บทที่ 9 อับอายขายขี้หน้า
ซูหวานหว่านมองหญิงสาวตรงหน้า ริมฝีปากกระตุกยิ้มอย่างเย็นชาออกมาในทันที นี่มัน ‘ฮวงอี๋ฮวน’ หลานสาวของฮวงชุ่นเจิน ยามปกติที่ฮวงอี๋ฮวนไม่มีสิ่งใดทำ สิ่งที่นางทำอยู่เสมอคือการรังแกซูหวานหว่าน ซึ่งน่ารำคาญพอ ๆ กับฮวงชุ่นเจินน้าสาวของนางเลย!
ซูหวานหว่านถอนหายใจ ทำหน้ามุ่ย คว่ำปากพร้อมเอามือข้างหนึ่งปิดจมูก และยกมืออีกข้างปัด ๆ ไปมาตรงหน้าเชิงรังเกียจ
“เจ้ากำลังทำอะไร?” ฮวงอี๋ฮวนใคร่สงสัย
“ข้าเหม็นน่ะ เหม็นมาก เจ้ากินอะไรเข้าไปบ้างเนี่ย เหม็นอย่างกับ…ของเน่าเสีย ทุกครั้งที่เจ้าเอ่ยปาก มันทำให้ข้าตกใจทุกครั้ง” ซูหวานหว่านเอ่ยทำท่าทำทางอย่างกับจะเป็นลมเสียให้ได้
เมื่อฮวงอี๋ฮวนได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็ขมึงทึงขึ้นมาด้วยความโกรธจัด ส่วนชาวบ้านบริเวณนั้นต่างพากันขำให้กับมุกตลกร้ายของซูหวานหว่าน
“พวกเจ้า! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาหัวเราะเยาะข้านะ!” ฮวงอี๋ฮวนกรีดร้อง
ในขณะเดียวกันหลี่ฉือโทวก็ท้วงขึ้นมาเพราะจะต้องนำรถเกวียนเข้าเมืองให้ทันเวลา
“แม่นางฮวง เจ้าจะขึ้นมาหรือไม่ หากเจ้าไม่ขึ้นข้าจะออกเกวียนแล้วนะ”
ฮวงอี๋ฮวนจำต้องหยิบเหรียญทองแดงออกมาสองสามเหรียญเพื่อนำมันมาจ่ายค่ารถ นางจ้องซูหวานหว่านราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ข้าจะไป! แต่เจ้าต้องไล่นังซูหวานหวานและแม่ของมันลงมาก่อน!! เพราะข้าจะไม่นั่งรวมกับพวกขอทาน ข้าไม่อยากลดฐานะของตัวเองหรอกนะ!”
หลี่ฉือโทวที่ได้ยินคำดูถูกพลันนึกถึงยามตนเองเคยถูกผู้คนดูหมิ่นมาก่อน เขาจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ฝังใจและเกลียดคนประเภทนี้เป็นที่สุด
คนพวกนั้นไร้สิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์! เขาไม่อยากจะได้เงินจากคนความคิดโสมมมเฉกเช่นนาง “แม่นางฮวง ข้ารู้ว่าเจ้ามีเงิน ในเมื่อเจ้ามีเงินถึงเพียงนั้นก็เชิญเจ้าเดินทางด้วยพาหนะที่สมฐานะเจ้าเถิด เกวียนของข้าทั้งเหม็นและสกปรกไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก”
“ฮึ่ม!” ฮวงอี๋ฮวนพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ นางกำลังรู้สึกว่าคนบังคับเกวียนกำลังไล่นางทางอ้อม ทว่าด้วยความที่ค่ารถม้านั้นแพงกว่าเกวียนหลายเท่า นางจึงไม่คิดยอมเสียเงินมากขนาดนั้นหรอก!
แต่นางเพิ่งแสร้งทำตัวร่ำรวย ดังนั้นหากจะให้ขึ้นเกวียนนี้… นางคงมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ทว่าหากจะให้ขึ้นรถม้าก็เกรงว่าเงินคงจะไม่พอ นางยังต้องเก็บเงินไว้ซื้อดอกไม้อีก!
