บทที่ 6 บุคคลประหลาด
เสียงอันนุ่มนวลราวกับสายน้ำไหลของเขาดังขึ้นท่ามกลางความตกใจของหญิงสาว
ซูหวานหว่านชะงักไปชั่วครู่ สองสายตาสบประสาน
เพียงพริบตาเท่านั้น…ที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ก็ได้มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของหญิงสาว
ใบหน้าดุจดั่งเทพเจ้าบรรจงสร้าง งดงามราวกับหยก…
หากซูหวานหว่านคาดการณ์ไม่ผิด ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าคงจะมีอายุมากว่าตนเพียง 2-3 ปีเท่านั้น
สายตาร้อนแรงของหญิงสาวที่จ้องมองมาทำเอาชายหนุ่มใจสั่นระรัว
“หญิงขี้เหร่ เจ้ามองข้าทำไมกัน!” เขารีบเอ่ยกลบเกลื่อน
อะไรนะ! ข้าน่ะเหรอขี้เหร่!!
เมื่อสติของซูหวานหว่านหวนกลับคืน จึงจ้องไปยังชายหนุ่มและเอ่ยขึ้นว่า “เจ้านั่นแหละขี้เหร่! เป็นตัวเจ้าเองที่เข้าไม่ถึงความงดงามของข้า พูดจาไร้สาระสิ้นดี!”
หญิงสาวพลันรู้สึกว่าตนเองอยู่ใกล้กับชายหนุ่มมากเกินไป บุรุษลึกลับตรงหน้าจ้องมองสบตานาง นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายราวจันทรายามค่ำคืน มองดูแล้วน่าหลงไหล ฝ่าเท้าของนางขยับเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว
“จะ..เจ้ากล้าดียังไง!”
ชายหนุ่มผงะก้าวถอยหลัง แต่กลับเป็นซูหวานหว่านที่รวดเร็วกว่าคว้าคอเสื้อของเขาไว้ได้ทัน นางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ หญิงสาวมองอยู่อย่างนั้นจนหูของชายหนุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจึงปล่อยคอเสื้อและส่งยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ “หึ เห็นชัดหรือยัง…ว่าข้าไม่ได้ขี้เหร่” ว่าจบก็ยักคิ้วส่งให้ราวกับผู้ชนะ
ชายหนุ่มมองซูหวานหว่านก่อนหันกลับไปมองโสมนั้นอีกครั้งพร้อมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “โสมนี้เป็นของข้า หากเจ้าอยากได้ก็ไปหาเอาที่อื่น”
ครั้นพูดจบก็ก้มลงไปดึงโสมขึ้นมาจากดิน
“เจ้าจะดึงมันขึ้นมาง่าย ๆ เช่นนี้เลยเหรอ” หญิงสาวกลอกตาไปมาเชิงไม่พอใจ นางหันไปหักกิ่งไม้ใช้มันปัดดินรอบ ๆ โสมด้วยความระมัดระวัง
“นี่เจ้าจะขโมยของของข้าจริง ๆ ด้วย!” ชายหนุ่มขมวดคิ้วกำมือแน่น
ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นและมองท่าทีของเขา “อะไร?! ทำท่าทางแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังคิดจะทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ คิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้?! เอาล่ะ ข้าจะบอกอะไรให้นะ ข้าน่ะเอาชนะพวกไก่อ่อนอย่างเจ้าได้ง่าย ๆ เชียวล่ะ!” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ
ถ้าความสามารถพิเศษของนางจากโลกที่แล้วยังอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้คงไม่มีโอกาสได้มายืนทำหน้าหยิ่งยโสใส่นางเช่นนี้หรอก
ชายหนุ่มเกิดความสงสัยว่า ‘ไก่อ่อน’ คืออะไร? แต่นั่นคงไม่ใช่ความหมายที่ดีแน่ ๆ เขาขมวดคิ้วพลางหันไปคว้าต้นโสมและดึงมันออกจากพื้นอย่างแรง
แล้วมันก็ขาดออกจริง ๆ! แบบนี้จะทำให้ราคาของโสมลดลง!
