คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมูมันจำเป็นต้องสนใจด้วยเหรอว่าจะกินอะไร? หมูเป็นสัตว์ที่กินทุกอย่างนั่นแหละ เป็นเพราะตอนนี้มันยังเล็ก พอโตขึ้นก็กินได้ทุกอย่างแล้ว ทั้งรำข้าว จานดอกทานตะวัน กากถั่วเหลือง แป้งข้าวโพดอะไรพวกนี้ แต่แป้งข้าวโพดให้ไม่ได้ คนยังต้องกิน ถ้าเธอมีวิธีเอารำข้าวกับจานดอกทานตะวันมาได้ แบบนี้ก็ง่ายขึ้นหน่อย แต่จานดอกทานตะวันต้องมีการแปรรูปอีกหน่อยด้วยนะ”
“แล้วพวกกากเหล้าล่ะ ผมได้ยินว่าใช้ของพวกนั้นมาเป็นอาหารหมูก็ไม่เลวเลยนะครับ?” จ้าวเหวินเทาถาม
“ของแบบนั้นมันสำหรับหมูที่โตแล้ว หมูตัวเล็กยังกินไม่ได้ และป้อนแบบตรง ๆ ไม่ได้ด้วยนะ ต้องค่อย ๆ วางถึงจะให้กินได้ แม่เองก็ยังไม่เคยลองป้อน ก็เลยไม่รู้เหมือนกัน เจ้าสิ่งนี้จะให้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” คุณแม่เย่กล่าว นางเองก็มีช่องทางมากมาย
จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะลองไปถามคนอื่นให้นะ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น คุณพ่อเย่ ครอบครัวพี่ใหญ่เย่และพี่รองเย่ก็กลับมา
“คุณย่า พวกเรากลับมาแล้ว!” หลาน ๆ ทั้งเก้าคนของตระกูลเย่พากันวิ่งเข้ามา ลานบ้านจึงคึกคักขึ้นมาทันที
“เรียกแต่คุณย่า แล้วอาล่ะ?” จ้าวเหวินเทาจงใจทำเป็นพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “รู้หรือเปล่าเนี่ยว่าอาเป็นใคร?”
เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักพลางกล่าวว่า “อาเขยเล็ก!”
“ต้องอย่างนี้สิ อาเล็กของพวกเธอก็มาด้วยนะ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อาเล็กมาแล้ว!
“อาเล็กเอาของกินอร่อย ๆ มาแล้ว!”
เด็ก ๆ วิ่งเข้าห้องหลักอีกห้องราวกับสายลม
“พวกเธออย่าไปรบกวนอาเล็กนะ!” พี่สะใภ้ใหญ่เย่รีบกล่าวไล่หลัง
รบกวนอาเล็กน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่ไปรบกวนกับอาสะใภ้สามคงไม่ดีแน่ ถ้าไปรบกวนจนทำให้อีกฝ่ายรำคาญ อาสามจะไม่โกรธเหรอ?
แต่อย่าพูดเลย ในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่เย่หรือสะใภ้รองเย่ พวกหล่อนต่างก็คาดไม่ถึงว่าโจวหมิ่นสะใภ้หงส์ทองที่บินออกไปแล้วจะกลับมาจริง ๆ
“นึกว่าพวกเธอจะกลับมาตอนบ่ายซะอีก” คุณแม่เย่กล่าว
พี่สะใภ้รองเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “กินเนื้อหมูเสร็จแล้วจะอยู่ทำไมล่ะคะ พวกเราก็เลยกลับมา บังเอิญเจอกับคุณพ่อในหมู่บ้านพอดี เหวินเทามาแล้วเหรอ ระหว่างทางที่มาหนาวไหม?”
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอได้อยู่นะครับ อยู่ใกล้แค่นี้เอง ขี่จักรยานมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว พี่สะใภ้รองพวกพี่กลับมากันยังไงครับเนี่ย?”
“ครึ่งทางแรกติดรถในทีมมา ครึ่งทางหลังเดินกันมาเอง” พี่สะใภ้รองเย่กล่าว
ในขณะนั้นเองเสียงเด็ก ๆ ที่พูดคุยกันสนุกสนานก็ดังออกมาจากในห้อง “อาสะใภ้สามให้ลูกอมมากินด้วย!”
