ตอนที่ 84 ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
“คุณแม่ หนูเติมหญ้าให้สัตว์เลี้ยงแล้วนะคะ รอพวกมันกินอิ่มค่อยให้กินน้ำ จุดเตาเตียงแล้ว อุ่นเชียวค่ะ น้ำก็ต้มไว้จนเดือดหม้อหนึ่งแล้ว”
“หนูก็ด้วย”
“ยังมีผมอีกคน!”
“ผมเองก็ทำแล้ว ไปแบกฟืนให้แล้วนะครับ!”
พวกเด็ก ๆ ต่างเข้ามาอ้างความดีความชอบให้ตัวเองกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
“ทำได้ดีจ้ะ อีกเดี๋ยวแม่จะให้กินเกี๊ยวเพิ่มอีกสองสามชิ้นนะจ๊ะ!”
“เก่งมาก หลังจากนี้ทำต่อไปนะ”
“อีกเดี๋ยวอย่าลืมเอาเสื้อไปแช่ในน้ำร้อนแล้วซักนะ”
พวกผู้ใหญ่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กล่าวชื่นชมไปสองสามประโยคอย่างขอไปที จากนั้นก็จัดเตรียมงานที่มากยิ่งขึ้น
พวกเด็ก ๆ ได้ยินว่าจะได้รับประทานเกี๊ยวเพิ่มอีกสองสามชิ้นก็มีพลังงานเต็มเปี่ยม คนที่ขนฟืนก็ขนฟืน คนที่จุดไฟก็จุดไฟ เริ่มทำงานกันขันแข็งแล้ว
ไม่เหมือนกับยุคหลัง ที่เด็ก ๆ ล้วนกลายเป็นบรรพบุรุษกันหมดแล้ว จับต้องไม่ได้ ดุด่าไม่ได้ ให้ทำงานเหนื่อยก็ไม่ได้ ดูเด็ก ๆ ในตอนนี้สิ แข็งแรงกันขนาดไหน?
ครั้นน้ำเดือดแล้ว คุณแม่เย่จึงไปต้มเกี๊ยว แล้วนางก็พูดกับลูกสะใภ้ทั้งสองว่า “ผักใบเขียวที่เหวินเทาเอามา พวกเธอก็เลือกเอาไปทำกับข้าวสักสองสามอย่างนะ”
พี่สะใภ้ใหญ่เย่และพี่สะใภ้รองเย่รู้สึกประหลาดใจมาก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหวินเทาเอาผักใบเขียวมาด้วยเหรอคะ?”
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมย้ายที่ค้าขายก็เลยเหลือผักใบเขียวมานิดหน่อย ของพวกนี้เก็บไว้นานไม่ได้ แช่แข็งก็ไม่ได้ อุ่นร้อนก็ไม่ได้ กินได้ก็รีบกินเถอะครับ”
“ผักใบเขียวในตอนนี้มีราคาสูงเชียวล่ะ” พี่สะใภ้ใหญ่เย่มองผักใบเขียวที่ถูกห่อด้วยผ้าสักหลาดในตะกร้า กล่าวว่า “คุณแม่ กินเกี๊ยวแล้วยังจะทำกับข้าวอีกเหรอคะ? คงกินไม่ทันหรอกค่ะ”
“เอาไปผัดเป็นกับข้าวสักสี่อย่างเถอะ” คุณแม่เย่กล่าว “เอามากินดีกว่าวางไว้จนเน่า”
พี่สะใภ้รองเย่ชอบความใจกว้างแบบนี้ของแม่สามี หล่อนจึงหยิบผักใบเขียวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่เสียดาย เดี๋ยวฉันทำเองค่ะ!” จากนั้นหล่อนก็เอาผักไปล้าง