“ข้าจะทนนั่งไปกับเจ้าก็ได้…” หญิงสาวตอบอย่างไม่เต็มใจ
ฮวงอี๋ฮวนรีบปีนขึ้นเกวียน ซูหวานหว่านเห็นเช่นนั้นจึงหลับตาลงและพึมพำบางอย่าง พลันใดวัวก็ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ด้วยเหตุนี้ฮวงอี๋ฮวนที่เพิ่งขึ้นเกวียนมาจึงทรงตัวไม่อยู่และล้มลงในอ้อมแขนของชายผู้หนึ่งบนเกวียน
ฮวงอี๋ฮวนเบ้หน้าด้วยความรังเกียจยามได้กลิ่นเหงื่อโชยออกมาจากชายผู้นั้น นางรีบลุกขึ้นพลางปัดเนื้อปัดตัวอย่างขยะแขยง ชี้มือไปยังชายคนนั้นและก่นด่า “ไอ้ขอทาน! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงฉวยโอกาสแตะต้องตัวข้า!”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ จึงยืนขึ้นเอ่ยแทรกขึ้นอย่างขัดเคือง “ขอโทษนะแม่นาง เจ้าล้มลงก็เพราะเสียการทรงตัว ชายผู้นี้ช่วยประคองเจ้าเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เหตุใดเจ้าถึงกล่าววาจาไร้ยางอายอย่างนั้นกัน เขาไม่ควรช่วยเจ้าเอาไว้เลย สู้ปล่อยให้หน้าสวย ๆ เจ้าไถไปกับพื้นเสียยังดีกว่า!”
เป็นความจริงที่ฮวงอี๋ฮวนเองก็เถียงไม่ได้ และเพราะไม่มีคนติดตามมาด้วย นางจึงทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ปิดปากเงียบ ก่อนจะเริ่มมองหาที่นั่ง
ฮวงอี๋ฮวนสอดส่ายสายตามองหาที่ว่าง แต่ไม่มีที่ว่างให้นางเว้นก็แต่ที่พื้นที่ว่างข้างซูหวานหว่าน หญิงสาวจึงจำใจนั่งลงตรงที่ว่างนั้น
กระนั้นซูหวานหว่านกลับไม่ยินยอมให้นางหย่อนก้นลงมา
“นี่เจ้า! นั่งดี ๆ ได้หรือไม่ ทำไมถึงไม่ให้ข้านั่งด้วย” ฮวงอี๋ฮวนร้องแหลมแสบหู
“ใช่! เจ้ามีปัญหาใดงั้นหรือ ไม่แน่ข้าอาจจะวางไข่ไว้ก็ได้” ซูหวานหว่านตอบกลับอย่างเริงร่า ก่อนนำมือวางไว้ตรงที่ว่าง หากแต่ฮวงอี๋ฮวนหาได้สนใจไม่ นางทิ้งตัวนั่งทับมือของซูหวานหว่าน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความบูดบึ้ง ซูหวานหว่านจึงดึงมือของตนออกมา ทำให้ฮวงอี๋ฮวนเชิดหน้าขึ้นและยิ้มออกมาราวกับผู้ชนะ
ถึงอย่างไรแม่นางฮวงก็นั่งลงอยู่ดี คนอย่างซูหวานหว่านจะเปลืองแรงสู้กับคนเช่นนี้ไปทำไม
ฮวงอี๋ฮวนส่งยิ้มเย้ยหยันใส่ซูหวานหว่านอย่างสะใจ
‘สะใจให้พอเถอะฮวงอี๋ฮวน…’
เกวียนเคลื่อนตัวอีกรอบ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปฮวงอี๋ฮวนก็สะดุ้งตัวโยนและลุกขึ้นยืนพลางเอามือกุมบั้นท้ายเอาไว้ “โอ๊ยย!!”