เย่หมิงเป่ยรีบเข้ามาดูในห้อง เพราะกลัวว่าภรรยาจะถูกเด็ก ๆ สร้างปัญหาให้
“กลับมาพอดีเลย ไปห่อเกี๊ยวกัน” คุณแม่เย่เองก็ไม่ได้สนใจลูกชายคนที่สามที่เป็นกระต่ายตื่นตูมของนาง แต่เดินเข้าไปในห้อง
พี่สะใภ้รองเย่หัวเราะด้วยความยินดี “คุณแม่ จะห่อไส้อะไรคะ? เดี๋ยวฉันช่วย”
ครอบครัวของหล่อนเทียบไม่ติดกับบ้านแม่สามีเลย หนึ่งปีถึงจะกลับไปรับประทานเนื้อหมูได้หนึ่งครั้ง ทั้งยังได้ส่วนแบ่งจากทีมมาแค่นิดเดียว พวกเขาก็แค่อ้างว่าจะกลับไปกินเนื้อหมู เพื่อนำของติดไม้ติดมือกลับไปให้บ้านแม่ตัวเอง ให้ความช่วยเหลือสักหน่อย
เพราะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณแม่เย่จึงปล่อยให้พวกหล่อนไป
ในเวลานี้ทุกครอบครัวต่างก็ยากจน ตระกูลเย่ในตอนนี้ก็นับว่าไม่เลวเลยจริง ๆ ดังนั้นลูกสะใภ้ทั้งสองกลับไปที่บ้านแม่ตัวเองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ไม่เกินเที่ยงก็กลับมากันแล้ว ชีวิตที่บ้านภรรยาไม่ได้ดีเท่าบ้านสามี
“ห่อไส้หัวไชเท้ากับไส้ผักกาด เธอเอาเนื้อไปละลายหน่อย” คุณแม่เย่กล่าว
พี่สะใภ้รองเย่ได้ยินว่าใช้เนื้อก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ในใจกล่าวว่าวันนี้เป็นวันที่ดีจริง ๆ สามารถเพิ่มไขมันในร่างกายได้ หล่อนจึงรีบไปจัดการโดยเร็ว
เมื่อเข้าไปในห้อง พวกเด็ก ๆ กำลังพูดคุยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
พี่ใหญ่เย่และพี่รองเย่จึงตะโกน “ไป กลับไปอุ่นเตียงที่ห้อง!”
เด็ก ๆ ทั้งเก้าคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวขณะวิ่งกลับไปห้องทางฝั่งตะวันตก
พี่สะใภ้ใหญ่เย่ถอนหายใจยาว กล่าวขอโทษขอโพยโจวหมิ่น “เด็กพวกนี้ แต่ละคนต่างเหมือนโจรไม่มีผิด มาก่อความวุ่นวายให้คนอื่นปวดหัวไปหมด น้องสะใภ้สาม เธอไม่ต้องเกรงใจพวกเขานะ ถ้าใครมารบกวนก็ด่าได้เลย เด็กพวกนี้ต้องโดนจัดการสักทีถึงจะสำนึก”
โจวหมิ่นหัวเราะ “ดูพี่สะใภ้ใหญ่พูดเข้าสิคะ เด็ก ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดนั่นแหละ”
พี่สะใภ้ใหญ่เย่รู้สึกว่าน้องสะใภ้โจวหมิ่นคนนี้นิสัยดีกว่าก่อนหน้านี้มาก ก่อนหน้านี้เอาแต่ทำสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จากับใคร ตอนนี้ดูร่าเริงกว่าก่อนหน้านี้มาก
หรือเป็นเพราะไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ความคิดจึงไม่เหมือนเดิมแล้ว
โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ ฉันมีของขวัญมาให้พี่กับพี่สะใภ้รองด้วยค่ะ กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะเอาไปให้พวกพี่นะ”
“ยังต้องให้ของขวัญอะไรกันอีกล่ะเนี่ย?” พี่สะใภ้ใหญ่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันก็ได้มาชิ้นหนึ่งด้วยนะ พี่สะใภ้สามก็เอามาให้ฉันชิ้นหนึ่งเหมือนกัน” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดคุยด้วยรอยยิ้มครู่หนึ่ง พี่สะใภ้ใหญ่เย่ก็ไปจัดการห่อเกี๊ยว
เย่ฉูฉู่ก็จะไปทำเกี๊ยวกับโจวหมิ่นเช่นกัน แต่ถูกคุณแม่เย่ห้ามไว้
“ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะขนาดนั้น นี่ก็หมุนตัวไม่ได้อยู่แล้ว พวกเธอไปคุยกันบนเตียงเถอะ” คุณแม่เย่กล่าว
พี่สะใภ้ทั้งสองคนต่างถือเนื้อสัตว์และผักเข้ามากล่าวว่า “นั่นสิ พวกเราทำเองได้ พวกเธอเองไม่ได้กลับมากันง่าย ๆ ไปพักผ่อนเถอะ”
เย่ฉูฉู่ไม่ได้ลำบากใจอะไร หญิงสาวที่แต่งออกไปอยู่บ้านสามีกลับมาบ้านก็กลายเป็นแขก แขกที่ไหนจะเข้าครัวทำงานกันล่ะ ดังนั้นเธอจึงไม่เกรงใจมากนัก
ต่างกับโจวหมิ่น หล่อนเป็นลูกสะใภ้ พี่สะใภ้ทั้งสองต่างก็ยุ่งกันอยู่ จะให้นั่งบนเตียงได้อย่างไรกัน?
