูกขึ้นมาถึงได้รู้นี่ล่ะว่าการปลูกพืชแบบนี้เปลืองสมองกว่าปลูกในแปลงเยอะเลย ตอนนี้ยังดีหน่อยที่อากาศยังไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่รอจนถึงวันนับเก้า [2] ช่วงกลางดึกก็ต้องลุกขึ้นมาเติมถ่านหินในเตาอีกหลายครั้ง ถ้าเจอกับหิมะตกหนักก็ต้องขึ้นไปกวาดหิมะ ไม่งั้นมันจะกดทับหลังคาจนถล่มลงมา เมื่อปีที่แล้วมีหิมะตกหนัก ทำให้โรงเรือนภายในหมู่บ้านเราถล่มลงมาหลายหลัง อย่าว่าแต่ได้เงินเลย ยังต้องเสียเงินอีกไม่น้อย” หญิงสาวกล่าว
จ้าวเหวินเทารีบหันมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าโครงสร้างของโรงเรือนเป็นไม้ค้ำยันทั้งหมด “ทำไมถึงไม่ใช้ของที่มันแข็งแรงกว่านี้หน่อยล่ะครับ?”
หญิงสาวกล่าว “พวกเราเองก็อยากอยู่หรอก แต่ถ้าใช้เหล็กมันจะขึ้นสนิม การเชื่อมก็ยุ่งยาก แถมยังมีค่าใช้จ่ายสูงอีก”
“ ราคาผักใบเขียวในฤดูหนาวสูงมากเลยนะ ไม่นานก็คืนทุนได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาถาม
“น้องชาย เธอนี่คิดตื้นจริง ๆ” ครั้นหญิงสาวได้ยิน หล่อนก็เข้าใจได้ว่าเขาไม่มีประสบการณ์อะไรเลย จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฤดูหนาวผักใบเขียวมีราคาสูงก็จริง แต่ก็ต้องมีคนซื้อด้วย ก็มีแค่ช่วงปีใหม่ไม่กี่วันนั่นแหละ ส่วนเวลาอื่นขายได้แทบจะนับนิ้วได้เลย อีกอย่างนะ ปริมาณถ่านหินที่ใช้เผาให้ความร้อนในฤดูหนาวก็ไม่ใช่น้อย ๆ ผักในโรงเรือนจะทำเงินได้สักเท่าไหร่กันเชียว? ลองคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ไม่คุ้มทุนเอาเสียเลย”
จ้าวเหวินทางสังเกตเห็นเตาที่อยู่ด้านข้างซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ความร้อนในโรงเรือนนี้ขึ้นอยู่กับการทำความร้อนจากการเผาไหม้ถ่านหินทั้งหมด ซึ่งการเผาไม้ไม่สามารถทำให้อุณหภูมิร้อนถึงระดับนั้นได้
จ้าวเหวินเทาส่ายหน้ารัว ๆ “นี่เท่ากับว่าเป็นการเผาเงินทิ้งสินะครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฤดูหนาวได้เงินมาแค่ไม่เท่าไร ถึงฤดูร้อนแล้วแต่ละบ้านก็ปลูกผักกัน จะมีสักกี่คนที่จะซื้อผัก?” หญิงสาวกล่าว
จ้าวเหวินเทายิ้ม “พี่สาว แต่พวกพี่ยังมีผักฤดูใบไม้ร่วงนี่ ละแวกเพื่อนบ้านนี้ต่างก็รู้ดีว่าผักของหมู่บ้านไท่ผิงของพวกพี่เป็นของดี”
“ผักฤดูใบไม้ร่วงนั่นเราปลูกในแปลง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ผักฤดูใบไม้ร่วงราคาถูก ถ้าไม่ใช่เพราะโรงงานหน่วยงานเหล่านั้นต้องการ ก็คงขายได้ไม่เท่าไหร่เหมือนกัน” หญิงสาวเองก็ไม่ปฏิเสธ
