เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] – ตอนที่ 92 รู้สึกคลื่นไส้

ตอนที่ 92 รู้สึกคลื่นไส้

นิสัยเห็นแก่เงินของเจ้าสามนั้น พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็แอบรู้สึกอิจฉาในใจอยู่เหมือนกัน เพราะพี่รองจ้าวไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามสองพี่น้องก็เป็นคนมีความสามารถ คนหนึ่งรักเงิน อีกคนหนึ่งไม่รักเงิน ถ้าแบ่งให้พอดีได้คงดีไม่น้อย?

พี่สะใภ้สามจ้าวถอนหายใจนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ และกล่าวว่า “นั่นน่ะสิ ฉันเองก็พูดไปแล้ว แต่เขาฟังที่ไหนกันล่ะคะ?”

พี่สามจ้าวไอจนหอบเล็กน้อย เขากลอกตามองภรรยา กล่าวว่า “ก็เป็นเพราะผมนึกถึงวันปีใหม่ ถึงได้คิดอยากจะหาเงินเพิ่มไม่ใช่เหรอ? ก็เพราะช่วงนี้ไม่ได้มีงานยุ่งแถมยังมีเวลาว่างถึงได้ออกไปขายเต้าหู้ รอให้ยุ่งแล้วจะมีเวลาไหม? ไม่เห็นเหรอว่าเจ้าหกหาเงินได้ขนาดไหน? แค่ก ๆ!”

“ถึงจะหาเงินได้ในช่วงนี้ แต่จะมาเอาเปรียบร่างกายก็ไม่ได้เหมือนกัน ดูอาการป่วยของคุณสิ เสียหายมากกว่าอีก” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าวอย่างโมโห “อีกอย่างคุณก็ไม่ควรไปเทียบกับเจ้าหกด้วย เขามีรถสามล้อเครื่องยนต์ ขับไปมารวดเร็วดั่งสายลม ของพวกเราจะเทียบได้เหรอ? อาหารที่น้องสะใภ้หกทำฉันก็ทำได้ แต่คุณกินขนาดนั้นคุณไม่เสียดายหรือไง?”

พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินก็เกิดความรู้สึกมากมาย

น้องสามีคนเล็กต้องได้เงินมาไม่น้อยแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาจะรับประทานของพวกนั้นโดยไม่เสียดายได้อย่างไรกัน? ทุกวันนี้ได้กลิ่นเนื้อลอยออกมาตลอด พวกเด็ก ๆ ต่างก็อยากกินกันมาก แต่ทางฝั่งนั้นกลับไม่ให้กินแม้แต่คำเดียว

พี่สามจ้าวถึงกับสำลัก เขาย่อมเสียดายหากรับประทานถึงขนาดนั้น ถ้าไม่เสียดายเขาก็คงไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อยจนล้มป่วยหรอก

อันที่จริงมีไม่กี่คนที่ไม่เสียดายกับการกินมากขนาดนั้น ครอบครัวของเจ้าหกใช้ชีวิตกันไม่เป็น เขาย่อมไม่ทำตามแบบนั้นอยู่แล้ว!

“น้องสะใภ้สาม เธอก็เลิกเติมเชื้อไฟได้แล้ว จะหาคนที่ใช้ชีวิตแบบเหล่าลิ่วแบบนั้นก็คงยากจริง ๆ นั่นแหละ พวกเราเป็นคนธรรมดาเดินดิน ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงจะดีกว่า แล้วก็น้องสามีสาม เธอเองก็อย่าคิดมาก รักษาตัวให้ดี พอหายดีก็กลับไปทำเต้าหู้ได้แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว

พี่สามจ้าวรู้สึกเจ็บคอ เขาจึงไม่อยากพูดคุยให้มากมาย ทำเพียงแค่ส่งเสียงอืมออกมา

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอีกไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นเดินจากไป ก่อนกลับไปก็ให้น้ำตาลกรวดและสาลี่แช่แข็งสองสามลูกด้วย

“ใช้น้ำเย็นละลายน้ำแข็งออกจากสาลี่นะ แล้วนำน้ำตาลกรวดต้มให้เขาดื่ม ดื่มคู่กันทั้งน้ำแกงทั้งน้ำนั่นแหละ ของสิ่งนี้ไม่ได้มีข้อดีข้อเสียอะไร” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าวอย่างมีน้ำใจ

หล่อนและครอบครัวเจ้าสามมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว โดยเฉพาะเจ้าสามที่ชอบหาเงินขนาดนั้น หล่อนจึงแอบหวังว่าเขาจะพาสามีตอไม้คนนั้นของหล่อนไปบ้าง

“ค่ะ รบกวนพี่สะใภ้รองแล้ว” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว

“รบกวนอะไรกัน เธอก็อย่าออกมาเลย ระวังจะเป็นหวัดไปอีกคน” พี่สะใภ้รองจ้าวเดินจากไป

พี่สะใภ้รองจ้าวมาเยี่ยมแล้ว พี่สะใภ้สี่จ้าวรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่ไปเยี่ยมก็คงดูไม่ดี แต่ไปเยี่ยมแล้วไม่เอาอะไรไปให้ก็ไม่ได้เหมือนกัน

“คุณว่าเอาอะไรไปให้ดี?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถามพี่สี่จ้าว

“เอาแป้งขาวไปสองถ้วยสิ” พี่สี่จ้าวกล่าวโดยไม่คิด “คนป่วยต้องกินอะไรดี ๆ หน่อย”

พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินก็อยากจะกลอกตาใส่ “ยังจะให้แป้งขาวสองถ้วยอีก ทั้งครอบครัวมีกี่ถ้วยกันเชียว ปีใหม่คุณจะไม่กินเกี๊ยวแป้งขาวเลยเหรอ!”