พี่สะใภ้ใหญ่เย่แย้มยิ้ม “เธอคิดมาสี่อย่างก็แล้วกัน พี่จะไปทำอย่างอื่นมาอีกสองจาน ไม่รู้ว่าผักกาดดองเปรี้ยวหรือยัง”
“แม่ชิมดูแล้ว ยังไม่เปรี้ยว เธอไปทำอย่างอื่นมาสักหน่อยแล้วกัน” คุณแม่เย่กวนเกี๊ยวเบา ๆ
“ได้ค่ะคุณแม่ ฉันจะไปตัดต้นกระเทียมสักหน่อย” พี่สะใภ้ใหญ่เย่เดินไปที่บ้านของตัวเอง
ต้นกระเทียมตอนนี้มีบางส่วนโตอยู่บนถาดชา ก็แค่วางรากกระเทียมลงไปตรง ๆ รดน้ำ แค่ไม่กี่วันก็งอกเงยขึ้นมาแล้ว พึ่งพาแค่น้ำ ต้นกระเทียมก็คงเติบโตได้ไม่สูงเท่าไรนัก หลังผ่านฤดูปลูกสองฤดูมันก็ใช้อาหารสะสมในหัวไปจนหมดแล้ว
ทางที่ดีที่สุดคือใช้ดินปลูก ใส่ปุ๋ยลงไปสักหน่อย ตอนค่ำนำไปวางบนหัวเตียง ตอนเช้าวางใต้แสงอาทิตย์ แต่ไม่ใช่นำไปวางด้านนอก ต้องวางบนเตียงที่มีแสงแดดเข้าถึง
พี่ใหญ่เย่ตอกแผ่นไม้บนกล่องสองสามกล่อง ใช้สำหรับปลูกหัวหอมและกระเทียมโดยเฉพาะ พวกมันเติบโตได้เป็นอย่างดี ซึ่งพี่สะใภ้ใหญ่เย่ก็ลงมือตัดมันด้วยกรรไกรอย่างมันมือ ใส่เนื้อลงไปเล็กน้อยก่อนจะจัดใส่จาน
มีหม้อสองใบ ทางฝั่งนี้ต้มเกี๊ยว ทางฝั่งนั้นผัดกับข้าว ไม่ได้เสียเวลาแม้แต่น้อย เมื่อเกี๊ยวสุก กับข้าวก็ผัดเสร็จพอดี
จ้าวเหวินเทาทุบกระเทียมไปพลางก็มองผ่านช่องประตูห้องทิศตะวันตกไปพลาง เขาพบว่าภรรยากำลังคุยอย่างออกรสกับพี่สะใภ้สาม จึงตะโกนด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพวกเธอยังไม่ออกมา จะไม่เหลือเกี๊ยวให้กินแล้วนะ!”
โจวหมิ่นขานตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีของฉันแต่ก็ยังมีของภรรยานายสินะ?”
จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้ม “ถ้าไม่มีของพี่สะใภ้สาม แบบนั้นพี่สามของผมคงโมโหแย่เลยมั้งครับเนี่ย?”
เย่ฉูฉู่เปิดประตูออกมาพลางกลอกตาใส่เขา “เลิกทำตัวเป็นเด็กสักทีค่ะ”
จ้าวเหวินเทายิ้ม
“คุณย่า พวกเราหิวแล้ว เมื่อไรจะได้กินข้าวครับ/คะ!” เด็ก ๆ ทั้งเก้ายืนต่อแถวอยู่หน้าประตู เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“จะกินกันแล้ว พวกเธอเลื่อนโต๊ะเลื่อนเก้าอี้เร็ว” คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พวกเด็ก ๆ จึงเข้าห้องทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
เด็กพวกนี้ ถ้าหากไม่มีเงินสักหน่อย คงเลี้ยงพวกเขาไม่ไหวแน่!