“เจ้าไปให้พ้นเลยนะ!” นางแผดเสียงดังลั่น
“สตรีอย่างเจ้าทำไมถึงหยาบคายเช่นนี้!!” คงเป็นครั้งแรกที่มีคนทำกิริยาเช่นนี้ใส่เขา
“เจ้าไม่รู้เหรอว่าการเป็นคนปากร้ายจะทำให้ชีวิตสบายขึ้น”
อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็เป็นเครื่องยืนยันว่าความคิดของหญิงสาวถูกต้อง
ชายหนุ่มชะงักไป เขาสงสัยว่าหญิงสาวตรงหน้าพบเจอสิ่งใดมาจึงมีความคิดเช่นนี้ หลังจากลอบมองการแต่งตัวของหญิงสาว จึงพบว่าอาภรณ์ที่นางสวมใส่เต็มด้วยรอยปะและรอยขาดรุ่งริ่ง ความเห็นใจเลยพลันฉายชัดในสายตาของเขา
“เฮ้อ…ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ โสมนี้ข้ายกให้”
ซูหวานหว่านไม่ได้รู้สึกยินดีที่เขามอบมันให้แก่ตน เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะกลับไปโดยที่ไม่เอาโสมกลับไปด้วย หากลองคิดไตร่ตรองดูแล้ว… ถ้านางนำโสมกลับไปคนเดียวคงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก “ทำไมเราไม่แบ่งกันคนละครึ่งเสียล่ะ?”
ชายหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิด แท้จริงแล้วเขาก็ต้องการเงินเหมือนกัน เพราะต้องนำไปซื้อหมึก กระดาษ ไหนจะแท่นฝนหมึกอีก ชายหนุ่มพยักหน้าตกลง “เช่นนั้นก็ได้”
เมื่อตกลงกันได้ชายหนุ่มก็ทำท่าจะลงมือขุดโสมต่อทันที แต่ซูหวานหว่านรีบคว้ามือเขาไว้ สัมผัสร้อนผ่าวบนแขนชายหนุ่มทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจ
“ข้าทำเอง เจ้าอยู่เฉย ๆ ก็พอ!” ขืนนางปล่อยให้เขาขุดมีหวังโสมเสียหายจนขายไม่ได้แน่!
พูดจบซูหวานหว่านก็ลงมือขุดโสม ขุดอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้รากของต้นโสมมาครอบครอง ดวงตาของนางเป็นเปล่งประกายวาววับพึงพอใจกับผลงานตรงหน้า
ทว่ามีบ้างสิ่งค้างคาอยู่ในใจ
นางและเขาต้องแบ่งโสมกันคนละครึ่ง หากการตัดโสมออกเป็นสองส่วนจะทำให้ราคาของโสมต่ำลง มันไม่ง่ายที่จะต้องอธิบายกับแม่ของนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะบอกผู้เป็นแม่ได้อย่างไรว่าพวกหนูภูเขาบอกตัวเองว่ามีโสมอยู่ นางจึงไปขุดขึ้นมา ไหนจะเรื่องที่อยู่กับชายหนุ่มสองต่อสองในเวลาแบบนี้อีก แค่คิดก็ปวดหัวไม่น้อย…
ในตอนที่ความคิดในหัวของหญิงสาวตีกันวุ่น ชายหนุ่มที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ข้าจะให้เจ้านำมันไปขาย จากนั้นนำเงินมาแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”
“แล้ว…ข้าจะเจอเจ้าได้ที่ไหน”
“กระท่อมข้าง ๆ ต้นหลิวท้ายหมู่บ้าน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงห้าวห้วน
“แล้ว…ชื่อของเจ้า”
“แซ่ฉี”
เสียงของเขาผะแผ่วล่องลอยไปกับสายลม แผ่วเบาจนซูหวานหว่านได้ยินไม่ถนัดจนหมายหันกลับไปถามอีกรอบ ทว่าชายหนุ่มได้หายตัวไปแล้ว
ซูหวานหว่านเกาหัวด้วยความงุนงง ลองมานึกทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่หญิงสาวก็จำชื่อของชายหนุ่มไม่ได้เสียแล้ว
“แปลกชะมัด ใครอยากจะรู้ชื่อของเจ้ากัน เจ้านั่นมีแค่นามสกุลหรือไง เหตุใดต้องวางท่าทำตัวเป็นคนเย็นชาด้วยก็ไม่รู้” ซูหวานหว่านพูดด้วยความโมโห แต่โมโหไปมันก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบโสมขึ้นมาและรีบตรงดิ่งกลับบ้านไปพลันใด
เมื่อหญิงสาวมาถึงบ้านก็ได้พบกับแม่เจิ้นที่ยืนรออยู่บริเวณหน้าประตู นางมองมาที่ซูหวานหว่านอย่างตื่นตระหนกและรีบตะโกนให้แม่เฒ่าเจียงรีบออกมาดูลูกของนาง ซูหวานหว่านรู้สึกอบอุ่นหัวใจวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ “ท่านแม่! ข้ากลับมาแล้ว!”
