บทที่ 3 แม่ผู้แข็งแกร่ง
ซูหวานหว่านรู้ดีว่าการที่นางได้ล่วงรู้ถึง ‘ข้อมูลลับ’ ของเหมี่ยวอี้เซิง และเรื่องที่นางเอาของหมั้นที่แม่เฒ่าเจี๋ยซ่อนไว้มาคืนเหมี่ยวอี้เซิงได้ มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หากคนอื่นจะสงสัยก็คงจะไม่แปลกเท่าไรนัก
ทว่านางมีข้อแก้ตัวดี ๆ เตรียมเอาไว้แก้ตัวกับคนตระกูลซูแล้ว หากพวกเขาไม่เชื่อล่ะก็ ฮ่ะ ฮ่ะ ก็เข้าทางน่ะสิ นางจะได้หาเรื่องแยกครอบครัวได้เสียที
แต่กับแม่ของตนข้อแก้ตัวต่าง ๆ คงใช้ไม่ได้ผล เพราะการจะโกหกแม่เจิ้นสำเร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่ออีกฝ่ายทั้งหวังดี อีกทั้งยังเป็นห่วงนางขนาดนี้…จะโกหกอย่างไรให้รู้สึกผิดน้อยที่สุดกัน?
ที่ซูหวานหว่านเลือกที่จะไม่บอกความจริงเพราะหากบอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่เช่นนั้นจะให้นางบอกคนอื่นว่าข้อมูลทั้งหมดที่นางรับรู้รวมถึงของหมั้นที่นางได้มาเป็นเพราะว่า ‘นางสื่อสารกับสัตว์ได้’ งั้นหรือ?
สื่อสารกับสัตว์…
ถูกต้อง!
ความสามารถพิเศษนี้เป็นความสามารถที่สืบเนื่องมาจากตัวนางในโลกที่แล้ว!
เจ้าหนูตัวที่วิ่งมาชนนางก่อนหน้านี้ถูกเรียกออกมาโดยนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ผ่าน ‘การส่งเสียง’ เจ้าหนูเป็นแขกประจำของตระกูลซู มันมักจะมาหาอะไรกินที่บ้านตระกูลซูเสมอ ซูหวานหว่านมักไปยังที่ร้างลับตาผู้คนเพื่อมารับข้อมูลต่าง ๆ และขอความช่วยเหลือจากมัน
และเรื่องล่าสุดที่นางได้ยินจากเจ้าหนูก็ทำให้นางโกรธมาก!
เรื่องราวไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซูหวานหว่านเองก็เพิ่งได้รับรู้ในวันนี้ว่าเมื่อสองปีก่อน ซูจิ่นเฉียง พี่ชายคนโตของนางเดินทางไปที่ตัวเมืองเพื่อไปรับเสื้อคลุมของน้อง ๆ วันนั้นบังเอิญไปเจอกับปู่ของเหมี่ยวอี้เซิงและได้ช่วยเหลือเขาไว้
ผู้เฒ่าเหมี่ยวจึงเดินทางมาที่หมู่บ้านเพื่อมาขอบคุณที่ซูจิ่นเฉียงได้ช่วยเหลือเขาไว้ ครานั้นผู้เฒ่าเหมี่ยวได้พบกับซูหวานหว่านด้วยเช่นกัน ชายชรารู้สึกถูกใจนางเป็นอย่างมากจึงได้ทาบทามหญิงสาวให้หมั้นหมายกับเหมี่ยวอี้เซิงผู้เป็นหลานชายของตน
หลังจากนั้นชายชราก็ปฏิบัติตามทำเนียมโดยการนำของขวัญการหมั้นมามอบให้ซูหวานหว่าน
แต่แล้วผู้เฒ่าเหมี่ยวได้เสียชีวิตลงเมื่อสองเดือนก่อน เหมี่ยวอี้เซิงที่ไม่ได้อยากหมั้นจึงได้โอกาสมาขอถอนหมั้นกับหญิงสาว เขาประโคมข่าวลืออันน่ารังเกียจและดูถูกสารพัด ทั้งยังเหิมเกริมด่าทอท่านพ่อท่านแม่ของนางอีก
แม้ว่าเหมี่ยวอี้เซิงจะหยาบคายกับท่านพ่อท่านแม่เพียงใด ทว่าแม่เฒ่าเจี๋ยกลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย แต่เมื่อเหมี่ยวอี้เซิงบอกว่าต้องการของหมั้นคืนเท่านั้น แม่เฒ่าเจี๋ยกลับมีอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกมาด่าทอและขับไล่เหมี่ยวอี้เซิงกับแม่สื่อฉือเสียจนพวกเขาแทบจะจำทางกลับบ้านไม่ถูก
ตอนนั้นเองซูหวานหว่านได้ไหว้วานเจ้าหนูให้ช่วยหาที่ซ่อนของของหมั้นที่แม่เฒ่าเจี๋ยเก็บไว้มาให้นาง แม่เฒ่าเจี๋ยซ่อนมันไว้อย่างมิดชิดเชียว ทว่าเจ้าหนูตัวจ้อยแสนเก่งกาจก็หามันจนเจอ
นางไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดคนเราถึงต้องยอมแลกศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อเงินถึงขนาดนี้
แล้วนางรู้เรื่องของเหมี่ยวอี้เซิงได้อย่างไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอีกนั่นแหละที่คาบข่าวมาบอกนาง…
อ่า…
บอกไปก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดเชื่อไหมว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอย่างเหมี่ยวอี้เซิง แท้จริงแล้วมีหมัดขึ้นอยู่บนตัวเขาด้วย…
ตอนที่ซูหวานหว่านปาห่อผ้าของหมั้นใส่หน้าเหมี่ยวอี้เซิง เป็นจังหวะเดียวกับที่หมัดที่อาศัยอยู่บนร่างกายชายหนุ่มกระโดดมาหานาง
ว่าแต่เหตุใดเจ้าหมัดถึงได้มาอยู่บนตัวของซูหวานหว่านน่ะเหรอ?
คงเป็นเพราะนางสวยและมีเสน่ห์ดึงดูดพวกสัตว์น่ะสิ
…อ่า…ไม่ใช่หรอก
แต่เรื่องที่นางสวยเป็นเรื่องจริงนะ!
ความจริงแล้วซูหวานหว่านแค่บังเอิญเห็นหมัดที่เกาะอยู่บนตัวของเหมี่ยวอี้เซิง นางที่อยากรู้เรื่องราวส่วนตัวของเหมี่ยวอี้เซิงจึงแอบเรียกหมัดตัวนั้น หญิงสาวเสียเลือดเพียงแค่หยดสองหยดเพื่อเป็นการตอบแทน แต่สิ่งที่ได้กลับมา นับว่ามันเป็นความลับที่ลับที่สุดในชีวิตของเหมี่ยวอี้เซิง
สีหน้าของแม่เจิ้นฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนทำเพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ กลับมา นางหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ลูกคนเล็กทั้งสองออกจากห้องไปเสียก่อน เมื่อน้องเล็กทั้งสองเดินออกไปแล้ว นางจึงหันมาจับมือซูหวานหว่านและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลระคนสงสัย “หวานหว่าน บอกความจริงแม่มาเถอะ แม่จะได้หาวิธีรับมือจากคนอื่น ๆ ในตระกูลได้ถูก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของหญิงสาวก็รู้สึกพองโต
ซูจิ่นเฉียงเองก็รบเร้าให้น้องสาวพูดความจริงออกมาเช่นกัน “ข้าเห็นด้วยกับท่านแม่นะ หวานหว่านบอกความจริงกับพวกเราเถอะ เราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา ตอนนี้ท่านย่ายังหลับอยู่ อีกเดี๋ยวนางตื่นคงจะมาหาเรื่องเราเป็นแน่”
“แม้แม่เฒ่าใหญ่แห่งตระกูลซูจะตื่นขึ้นมา นางก็ไม่มาหาเรื่องข้าหรอก” ซูหวานหว่านยิ้มเยาะเมื่อนึกถึงหน้าของแม่เฒ่าเจี๋ย
เมื่อซูหวานหว่านพูดจบทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“โถ่…ท่านแม่ ท่านพี่…พวกท่านไม่ต้องกัวลไปหรอก มีใครบางคนเคยพูดกับข้าไว้ว่าไอ้เศษสวะเหมี่ยวนั่นก็เป็นแค่ถุงเงินถุงทองสำหรับแม่เฒ่าเจี๋ยเท่านั้น ส่วนห่อผ้าของหมั้นก็คงถูกหนูสักตัวขโมยมาอีกทีนั่นแหละ สงสัยมันคงอยากให้ข้าได้เปิดเผยความจริงล่ะมั้ง มันเลยเอามาวางให้ข้าเห็น” นางยิ้ม
“ที่เจ้าพูดมามันจริงเหรอ” ทั้งซูจิ่นเฉียงและแม่เจิ้นต่างก็ไม่เชื่อคำพูดของซูหวานหว่าน
“จริงสิ จริงเสียยิ่งกว่าทองคำซะอีก เอาล่ะ ตอนนี้เรามาพูดเรื่องแยกครอบครัวกันต่อดีกว่า”
