ตอนที่ 90 คนเห็นแก่เงิน
“คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าต้องไปโรงโม่เพื่อโม่แป้ง? แป้งถั่วเหลืองที่โม่ออกมาจะเทียบได้กับแป้งจากโม่หินที่บดด้วยมือได้ยังไง? มันหนาขนาดไหนคุณไม่รู้เหรอ?” พี่สามจ้าวทั้งโมโหทั้งร้อนใจ “ ที่เต้าหู้ของพวกเราขายดิบขายดีก็เป็นเพราะบดกับมือ คุณเป็นบ้าอะไร เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ ทาน้ำมันดอกคําฝอยก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอ? กว่าพวกเราจะหาเงินได้แบบนี้มันยากนะ เร็วเข้า ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง!”
พี่สะใภ้สามจ้าวโมโหสามีตัวเองจนจะร้องไห้ออกมาแล้ว หล่อนกัดฟันกล่าว “คุณทนได้ คุณทำได้ งั้นคุณก็ไปบดเองสิ!”
พี่สามจ้าวหยิบไม้กวาดขึ้นมาทำท่าจะทุบตีหล่อน “คุณคิดจะต่อต้านเหรอ!”
พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นแบบนั้นจะทนได้อย่างไร? ยังไม่ทันได้แตะต้องตัวหล่อน หล่อนก็ร้องไห้ออกมาแล้ว และวิ่งไปหาแม่สามีทั้งน้ำตาเพื่อให้ช่วยออกความเห็น
ตอนนี้คุณแม่จ้าวกำลังห่อซาลาเปาไส้ถั่วอยู่
หลังแยกบ้านกันแล้ว ก็เหลือแค่คนแก่สองคน นึ่งซาลาเปาหม้อเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่เหมือนปีก่อน ๆ ที่ต้องนึ่งเป็นสิบหม้อแปดหม้อ
ตอนนี้เหลือหนึ่งหม้อแล้ว แต่เหล่าพี่สาวสองสามคนก็ยังมาช่วย ซึ่งงานเล็กน้อยแบบนี้ถือเป็นเรื่องรอง ถึงอย่างไรการพูดคุยในครอบครัวก็คือเรื่องหลักอยู่ดี
“คุณแม่ สามีเขาจะทุบตีฉันแล้วค่ะ!” พี่สะใภ้สามจ้าวร้องไห้โฮเข้ามา
ทุกคนต่างพากันตกใจจนสะดุ้งโหยง
คุณแม่จ้าววางซาลาเปาไส้ถั่วที่ห่อเสร็จแล้วลง เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ไปทำอะไรมา?”
พี่สะใภ้สามจ้าวเผยแขนที่บวมเป่งของตัวเองให้แม่สามีและพวกป้า ๆ คนอื่นดู “ดูสิคะ ขนาดแขนของฉันบวมแบบนี้แล้ว เขายังจะให้ฉันบดถั่วอีก พอฉันไม่บดเขาก็จะทุบตีฉัน!”
คนที่มาช่วยห่อซาลาเปาไส้ถั่วมีแม่เฒ่าหยางอยู่ด้วย เมื่อเห็นแขนของพี่สะใภ้สามจ้าวเป็นแบบนี้นางจึงร้องตะโกนขึ้นมา “ทำไมถึงบวมเป่งแบบนี้เนี่ย!”
แขนของพี่สะใภ้สามจ้าวบวมเป่งเป็นมันเงา ใครเห็นต่างตกใจถึงขีดสุด
“เป็นเพราะบดถั่วน่ะค่ะ” พี่สะใภ้สามจ้าวปาดน้ำตากล่าวว่า ช่วงนี้ชีวิตของหล่อนช่างขมขื่นจริง ๆ แต่หล่อนก็ยังทน ท้ายที่สุดก็ทำเพื่อเงิน หล่อนชอบทำงานหาเงิน แต่ถึงขนาดหล่อนอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วก็ยังไม่ยอมให้หล่อนได้พัก แถมยังคิดจะทุบตีหล่อนอีก หล่อนจะยอมให้พี่สามจ้าวข่มเหงรังแกแบบนี้เหรอ?
คุณแม่จ้าวโกรธมาก “เจ้าสามไอ้สารเลว แขนของภรรยาตัวเองเป็นแบบนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ? ยังจะมาทุบตีเธออีก ผู้ชายบ้านตระกูลจ้าวหน้าไหนกล้าลองดีทุบตีภรรยา? เดี๋ยวฉันจะจัดการมันเอง!”
เมื่อกล่าวจบนางจึงเดินกลับห้องไปหาน้ำมันดอกคำฝอย
ในขณะนั้นเองพี่สามจ้าวก็เข้ามา เขามองไปยังพี่สะใภ้สามจ้าวพลางกล่าว “คุณมาหลบตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงก็ต้องไปบดถั่วพวกนั้น!”