ซูหวานหว่านเลิกคิ้วลอบสังเกตคนอื่น ปรากฏว่าทุกคนไม่ได้สนใจมองทางนี้ นางจึงใช้มือปัดหนามออกไปข้าง ๆ และเหลือบมองก้นของอีกฝ่าย ก่อนพบว่ากระโปรงบริเวณก้นของอี๋ฮวงปรากฏจุดแดง ๆ สองจุดซึมออกมา
ก็บอกแล้ว…ว่าจงสะใจเสียให้พอ
ซูหวานหว่านค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ได้เห็น ส่วนฮวงอี๋ฮวนก็ตัดสินใจเดินไปนั่งข้าง ๆ แม่เจิ้นแทน แม่เจิ้นจึงเขยิบให้นางนั่งอย่างใจกว้าง “นั่งลงเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าพวกเรารังแกเจ้าอีก”
“ไม่ต้องมาสั่งข้า พวกขอทาน!”
ซูหวานหว่านรู้สึกมีความสุขเมื่อมองไปยังฮวงอี๋ฮวนที่กำลังนั่งเอามือกุมบั้นท้าย แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีหนามอยู่ตรงนี้ หากแต่หนามนี้ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษจากพวกหนูตัวเล็ก ๆ ซึ่งคมหนามถูกเคลือบเอาไว้ด้วยพริกไทย มันจึงจะทำให้นางรู้สึกแสบร้อนไปตลอดทาง
แม่เจิ้นรู้สึกไม่ชอบใจกับคำว่าขอทานที่ฮวงอี๋ฮวนลั่นวาจา อีกทั้งยังหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางและซูหวานหว่านสวมใส่ ทว่านางก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ ไปตลอดทาง
การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งพระอาทิตย์ส่งแสงสว่างจ้าเหนือหัวจึงมาถึงตัวเมืองเสียที …เมื่อถึงที่หมาย สองแม่ลูกที่ก้าวลงจากเกวียนก็เหลือบไปเห็นฮวงอี๋ฮวนเพิ่มเงินให้กับคนบังคับเกวียน “ข้าเพิ่มให้เจ้า”
คนตระกูลฮวงกล้าใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งทั้งที่เงินของตระกูลฮวงก็ร่อยหรอเต็มที ใคร่รู้จริง ๆ ว่านางจะเสแสร้งทำตัวฟุ้งเฟ้อไปได้ถึงเมื่อใดกัน
หลี่ฉือโทวส่ายหัวยัดเงินคืนใส่มือฮวงอี๋ฮวน “แม่นางฮวง…เจ้าเก็บมันไว้เถิด”
“เจ้ารับไปเถอะ ลืมไปแล้วหรือว่ายังมีคนไม่จ่ายค่าโดยสารให้แก่เจ้า ข้ากำลังจ่ายแทนพวกเขาอยู่!” ฮวงอี๋ฮวนปรายตามองไปซูหวานหว่าน เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตนกำลังพูดถึงนาง
ซูหวานหว่านเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ พลันก็ได้ยินหลี่ฉือโทวพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงต้องจ่ายเพิ่มอีก 4 เหรียญทองแดง”
ว่าอย่างไรนะ! เงินแค่นี้ไม่พอหรอกหรือ?
เดิมทีนางไม่ค่อยจะเต็มใจมอบเงินให้แก่ผู้ใดเท่าไรนัก หากเงินเหลือไม่มากพอ นางจะหาของกินรสเลิศได้อย่างไร หญิงสาวรีบชักมือกลับ “แค่ให้ข้าจ่ายเงินแทนพวกนางก็แย่พอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงเรียกร้องจากข้าอีก ทำไมไม่ไล่พวกนางไปตั้งแต่แรก!”