ซูหวานหว่านพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหวังให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุขกว่านี้ นางจึงไม่ลดละความพยายามในการพูดหว่านล้อมท่านแม่เรื่องการแยกครอบครัว
ซูจิ่นเฉียงเปรยตามองผู้เป็นแม่ เขาเริ่มมีความคิดที่อยากจะแยกครอบครัวขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน
แม่เจิ้นเม้มปากแน่น น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองของนาง นางเอาแต่ร้องไห้เงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำใด
ซูหวานหว่านได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ
“หวานหว่าน หากจะพูดเรื่องแยกครอบครัว ไว้รอท่านพ่อกลับมาก่อนเถอะ” ในที่สุดแม่เจิ้นก็พูดออกมาพร้อมกับถอดถอนหายใจ
“อ่า…แล้วก็…”
“เรื่องของท่านย่าของลูก…”
“นางมีทั้งลูกชายแล้วก็หลานชายที่คอยปรนนิบัติ คนนอกคอกอย่างพวกเรานางไม่สนใจหรอก หากไปข้องแวะกับนางมีแต่จะทำให้นางรำคาญใจ…” แม่เจิ้นยังพูดไม่ทันจบ ซูหวานหว่านก็ขัดขึ้นมา “ตอนนี้ท่านย่าไม่ค่อยสบาย ดังนั้นวันนี้เราไม่ต้องไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับพวกเขาหรอก เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเข้าครัวเอง”
โดยปกติคนตระกูลซูไม่ได้แยกกันกินข้าว ทุกคนจะต้องกินอาหารร่วมกันพร้อมหน้ากันทุกคน โดยมีแม่เฒ่าเจี๋ยเป็นคนควบคุมการแบ่งปันอาหารและวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งหมด นางจะเป็นคนแจกจ่ายอาหารในแต่ละมื้อให้แต่ละครอบครัวด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าครอบครัวของลุงใหญ่และลุงสองมักได้อาหารที่ดีและมีปริมาณมาก อีกทั้งพวกเขายังสามารถตุนวัตถุดิบในการทำอาหารไว้ได้ตามใจชอบอีกด้วย
ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาเป็นที่รักของแม่เฒ่าเจี๋ยน่ะสิ
ส่วนครอบครัวสามของซูหวานหว่านอย่างงั้นหรือ หึ หึ บ้านโล่งและสะอาดเกินไปจนไม่เป็น ‘ที่ชื่นชอบ’ ของพวกหนูเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ตระกูลซูไม่ได้รับประทานอาหารร่วมกันเท่าไหร่นัก เนื่องจากแม่เฒ่าเจี๋ยมักจะป่วยอยู่เสมอ และเวลาป่วยนางจะไม่สามารถแจกจ่ายอาหารได้ ทุกคนจึงเดือดร้อนตาม ๆ กันไป แม้ครอบครัวลุงใหญ่และลุงรองอยากจะออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร เพราะเกรงว่าแม่บังเกิดเกล้าของพวกเขาจะเกิดโมโหขึ้นมา
แม่เจิ้นถอนหายใจอีกครั้งโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
ซูหวานหว่านรู้ดีว่าตอนนี้นางคิดสิ่งใดอยู่ นางกำลังคิดว่าครอบครัวนางอาจจะอดตาย เพราะตอนนี้ที่บ้านของนางไม่มีอาหารเหลืออยู่เลย! อีกทั้งแม่เฒ่าเจี๋ยยังมาล้มป่วยจนไม่สามารถแจกจ่ายอาหารให้ใครได้อีก ทุกวันนี้ครอบครัวของนางกินแค่ผักก้อนนึ่งแป้งประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น
อื้ม ซูหวานหว่านจงใจให้ครอบครัวนางเป็นเช่นนี้เอง แต่นางจะไม่ยอมให้ครอบครัวของนางกินแต่ผักป่าแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรอก!