หล่อนเป็นภรรยาของเย่หมิงเป่ย ภรรยาของลูกชายคนที่สามของตระกูลเย่
เย่หมิงเป่ยดูออก จึงกล่าวกับภรรยาด้วยรอยยิ้ม “คุณไปต้อนรับแขกของที่บ้านเราก็พอแล้วล่ะครับ”
เย่ฉูฉู่ดูออกว่าพี่ชายสามหมายถึงอะไร จึงดึงโจวหมิ่นเข้าห้องทางทิศตะวันตกด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้สาม พี่ชายสามพูดถูก สิ่งที่พี่ต้องทำในตอนนี้คือนั่งคุยเป็นเพื่อนฉันที่เป็นแขกยังไงล่ะคะ”
โจวหมิ่นถูกหยอกล้อจนหลุดหัวเราะ “ก็ได้ พวกเราไปคุยกันเถอะ ฉันจะให้เธอดูของขวัญที่ฉันนำกลับมาให้คุณแม่ด้วย”
คุณแม่เย่พาลูกสะใภ้ทั้งสองไปทำข้างนอกห้อง เย่หมิงเป่ยที่จะไปช่วยก็ถูกคุณแม่เย่ดันไปห้องตะวันออกพร้อมกับจ้าวเหวินเทา
“พวกเธออย่ามาเกะกะที่นี่ ไปคุยกันในห้องนั้นเถอะ” คุณแม่เย่สั่ง เมื่อพวกเขาที่เป็นคนแขนขายาวเดินออกไป ในที่สุดด้านนอกก็มีพื้นที่
เมื่อมีคนเยอะขึ้น ห้องก็ดูเล็กลง คุณพ่อเย่กำลังนั่งม้วนยาสูบอยู่บนขอบเตียง มองดูลูกชายทั้งสามคนและลูกเขยอีกหนึ่งคน ฟังเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลาน ๆ ที่อยู่ด้านนอก ก็ยิ่งรู้สึกว่าพื้นที่ไม่พออาศัยแล้ว
“วันนี้ฉันไปถามที่ทีมมา มีการกำหนดวันที่จะเชือดหมูแล้ว เป็นวันมะรืนนี้ เหวินเทา ถึงตอนนั้นเธอก็พาฉูฉู่กลับมากินเนื้อหมูด้วยล่ะ” คุณพ่อเย่กล่าว
จ้าวเหวินเทาได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันก็ถึงกับประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อตาเอ่ยปากเชิญเขาเลยนะ
“ได้ครับ ผมจะพาฉูฉู่กลับมาแน่นอน” จ้าวเหวินเทาไม่กล่าวอะไรอีก
คุณพ่อเย่พยักหน้า ก่อนจะกล่าวกับพวกลูก ๆ “ฉันไปถามในทีมเรื่องสัญญาที่ดินมาแล้ว เรื่องนี่ถูกกำหนดแล้ว จะเริ่มแบ่งที่ดินฤดูใบไม้ผลิเดือนหน้า”
“จริงเหรอพ่อ?” พี่ใหญ่เย่กล่าวอย่างประหลาดใจ “เอกสารยังไม่มาไม่ใช่เหรอ?”
“มาแล้ว แค่ยังมาไม่ถึงพวกเรา อีกไม่กี่วันก็ถึงแล้ว” คุณพ่อเย่กล่าวอย่างจริงจัง แต่ท่ามกลางความจริงจังก็แฝงด้วยความสุข ตระกูลของเขามีลูกเยอะ ที่ดินที่แบ่งได้ก็จะมากขึ้นด้วย ตอนช่วยเหลือกันพวกเขาก็ใช้ชีวิตได้ไม่เลว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำงานแยกกันเลย
คอยดูเถอะ ถึงตอนนั้นแต่ละคนได้ไปใช้ชีวิตของตัวเอง การใช้ชีวิตของตระกูลเย่ของพวกเขาจะต้องดีที่สุดในหมู่บ้านแน่นอน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ คุณพ่อเย่ก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย
“ฉันยังมีอีกหนึ่งเรื่อง” คุณพ่อเย่กล่าวอย่างช้า ๆ และตรงไปตรงมา “ฉันขอที่ดินสามผืน พวกแกสามพี่น้องแบ่งไปคนละผืน ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็ไปสร้างบ้านแยกเป็นของตัวเองซะ!”
คุณพ่อเย่กล่าวว่าปีหน้าจะสร้างบ้าน พี่ชายทั้งสามคนของตระกูลเย่ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่จ้าวเหวินเทากลับประหลาดใจ
การสร้างบ้านเป็นความปรารถนาของเขามาโดยตลอดเลยนะ
…………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จู่ ๆ พ่อตาก็ไม่ค่อนแคะเหมือนเมื่อก่อน อึ้งไปเลยสิคะเหวินเทา
ไหหม่า(海馬)