แม่เฒ่าหยางทนไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยประณามออกไป “ฉันจะบอกอะไรให้นะเหล่าจ้าวสาม นี่แกไม่เห็นสภาพของภรรยาแกเลยเหรอ? ยังจะเรียกให้ภรรยาของแกไปบดถั่วอีก แกยังอยากให้ภรรยาของแกมีแขนอยู่ไหม? ยังอยากให้หล่อนมีชีวิตอยู่ไหม?”
พี่สามจ้าวกล่าว “มันร้ายแรงขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะครับ แค่บดถั่วมันจะถึงชีวิตเลยเหรอ?”
“แล้วทำไมแกไม่บดเอง?” แม่เฒ่าหยางกล่าว
“ผมยังต้องสั่งถั่ว ยังต้องคั้นน้ำอีก หล่อนล่ะทำอะไรบ้าง ก็แค่บดถั่วเอง!” พี่สามจ้าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
พี่สะใภ้สามจ้าวก่นด่า “คุณพูดแบบนี้ยังมีมโนธรรมเหลืออยู่หรือเปล่า? ฉันแค่บดถั่วงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้คั้นน้ำเหรอ คั้นน้ำทำคนเดียวได้หรือไง?!”
คุณแม่จ้าวหยิบน้ำมันดอกคำฝอยเดินเข้ามา จากนั้นจึงคว้าไม้กวาดที่อยู่ข้างมือทุบตีเหล่าจ้าวสาม กล่าวว่า “ตระกูลจ้าวของฉันสร้างคนที่มีความสามารถจริง ๆ ใช้ภรรยาเยี่ยงทาส ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้ามืด แขนล้าจนกลายสภาพเป็นแบบนี้ แถมยังไม่ได้พักผ่อนอีก พอจะพักผ่อนก็ถูกเฆี่ยนตี คนตระกูลจ้าวของฉันกลายเป็นเจ้านายที่เฆี่ยนตีไพร่แบบสังคมศักดินายุคก่อนไปแล้ว ดูสิว่าฉันจะทุบหมาบ้าแบบแกให้ตายยังไง!”
พี่สามจ้าวถูกทุบตีจนส่งเสียงร้องโอดครวญ เขาหลบไปพลางกล่าวไปพลาง “แม่ พวกเราแยกบ้านกันแล้วนะ!”
“แยกบ้านแล้วฉันก็ยังเป็นแม่ของแกอยู่ ชื่อเสียงของตระกูลจ้าวจะยอมให้คนสารเลวอย่างแกทำลายเหรอ?” คุณแม่จ้าวตีไปก่นด่าไป
พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นดังนั้นจึงโล่งใจ ดูสิว่าหลังจากนี้เขาจะกล้าตีหล่อนอีกไหม!
หญิงชราคนอื่น ๆ มองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงจะเริ่มห้ามปราม
หลังจากที่คุณแม่จ้าวฟาดจนหนำใจแล้ว นางก็เขวี้ยงไม้กวาดทิ้งพลางแค่นเสียงเย็น “แม่ของหม่าต้านอยู่ในสภาพนี้แล้วยังต้องบดถั่วอะไรอีก พรุ่งนี้พี่รองของแกจะไปโม่แป้ง แกก็ไปบดถั่วด้วยเลย!”
“แม่ พรุ่งนี้เช้าผมต้องไปขายเต้าหู้นะ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้แล้วค่อยไปโม่ถั่ว แล้วผมจะขายอะไรล่ะ?” พี่สามจ้าวนวดแขนนวดขาที่ถูกตีจนเจ็บ ระหว่างนั้นก็กล่าวอย่างเป็นกังวล
“ไม่ขายเต้าหู้สักวันแกจะหิวตายหรือไง?” คุณแม่จ้าวจ้องมองลูกชายพลางกล่าว “มีเงินมันก็ดี แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับภรรยาของแก แกดูเจ้าหกสิว่ารักฉูฉู่ขนาดไหน แล้วดูแก ภรรยาของแกเป็นแบบนี้แกยังคิดแต่เรื่องเงินอีก แกยังมีอนาคตอยู่หรือเปล่า? อยากบดแกก็ไปบดเอง…เรื่องของครอบครัวเจ้าสาม แม่ให้เธอเป็นหัวหน้านะ ถ้าเขายังกล้าใช้งานเธออีก เธอมาบอกแม่ แม่จะตีมันให้ตายเลย!”
พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าวอย่างพอใจ “คุณแม่ช่างดีกับฉันเหลือเกินค่ะ!”
พี่สามจ้าวยังจะกล่าวอะไรได้อีก?
เขานั่งบนเก้าอี้อย่างโกรธเคืองไม่พูดไม่จา
มีแต่ภรรยาของเขาคนเดียวที่เหนื่อยเหรอ? เขาไม่เหนื่อยหรืออย่างไร?