ซูหวานหว่านตัดสินใจออกจากห้องเพื่อไปทำอาหารแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าซูต้าเฉียง ผู้เป็นพ่อที่ผลักประตูห้องเข้ามาอย่างรีบร้อน “ท่านแม่… ข้า ข้า”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซูต้าเฉียงไล่สายตาไปยังแม่เจิ้นกับซูจิ่นเฉียง จากนั้นก็มองซูหวานหว่านก่อนจะพูดออกมา “ท่านแม่ป่วย…ตอนนี้พี่ใหญ่และพี่รองได้ตัดสินใจว่าจะพาท่านแม่ไปหาหมอในเมือง…”
แม่เจิ้นไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทว่าซูจิ่นเฉียงและซูหวานหว่านสบตากันอย่างรู้ทันว่าบิดาของตนจะพูดสิ่งใดต่อ สองพี่น้องพากันส่ายหัวด้วยความเบื่อหน่าย แววตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและความเยาะเย้ย
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสียด้วย! ซูต้าเฉียงพูดโดยไม่สนใจคนรอบข้าง “ให้ตายเถอะ ปิ่นปักผมเงินยังอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่? เอามาให้ข้าที ข้าจะนำมันไปเป็นค่ารักษาท่านแม่”
แม่เจิ้นเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังสามีด้วยความโกรธจัด
“แต่นั่นมันเป็นสินเดิมเพียงชิ้นเดียวที่ข้าเหลืออยู่นะ!”
ซูต้าเฉียงไม่กล้าสบตาภรรยาตรง ๆ เขาถูมือไปมาอย่างร้อนรนและเอ่ยต่อไป “แต่ท่านแม่ป่วยหนักมาก พี่ใหญ่และพี่รองบอกว่า…”
“ท่านพ่อเป็นลูกคนเดียวของท่านย่าหรอกหรือ? ลูกคนอื่นก็มีแต่กลับไม่เห็นมีใครเดือดร้อนเช่นท่านเลย หากท่านย่าป่วยอย่างไรเสียก็ใช้เงินของท่านปู่จ่ายก็ได้นี่ ท่านปู่มีเงินเยอะไม่ใช่หรือ ดังนั้นท่านจะกังวลไปทำไมกัน?”
ซูหวานหว่านโพล่งขึ้นขัดผู้เป็นพ่อ นางผิดหวังในตัวเขามากจริง ๆ
เขาเป็นคนตาบอดหรืออย่างไรกันถึงมองไม่เห็นว่าครอบครัวของเขาไม่มีเงินและอาหารหลงเหลืออยู่เลย เขาไม่ห่วงภรรยาและลูกของเขาเลยหรือว่าพวกเขาจะหิวหรือไม่ เขาเป็นคนหูหนวกหรืออย่างไรถึงไม่เคยรับรู้และได้ยินว่าคนในตระกูลหลักดูถูกเขาและครอบครัวเพียงใด
ซูต้าเฉียงกระแอมกระไอเมื่อได้ยินซูหวานหว่านพูด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงถืออำนาจของการเป็นพ่ออยู่ “เจ้ากล้าพูดจากับพ่อของเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“แล้วหวานหว่านพูดผิดตรงไหนล่ะ?” แม่เจิ้นพูดขึ้นพลางจ้องไปยังสามีของตนด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าแต่งงานกับท่านมาก็หลายปีดีดัก จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยเห็นพี่สะใภ้ทั้งสองใช้สินสอดเดิมเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัวเลย แล้วเหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย?”
ยิ่งแม่เจิ้นพูดออกไปมากเท่าใด ความรู้สึกโกรธของนางก็ยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น “ท่านลองมองให้ดี ดูสิว่ามีข้าวสักเม็ดเหลืออยู่ภายในบ้านหลังนี้หรือไม่! เคยคิดบ้างไหมว่าพวกเรากับลูก ๆ จะอยู่กันอย่างไร จะกินอะไรและจะรู้สึกแบบไหน!” ในขณะที่เอ่ยออกมาแต่ละคำนั้น น้ำตาก็ยังไหลรินออกมาเรื่อย ๆ นางก็ไม่ได้คิดที่จะเช็ดมันออกแต่อย่างใด
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของซูต้าเฉียง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าภรรยาของเขาจะแสดงความโกรธออกมาแบบนี้ “นี่..เจ้ากำลังพูดถึงอะไรอยู่?”
แม่เจิ้นสูดหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังในตัวสามี “ข้าพอแล้ว…ข้าไม่ต้องการมีชีวิตแบบนี้อีกต่อไป พอกันที เราหย่ากันเถอะ ลูก ๆ ข้าจะเป็นคนดูแลพวกเขาเองเหมือนอย่างที่ข้าเคยทำมาตลอด!”