นี่ก็จริง ตอนนี้ประชาชนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงกันทั้งนั้น ไม่ไปซื้อของ และไม่ขายของเช่นกัน
เมื่อสนทนากันครู่หนึ่ง จ้าวเหวินเทาก็ไปบ้านถัดไป เขาเป็นคนปากหวาน การเจรจาของเขาทำให้คนชื่นชอบ อีกอย่างสิ่งที่เขาถามก็ไม่ใช่ความลับอะไร เดินไปเดินมาอยู่สองสามบ้านโดยพื้นฐานก็ได้ทราบในสิ่งที่เขาอยากรู้แล้ว
ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว เขาจึงกลับไปที่ทีมใหญ่ เขาได้บอกกับคนขับรถหลิวว่าจะค้างที่นี่หนึ่งคืน ค่อยหารถกลับในวันพรุ่งนี้
ตอนค่ำเหล่าชวีโถวทำข้าวฟ่างนึ่งและแป้งจี่ข้าวโพด ทั้งยังต้มโจ๊กข้าวฟ่างอีกหนึ่งหม้อ กับข้าวที่เหลือในตอนเที่ยงก็นำมาผัดรวมเข้าด้วยกันให้ร้อนสักหน่อย จากนั้นหั่นเนื้อหมูสุกที่มีเนื้อแดงติดมันหนึ่งจาน ราดด้วยซีอิ๊วกระเทียม ก่อนจะหยิบเหล้าขาวที่แบ่งขวดขายขึ้นมา ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าขณะดื่มด้วยกัน
“เป็นไง ไปดูมาแล้วใช่ไหม?” คนขับหลิวกินเนื้อหมูสุกเข้าไปหนึ่งชิ้นก่อนจะเอ่ยถาม
เหล่าชวีโถวแค่นเสียงเหอะออกมาสองเสียง “จะเป็นไงได้ล่ะ ไม่ไหวอยู่แล้ว ปลูกผักในโรงเรือนไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ปลูกได้ เจ้าหนูนี่แค่เห็นก็ไม่รอดแล้ว”
จ้าวเหวินเทากำลังมีความสุข “ลุง ทำไมลุงถึงมองว่าผมทำไม่รอดล่ะ?”
…………………………………………………………………………
[1] เหล้าเกาเหลียง สุราหรือข้าวฟ่างสุราเป็นกลั่นที่แข็งแกร่งสุราของจีนที่ทำจากการหมักข้าวฟ่าง
[2] วันนับเก้า เป็นวันที่ชาวจีนจะนำภาพวาดหรือตัวอักษรมาเติมแต้มหรือเขียนทีละขีด อาจจะเป็นภาพดอกเหมยจำนวนเก้าดอก ดอกละเก้ากลีบหรือตัวอักษรเก้าตัว แต่ละตัวประกอบด้วยเก้าขีด 9×9 = 81 จะตรงกับจำนวนวันในช่วงที่ถือว่าเริ่มหนาวไปจนถึงหายหนาวพอดี รวมทั้งสิ้น 81 วัน โดยใช้หนึ่งแต้มหรือหนึ่งขีดแทนหนึ่งวัน เมื่อครบ 81 วันภาพดังกล่าวจะถูกแต้มสีหรือเขียนเป็นคำครบพอดี กิจกรรมนี้เป็นการใช้เวลาว่างในยามที่อากาศหนาวเพื่อเป็นการเตือนให้รักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รอวันที่อากาศหนาวสิ้นสุดลง
สารจากผู้แปล
สู้ๆ นะเหวินเทา ค่อย ๆ หาวิธีปลูกผักที่ได้ต้นทุนต่ำขายราคาสูงกันต่อไป การเริ่มต้นจะทำอะไรสักอย่างก็ต้องลำบากหน่อยในช่วงแรกล่ะ
ส่วนหน้าตาโรงเรือนปลูกผักที่เหวินเทาไปดูงานมาก็น่าจะประมาณนี้นะคะ เผื่อผู้อ่านท่านไหนนึกภาพไม่ออก
ไหหม่า(海馬)