แม้ว่าพี่สะใภ้สามจ้าวจะช่วยทำเต้าหู้ แต่เขาเป็นคนลากรถไปถึงมณฑลเพื่อขายของ กว่าจะกลับมาก็บ่ายแล้ว
เขาต้องตื่นนอนตอนตีสามกว่า ๆ ถึงบ่ายสองบ่ายสามเขาถึงจะได้พักผ่อน ต้องทำแบบนี้ทุกวัน ถือว่านอนไม่พออย่างรุนแรง ไหนจะเสียดายอาหารไม่ยอมกินไม่ยอมดื่มอีก ไม่เหมือนกับภรรยาของเจ้าหกที่ให้เจ้าหกกินเนื้อปลากินเนื้อหมูชิ้นใหญ่ ๆ แบบนั้น ช่วงนี้พี่สามจ้าวทำเงินได้ก็จริง แต่ร่างกายของเขากลับผอมซูบลง ทั้งยังอิดโรยจนหมดสภาพด้วย
คุณแม่จ้าวรู้ว่าลูกชายหาเงินมาไม่ใช่ง่าย ๆ ดังนั้นหลังจากทุบตีเสร็จจึงให้รับประทานพุทราหวาน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “อย่ามัวแต่มานั่งอยู่แบบนี้ กลับห้องไปนอนหลับให้เต็มตื่น พรุ่งนี้ก็หยุดสักวัน ชีวิตไม่ใช่แค่วันสองวัน เงินก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้แค่วันเดียว จะรีบไปทำไม? เหนื่อยจนเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินแถมยังต้องทุกข์ทรมานอีก ถึงเวลานั้นไม่คิดเหรอว่าจะขาดทุน?”
“นั่นน่ะสิ เงินมันสำคัญแต่ร่างกายสำคัญกว่า ฟังที่แม่เธอบอกแล้วรีบกลับไปนอนซะนะ” แม่เฒ่าหยางเกลี้ยกล่อมเช่นกัน
“เธอดูพวกเธอสองคนสิว่าเหนื่อยจนหมดสภาพขนาดไหน? ต่อให้เป็นหนุ่มสาวมากกว่านี้ก็รับความเสียหายนี้ไม่ได้ ไม่หาเงินสักวันมันไม่ทำให้เธอจนลงหรอก เธอจะไปกลัวอะไร รีบไปนอนเถอะ เรียกภรรยาของเธอไปพักผ่อนด้วย”
ทุกคนต่างโน้มน้าวใจแบบเธอหนึ่งประโยคฉันหนึ่งประโยค พี่สามจ้าวเองก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน เขามองพี่สะใภ้สามจ้าวปราดหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินจากไป
คุณแม่จ้าวทาน้ำมันดอกคำฝอยลงบนแขนของลูกสะใภ้เสร็จแล้วก็กล่าวว่า “กลับไปนอนซะ ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมฤดูหนาว บอกให้เอ้อร์หยาทำกับข้าว ให้หม่าต้านไปทำงาน โตกันขนาดนั้นแล้ว มีอะไรที่ทำไม่ได้อีก เธอไม่ต้องลงมือทำเองแล้ว พักสัก 2-3 วัน ให้แขนหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”
“คุณแม่คะ ฉันเชื่อคุณแม่ค่ะ แต่ฉันขอนั่งพักสักครู่แล้วค่อยกลับไปนะคะ” พี่สะใภ้สามจ้าวเอนตัวพิงเข้ากับหัวเตียง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า
“พวกเธอขายเต้าหู้มันจะได้เงินขนาดไหนกันเชียว ดูสิเหนื่อยจนมีสภาพแบบนี้แล้ว?” แม่เฒ่าหยางถาม
พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “เงินที่ได้มาเหล่าซานเป็นคนเก็บไว้ค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าขายเต้าหู้ได้เงินเท่าไร”
“พอเถอะ เธอจะไม่รู้ได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก” แม่เฒ่าหยางหัวเราะ
“นั่นน่ะสิ พวกเธอสองคนได้เงินมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหรอ?” หญิงชราอีกท่านหนึ่งกล่าว
“ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะ เขาไม่เคยบอกอะไรฉันเลย บอกแค่ว่าได้เงินมา พอฉันถามว่าได้มาเท่าไหร่ เขาก็พูดว่าอย่าถาม ให้ฉันตั้งใจบดถั่วให้ดี” ในตอนแรกพี่สะใภ้สามจ้าวก็ยังมีท่าทางดีๆ อยู่ แต่เมื่อยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ อดปาดน้ำตาไม่ได้ แล้วกล่าวต่อว่า “ตั้งแต่ทำเต้าหู้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวเป็นควายของเขา ต้องบดถั่วทุกวัน เขากลายเป็นคนเห็นแก่เงินไปแล้ว!”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฟาดเข้าไปค่ะคุณแม่จ้าว ให้ลูกชายขี้งกคนนี้มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียที
พี่สะใภ้สามนี่เหมือนบุญมีแต่กรรมบังจริง ๆ ถึงได้มาแต่งงานกับพี่สาม
ไหหม่า(海馬)