คนมากขนาดนี้ โต๊ะเพียงโต๊ะเดียวนั่งไม่พออยู่แล้ว คุณแม่เย่จึงเรียกพวกผู้ชายให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงเพื่อทำเป็นโต๊ะเตียง ส่วนบนพื้นให้พวกเด็ก ๆ นั่ง ห้องตะวันตกมีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาอีกโต๊ะหนึ่งให้พวกผู้หญิงนั่งอยู่ทางฝั่งนี้
“พวกเรากินกันเงียบ ๆ เถอะ ให้พวกเด็ก ๆ กินของพวกเขาไป” พี่สะใภ้ใหญ่นำอาหารมาวางด้วยรอยยิ้ม
กับข้าวมีทั้งหมดหกอย่าง มีอาหารจากผักใบเขียวที่จ้าวเหวินเทาและเย่ฉูฉู่นำมาให้อยู่สี่อย่าง หมูตากรมควันผัดขึ้นฉ่าย บวบผัดไข่ ยำแตงกวา และมะเขือเส้นผัดพริกฝอย
ส่วนอีกสองอย่างที่เหลือเป็นอาหารที่พี่สะใภ้ใหญ่เย่เป็นคนพิจารณาทำออกมา คือหมูผัดต้นอ่อนกระเทียม ผักกาดดองตุ๋นมันฝรั่งชิ้น เสริมด้วยกระเทียมสับที่จ้าวเหวินเทาเป็นคนทุบหนึ่งถ้วยเล็ก ราดด้วยซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชูและน้ำมันงา รับประทานคู่กับเกี๊ยวแล้วหอมยิ่งนัก
เป็นเพราะแบ่งออกเป็นสามโต๊ะ ปริมาณของกับข้าวจึงไม่มาก แต่โชคดีที่รับประทานเกี๊ยว จึงรับประทานกับข้าวกันแทบไม่ทัน แค่นี้ก็พอแล้ว
“จะดื่มเหล้าก็ไปหยิบมานะ เมื่อไม่กี่วันก่อนพ่อของพวกเธอเปิดเหล้าแบ่งขายมาสองสามถัง สี่สิบกว่าดีกรี ใครอยากดื่มก็ไปหยิบเองได้เลย” คุณแม่เย่พูดจบก็ไปทำงานของนางต่อ
พี่สะใภ้ใหญ่เย่กล่าว “น้องสะใภ้สามกับน้องสามี พวกเธอสองคนอย่าดื่มล่ะ เขาบอกว่าถ้าอยากมีลูกห้ามดื่มเหล้า”
เย่ฉูฉู่และโจวหมิ่นแอบรู้สึกพิพักพิพ่วนเล็กน้อย
พี่สะใภ้รองเย่แย้มยิ้ม “ทุกคนดูพวกเธอสองคนสิ ขนาดนี้แล้วยังอายอีก ฮ่า ๆ!”
“พี่สะใภ้รองคะ!” ทั้งสองคนพร้อมใจกันส่งสายตาตำหนิพี่สะใภ้รองเย่
พี่สะใภ้รองเย่หัวเราะร่า “เอาล่ะ ๆ วัยรุ่นหน้าบางนี่นะ ไม่พูดแล้วก็ได้ พี่จะไปหยิบเหล้า พวกเราดื่มกันสักสองสามถ้วย กินเกี๊ยวคู่กับเหล้า เทพเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรอก!”
พี่สะใภ้ใหญ่เย่และพี่สะใภ้รองเย่คอแข็งไม่เบา แม้แต่คุณแม่เย่ก็ไม่น้อยหน้า ดื่มไปครึ่งชั่งแล้วก็ยังไม่เป็นอะไร
อันที่จริงจะว่าไปแแล้วคนทางเหนือจำนวนมากต่างก็คอแข็งกันทั้งนั้น นี่ก็เป็นเพราะอากาศหนาว การดื่มเหล้าจึงช่วยปัดเป่าความหนาวเหน็บได้
ครั้นดื่มเหล้าแล้ว คุณแม่เย่ก็นั่งตัวตรง โจวหมิ่นรินเหล้าให้คุณแม่เย่เต็มแก้ว ตามด้วยรินให้พี่สะใภ้ทั้งสองจนเต็ม จากนั้นหล่อนจึงพูดว่า “คุณแม่คะ ครั้งนี้ฉันไปนานขนาดนี้ หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ดูแลข้างกายคุณพ่อกับคุณแม่เลย ทั้งหมดนี้ต้องพึ่งพาพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รอง ฉันเป็นลูกอกตัญญู หวังว่าคุณแม่จะไม่ตำหนิฉัน หลังจากนี้ฉันกับหมิงเป่ยจะใช้ชีวิตให้ดีอย่างแน่นอนค่ะ”
คุณแม่เย่มีความสุขมาก นางกล่าว “แม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยของพวกเธอคงเรียนกันยุ่ง แต่ตอนนี้ก็กลับมาแล้ว อันที่จริงก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมายหรอก พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
แม้ว่าจะเคยรู้สึกไม่ดีกับลูกสะใภ้บ้านเจ้าสาม เพราะหลังจากภรรยาบ้านเจ้าสามสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หล่อนก็ไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย ในหมู่บ้านมีคนที่นั่งว่างๆ จำนวนไม่น้อยที่คอยซุบซิบนินทา เจ้าสามต้องแบกรับแรงกดดันมากขนาดไหนกันนะ?