“ที่แท้เจ้าก็แสร้งทำเป็นมีเงิน! หากไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นจะยังอวดรวยไปอยู่เพื่ออะไรกัน ช่างน่าไม่อายเสียจริง ๆ” ซูหวานหว่านบ่นด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนที่นางจะยื่นเงินแก่หลี่ฉือโทว 6 เหรียญทองแดง ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจและเห็นใจ “ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของเจ้าทั้งสองคนในตอนนี้ไม่ดีนัก ฉะนั้นแล้วจงเก็บมันไว้ใช้ก่อนเถอะ คราวหน้าค่อยนำมาคืน”
หลังจากที่คนขับเกวียนตอบกลับมาเช่นนั้น ซูหวานหว่านก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและเก็บเงินของตนกลับไป “พวกข้าขอบคุณท่านมาก ในอนาคตหากข้าร่ำรวยข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
หลี่ฉือโทวขอตัวกลับก่อน ด้านแม่เจิ้นที่กำลังสงสัยมาตลอดเกี่ยวกับเรื่องปิ่นปักผมว่าลูกสาวของนางรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไหนจะเงินจำนวน 6 เหรียญทองแดงอีก นี่นางไปเอามันมาจากที่ใดกัน?
ซูหวานหว่านสังเกตเห็นว่าแม่ของตนกำลังมองมาที่นางด้วยความสงสัย “ท่านแม่กำลังสงสัยข้าอยู่ใช่หรือไม่ ประการแรกเงิน 6 เหรียญทองแดงข้าขุดเจอที่สวนเมื่อนานมาแล้ว เรื่องปิ่นปักผมข้าเพียงสสับเปลี่ยนเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิด และนำมีดไปใส่แทน… เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
“จริงรึ?” แม่เจิ้นก็ยังรู้สึกยากที่จะเชื่อ
“ทั้งหมดเป็นความจริง!” ซูหวานหว่านนำปิ่นปักผมออกมาจากห่อผ้าข้างตัวและมอบให้กับผู้เป็นแม่ เพื่อพิสูจน์ให้นางเห็นว่าสิ่งที่พูดออกไปทั้งหมดมันเป็นความจริง จากนั้นหญิงสาวจึงเปิดห่อผ้าที่ห่อบางสิ่งเอาไว้และเตรียมยื่นให้แม่ของตนดู “ท่านแม่ ข้าว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ปิ่นนำไปแลกเงิน ข้ามีสิ่งของที่มีค่ามากกว่านั้น”
เหล่าหนูภูเขาได้บอกหญิงสาวไว้ว่าโสมนี้อยู่ที่บริเวณหลังภูเขาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นทวด ตอนนี้มันน่าจะมีอายุราว ๆ 50 – 60 ปี ดังนั้นราคามันจึงสูงมาก
“แล้วของมีค่าที่เจ้าว่ามันคืออะไรกันล่ะ?”
“เดี๋ยวท่านก็จะได้เห็นเอง” ถ้าบอกท่านแม่ว่านางมีโสมอยู่กับตัวในตอนนี้แล้วล่ะก็ ท่านแม่คงจะตกใจจนซักถามนางไม่หยุดเป็นแน่
ซูหวานหว่านพาแม่เจิ้นเดินมายังร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ‘ร้านขายยาเหลินเฮอ’ เพื่อราคาที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล นางจึงตัดสินใจเอาโสมมาขายที่นี่ วันนี้คนเนืองแน่นอยู่เต็มหน้าร้าน ทำให้ซูหวานหว่านต้องเบียดเสียดตัวเองและแม่ของตนเข้ามาในร้านอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มที่เฝ้าหน้าร้านเมื่อเห็นทั้งสองคนจึงพูดขึ้นอย่างขี้เกียจว่า “ร้านของเราไม่มีบริการรักษาผู้ยากไร้” พูดเสร็จเขาก็หาววอดออกมาอย่างเบื่อหน่าย
ท่าทางและคำพูดเหล่านั้นทำให้ซูหวานหว่านเกิดอาการโกรธเคืองและไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ว่านางสองแม่ลูกแต่งตัวซอมซ่อยากจนก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางควรถูกปฏิบัติด้วยกิริยาไร้มารยาทเช่นนี้ ถึงจะยากดีมีจนเพียงแค่ไหน พวกเขาก็ต้องขายยาและให้คำปรึกษาแก่นางไม่ว่ามากหรือน้อย
ด้วยความโมโหนางจึงเหวี่ยงห่อผ้าสีดำและวางมันลงบนโต๊ะหน้าอีกฝ่าย “ไปเรียกเถ้าแก่ร้านมา ข้าต้องการนำของมาขาย!”