พี่สี่จ้าวกล่าว “อีกนานกว่าจะถึงปีใหม่ อีกอย่าง กินเกี๊ยวจากแป้งบักวีตก็ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่อยากคุยกับสามีสมองทึบคนนี้แล้ว จึงไปควานหาที่ห้องเก็บของ หาเป็นเวลานานก็ไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือไปดี

หรือว่าจะต้องเอาแป้งสาลีขาวไปให้สองถ้วยจริง ๆ?

แต่เมื่อดูแป้งสาลีขาวที่มีอยู่น้อยนิดของครอบครัวสุดท้ายแล้วหล่อนก็ทำใจไม่ได้ หลังจากคิดกังวลอยู่นานหล่อนจึงหยิบปลายข้าวหักไปให้สองสามถ้วย

ปลายข้าวหักคือเมล็ดข้าวที่แตกหักไม่เต็มเมล็ด นำมาใช้ต้มโจ๊กได้

“พี่สะใภ้สาม ฉันมาเยี่ยมพี่สามน่ะค่ะ ฉันไม่มีของอะไรดี ๆ ข้าวหักนี้เป็นเมล็ดข้าวไม่เต็มเม็ดที่เพิ่งแบ่งได้จากปีนี้ ฉันใช้โม่บดออกมา กินแล้วหอมมาก พี่เอาไปทำโจ๊กให้พี่สามกินนะคะ” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

“น้องสะใภ้สี่เธอมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมเถอะ ยังจะหยิบของอะไรมาให้อีก” พี่สะใภ้สามจ้าวเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ว่าของจะน้อยหรือมาก หยิบมาให้ก็นับว่ามีน้ำใจแล้ว หล่อนจึงไม่รู้สึกรังเกียจ

พี่สะใภ้สี่จ้าวเข้าห้องมาคุยกับพี่สามจ้าวไม่กี่คำ ก็เดินเพื่อออกจากห้องไป ขณะเดินก็กล่าวอย่างสบาย ๆ “น้องสะใภ้หกยังไม่มาเยี่ยมอีกเหรอคะ?”

“ยังไม่มาเลย ฉันไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้ว ได้ยินว่าพี่สะใภ้สามของหล่อนกลับมาแล้ว ช่วงหลายวันมานี้หล่อนก็เลยกลับไปบ้านแม่บ่อย ๆ” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว

พี่สะใภ้สี่จ้าวยิ้ม “พี่สะใภ้คนนี้กลับมา น้องสะใภ้เล็กก็เลยวิ่งแจ้นกลับไปบ้านแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสะใภ้ดีขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

“ต้องดีมากแหละ พี่สะใภ้ของหล่อนกลับมาสองวันแล้วนะ น้องสามีหกกับพี่สามของน้องสะใภ้ก็เป็นหุ้นส่วนวิ่งค้าขายด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ความสัมพันธ์ต้องดีอยู่แล้ว” พี่สะใภ้สามจ้าวกลับไม่แปลกใจ

ถ้าหล่อนมีพี่สะใภ้ที่เป็นนักศึกษาสักคนหล่อนก็ยินดีที่จะกลับไปทุกวัน การได้มีโอกาสฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องบางทีอาจจะเป็นความโชคดีก็ได้

“ฉันลืมไปเลยค่ะ เขาวิ่งขายของคงได้เงินเยอะเลยเนอะ” คำพูดนี้ของพี่สะใภ้สี่จ้าวฟังดูแปลก ๆ “พี่สะใภ้สาม พี่ว่าพวกเขาซื้อรถมาคันหนึ่งแบบนี้ ก็คงได้เงินมาไม่น้อยเลยสินะคะ?”

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้” พี่สะใภ้สามจ้าวมองหล่อนปราดหนึ่ง น้องสะใภ้คนนี้ด้านอื่นก็ดีไปเสียทุกอย่าง แต่กลับชอบจับผิดคนอื่น เหมือนกับสามีของหล่อนไม่มีผิดเลย

เจ้าหกทำเงินได้ก็เป็นความสามารถของเจ้าหก อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อากาศหนาวขนาดนี้ก็ต้องออกไปข้างนอกรับกับความหนาวไม่ใช่เหรอ? แต่ละคนต่างก็มองดูเขาหาเงิน กลับตาลปัตรไปหมด

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่ถามอะไรและไม่รู้สึกอะไร กล่าวอยู่สองสามคำก็เดินกลับไป

เรื่องที่พี่สามจ้าวป่วย จ้าวเหวินเทายังไม่ทราบ เขายุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจพี่สามที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย ถ้าเขารู้ ไม่แน่เขาอาจจะหัวเราะเยาะสองสองครั้ง!