“เจ้าไปไหนมา ข้าหาเจ้าไม่เจอจึงคิดว่าเจ้า….” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่พูดเอ่ยออกมาด้วยความกังวล
“ข้าเพียงแต่นอนไม่หลับเลยออกไปเดินเล่น นี่กำลังจะรีบกลับไปนอนแล้ว” ซูหวานหว่านตอบให้แม่ของนางคลายกังวล
แม่เฒ่าเจียงได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าขมึงตึงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าได้ยินเสียงคำรามของพวกเสือดังมาจากในป่า เจ้าต้องระวังให้มาก ๆ แต่จะดีกว่านี้ถ้าเจ้าจะไม่ออกไปข้างนอกในยามวิกาล”
“ขอบคุณแม่เฒ่าที่เป็นห่วง ต่อไปข้าจะระวังไว้” ซูหวานหว่านน้อมรับคำของหญิงชรา ก่อนจะพาแม่ของตนเดินเข้าไปในห้องนอน หญิงสาวรีบนำโสมไปซ่อนและล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้แม่เจิ้นยังคงนอนไม่หลับ นัยน์ตาของนางนั้นพร่ามัว นางคงกำลังคิดมากเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซูหวานหว่านสังเกตเห็นแววตาของผู้เป็นแม่ที่ดูเป็นกังวล จึงเดาได้ไม่ยากว่านางกำลังกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด “ท่านแม่ การที่เราไม่มีท่านพ่อมันทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นมาก ไม่ต้องคอยกังวลว่าท่านปู่จะมากลั่นแกล้งเราหรือไม่ ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองจะมาวุ่นวายกับเราอีกด้วย”
แม่เจิ้นหลับตาลง พลันน้ำตาไหลออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของลูกสาว “แม่รู้ตั้งแต่ออกมาแล้ว… ว่าแม่จะไม่มีวันกลับไปอีก แม่จะนำปิ่นเงินไปจำนำพรุ่งนี้ จากนั้นจะซื้อข้าวสารกลับมาแล้วลองปักผ้าขายเพิ่มขึ้น พวกเราจะได้มีเงินซื้ออาหารดี ๆ”
ซูหวานหว่านรู้ดี ว่าแม้สิ่งนั้นจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ทว่ามันคงไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของคนในครอบครัว แต่นางก็จำต้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ท่านแม่ไปต้องกังวลไป วันเวลาดี ๆ ของเราเพิ่งเริ่มต้น ท่านไม่ต้องห่วง วันข้างหน้าข้าจะทำให้ท่านได้เป็นฮูหยินใหญ่มีชีวิตสุขสบาย เมื่อท่านแม่ไม่พอใจเมื่อใดก็เขวี้ยงเงินเขวี้ยงทองใส่ใครก็ได้ คงจะดีหากจะทำให้คนพวกนั้นหุบปากด้วยเงินเพียงเล็กน้อยของเรา”
“โถ่ ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก” ผู้เป็นแม่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ซูหวานหว่านจึงขอให้แม่พานางเข้าไปในเมืองด้วย แต่แม่เจิ้นกลับตอบกลับอย่างเป็นกังวล “ถ้าหากจะไป พวกเราต้องนั่งเกวียนวัวไปนะ…แต่เราไม่มีเงินเลย”
หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงยิ้ม “ไม่เป็นไรท่านแม่ งั้นข้าติดหนี้ไว้ก่อน และค่อยจ่ายคืนทีหลัง เป็นไง!”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะลูกสาวข้า” แม่เจิ้นพยักหน้ารับ ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ จนผล็อยหลับไป
อรุณรุ่งเช้าวันใหม่ ณ ชั่วยามที่แสงอาทิตย์เพิ่งส่องสว่างขึ้นเพียงเล็กน้อย สองคนแม่ลูกตื่นได้ขึ้นมาแล้ว และกำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางเข้าเมือง ทว่าขณะที่พวกเขาเปิดประตูออกมาก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้า ด้วยพบซูต้าเฉียงยืนพิงประตูอยู่ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นผู้เป็นภรรยา เขาก็รีบดึงนางเข้ามาหาอย่างร้อนรน
ดวงตาของแม่เจิ้นที่จดจ้องไปยังผู้เป็นสามี มีประกายแห่งความหวังจุดขึ้นบางเบา แต่ทันใดซูต้าเฉียงก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีฉุนเฉียว “บัดซบเอ้ย! นี่ข้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันเลย เจ้ารีบไปทำกับข้าวให้ข้าสิ เร็วเข้า!!”
คำพูดเหล่านั้นได้เสียดแทงไปในใจของแม่เจิ้นดั่งน้ำอันเย็นเฉียบ นางนั้นโกรธจนตัวสั่นก่อนจะผลักสามีให้พ้นทาง “ลองกลับไปดูที่บ้านสิ ที่นั่นไม่มีข้าวเหลือสักเม็ด ขนาดพวกหนูยังไม่อยากที่จะเข้าไปในบ้านของเราเลย จะเอาอาหารที่ไหนไปทำให้ท่านกัน”
ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาท่ามกลางความโกรธจัด นางรู้สึกว่าการตัดสินใจของนางเป็นเรื่องที่ถูกต้อง “อ่อ…ไม่สิ ไม่ใช่บ้าน ‘ของเรา’ แต่เป็นแค่ ‘ของท่าน’ หากข้ากลับมาจากในเมืองแล้ว ข้าจะไปหาใครสักเพื่อมาร่างจดหมายหย่าให้ท่าน” แม่เจิ้นตอกกลับผู้เป็นสามีอย่างไม่ใยดี
ซูต้าเฉียงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา “เจ้า…ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น ข้าทำให้เจ้าผิดหวังตรงไหนถึงทำให้เจ้าหนีออกจากบ้าน รีบพาพวกเด็ก ๆ กลับบ้านได้แล้ว ในฐานะแม่ เจ้าก็แค่ต้องยอมรับความผิดของตัวเอง ท่านแม่ของข้าจะต้องให้อภัยเจ้าเป็นแน่”
“เฮอะ… ผู้หญิงฉลาดเขาไม่ทำอาหารทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้าวหรอก ท่านแม่ก็พูดชัดเจนแล้วว่าที่นั่นไม่มีข้าวเหลือสักเม็ด! ท่านยังจะให้ท่านแม่ของข้ากลับบ้านไปทำอาหารให้อีก นี่ท่านพ่อหูหนวกหรือตาบอดกัน?” ซูหวานหว่านโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยแรงโทสะ
เมื่อนั้นฝ่ามือแกร่งของผู้เป็นพ่อได้สะบัดเข้าที่หน้าของซูหวานหว่านอย่างเต็มแรง
เพี๊ยะ!!