แต่ความไม่พอใจเหล่านั้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนหมดหลังจากที่ลูกสะใภ้สามกลับมา นางจึงไม่พูดถึงเรื่องเก่า ๆ เหล่านั้นแล้ว
พี่สะใภ้ใหญ่เย่และพี่สะใภ้รองเย่ก็มีความสุข “นั่นสิ น้องสะใภ้สามไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
เย่ฉูฉู่ยกแก้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ วันนี้มีความสุขจริง ๆ พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว!”
คุณแม่เย่มีความสุขมาก
พวกผู้ชายที่อยู่ห้องตะวันออกก็ดื่มเหล้ากันอยู่ จ้าวเหวินเทาและเย่หมิงเป่ยก็ถูกลดทอนสิทธิ์ในการดื่มเช่นเดียวกัน
“พวกนายสองคนยังไม่มีลูก อย่าดื่มเลย” พี่ใหญ่เย่พูดอย่างมีความรับผิดชอบ “กินเกี๊ยวเถอะ”
จ้าวเหวินเทานึกถึงตอนที่ตนเองดื่มกับพี่ใหญ่หลิวไปหลายครั้ง ก็แอบรู้สึกผิด จึงรีบตอบไปว่า “พี่ใหญ่พูดถูก พวกพี่ดื่มเถอะ คุณพ่อ ผมรินให้นะครับ”
คุณพ่อเย่ ลูกชายคนโตและลูกชายคนที่สองดื่มเหล้ากันแล้ว
“เหวินเทา มาเถอะพวกเรามากินกัน” เย่หมิงเป่ยอยู่เป็นเพื่อนจ้าวเหวินเทา ด้วยการนั่งรับประทานเกี๊ยวกันสองคน
พวกเด็ก ๆ ที่นั่งอยู่ใต้เตียงห้อมล้อมโต๊ะที่เป็นแผ่นไม้ประกบเข้าด้วยกันสองสามแผ่น ระหว่างรับประทานเกี๊ยวคำโต ก็รับประทานกับข้าวไปด้วย แต่ละคนดูคล้ายกับเสือน้อย จ้องมองของหายากนั้น
เกี๊ยวมีทั้งหมดสองไส้ มีไส้หัวไชเท้าหมูสับและไส้ผักกาดขาวหมูสับ แม้ว่าผักมากเนื้อน้อยแต่ก็ใส่มันหมูลงไปด้วย กัดหนึ่งคำน้ำมันจึงเยิ้มเต็มปาก ทุกคนกินกันอย่างหนำใจ นี่แหละถึงจะเรียกว่าการใช้ชีวิต!
หลังจากรับประทานเสร็จเก็บกวาดเรียบร้อยก็เกือบค่ำแล้ว จ้าวเหวินเทาและเย่ฉูฉู่จึงกลับบ้านของตน
คุณแม่เย่จึงพูดกับลูกสะใภ้สาม “คิดไม่ถึงเลยว่ายัยหนูฉูฉู่กับเธอจะคุยกันถูกคอเชียว”
………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวสุขสันต์มากค่ะบ้านนี้ ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีบุญมากนะคะ
ไหหม่า(海馬)