แต่เย่ฉูฉู่ทำแบบนั้นไม่ได้ หลังจากที่เธออยู่บ้านและได้รู้เรื่องนี้ เธอก็ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่เธอกำลังเตรียมของไปเยี่ยมพี่สามจ้าว

เธอไม่ได้เอาของอย่างอื่นไป แต่นำเนื้อหมูสามชั้นไปหนึ่งเส้น

ช่วงนี้เธอไม่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนไม่อยากรับประทานเนื้อหมู ดมก็ไม่อยากดม แค่มองก็รู้สึกเลี่ยนแล้ว

เธอรู้สึกว่าตัวเองคงรับประทานเยอะเกินไป เพราะตั้งแต่สามีขายเนื้อหมู ที่บ้านก็ไม่ขาดเนื้อหมูอีกเลย รับประทานมากขนาดนี้จึงเป็นเรื่องปกติที่จะแอบรู้สึกขยาดเล็กน้อย

เธอจึงถือโอกาสนำเนื้อหมูสามชั้นไปเยี่ยมพี่สามจ้าว

“พี่สะใภ้สาม ที่พี่สามไม่สบายอาการเขาดีขึ้นหรือยังคะ?” เย่ฉูฉู่มาถาม

พี่สะใภ้สามจ้าวออกมาจากห้องและเห็นเย่ฉูฉู่ถือของมา จึงกล่าวด้วยความตกใจ “น้องสะใภ้หก เธอทำอะไรเนี่ย? เอาเนื้อชิ้นนี้มาทำไม!”

“พี่สามไม่สบาย ทำของดี ๆ ให้เขากินหน่อยสิคะ?” เย่ฉูฉู่ยื่นเนื้อหมูให้

“นี่มันเยอะเกินไปแล้ว ไม่ได้หรอก เธอเอากลับไปเถอะ” พี่สะใภ้สามจ้าวไม่กล้ารับเนื้อหมูสามชั้นนี้

“พี่สะใภ้สาม ฉันหยิบมาแล้ว จะเอากลับไปได้ยังไงล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว

พี่สะใภ้สามจ้าวจึงรับไป “เธอนี่จริง ๆ เลยนะ เอาเนื้อขนาดนี้มาให้ แล้วเธอไม่เก็บไว้กินเลยเหรอ?”

เย่ฉูฉู่ทำได้เพียงหัวเราะ เข้าไปพูดคุยกับพี่สามจ้าวไม่กี่คำก็เดินออกไป เธอและพี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นเหมือนกัน น้องสะใภ้พูดกับพี่ชายของสามีมากเกินไปนับว่าไม่เหมาะไม่ควร

ไม่เหมือนพี่สะใภ้รองจ้าว ในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ไม่เพียงแต่จะพูดคุย หล่อนยังตำหนิได้ด้วย

เย่ฉูฉู่พูดคุยกับพี่สะใภ้รองจ้าวข้างนอกห้องไม่กี่คำ แต่จะว่าไปแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยกันนะ

“อุกก…” เย่ฉูฉู่เอามือกุมหน้าอกทำท่าทางจะอาเจียนออกมา

“น้องสามีหกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” พี่สะใภ้สามจ้าวตกใจรีบกล่าวออกมา

“ไม่เป็นไร ๆ ฉันแค่รู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อยน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่ลูบหน้าอกพลางกล่าว

……………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

บ้านเจ้าหกเขาเน้นการดูแลร่างกายตัวเองเพื่อให้มีกำลังทำงานน่ะ ร่างกายพังทีก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ฉูฉู่คลื่นไส้แถมยังแพ้กลิ่นเนื้อหมู…แสดงว่าบ้านหกจะมีข่าวดีแล้วใช่ไหมคะ น้ำยาพี่เทาทำงานแล้ว

ไหหม่า(海馬)

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] เย่ฉู่ฉู่บุตรสาวเสนาบดีกังฉินเกือบถูกรังแกในระหว่างทางที่โดนเนรเทศ​ แต่ได้ว่าที่ท่านอ๋องผู้หนึ่งมาช่วยนางไว้​และเก็บนางไว้ข้างกาย​ ในระหว่างการชิงอำนาจเพื่อปกป้องพระราชโอรสองค์เล็กของจักรพรรดิองค์ก่อน​ ว่าที่ท่านอ๋องผู้นี้ก็สิ้นชีพเพราะยาพิษประหลาด​ ครั้นพิธีศพถูกจัดขึ้น​ เย่ฉู่ฉู่ก็ได้โขกศีรษะกับโลงศพของเขาตายตกตามกันไป​ แต่นางกลับได้มาเกิดใหม่ในประเทศจีนยุค​ 1970 ในร่างของเจ้าของร่างผู้ได้ชื่อว่าเป็น​แม่เสือตามคำกล่าวของจ้าวเหวินเทาผู้เป็นสามี

Comment

Options

not work with dark mode
Reset