ตอนที่ 108 ล้มการพนัน
ซูหวานหว่านคิดจะล้มการเดิมพันในครั้งนี้! เมื่อถึงเวลานางตั้งใจจะให้ตัวเองไม่ผ่านบททดสอบแรก เช่นนั้นแล้วเงินเดิมพันที่พวกเขาลงไปจะทำอย่างไร!? ทุกคนต่างตกตะลึงไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“พวกเจ้าจะกังวลอะไร? คนที่ลงเดิมพันว่าข้าไม่ผ่านก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว อีกอย่างข้าก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองแพ้หรอก ไม่อย่างงั้นเจ้าของร้านเสียหายแน่” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างนุ่มนวล แต่ทุกคนกลับคิดว่ามันอันตรายมาก
โดยเฉพาะสือเป้ยเอ๋อร์ที่เพิ่งวางเงินเดิมพันไป 100 ตำลึง ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
ซูหวานหว่านระบายยิ้มออกมา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหน้าด้านเพียงคนเดียว นางเองก็หน้าด้านได้ด้วยเหมือนกัน!
ทุกคนบ่นพึมพำออกมา เมื่อธูปมอดลงสือเป้ยเอ๋อร์ก็ประกาศเริ่มการแข่งขัน จากนั้นจึงพาผู้คนไปที่ห้องครัวเพื่อเลือกวัตถุดิบมาปรุงอาหาร และประกาศให้เริ่มลงมือทำอาหารได้
ซูหวานหว่านเลือกวัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหารอย่างนิ่งเฉย ดูไม่ได้รีบร้อนอะไร นางส่ายหัวไปมาราวกับว่าไม่พอใจกับวัตถุดิบเหล่านี้เท่าไร
สือเป้ยเอ๋อรู้สึกกระวนกระวายใจและอึดอัดเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย หากเป็นแบบนี้นางจะแก้แค้นซูหวานหว่านได้อย่างไร! แล้วนางจะทำอย่างไรกับเงิน 100 ตำลึงที่วางเดิมพันไป!
สือเป้ยเอ๋อร์ก็ขยิบตาให้กับลูกน้องตัวเอง ลูกน้องของนางเดินไปหาซูหวานหว่านแล้วถามออกมาอย่างไม่พอใจว่า “แม่นางซู เจ้ากำลังหาสิ่งใดอยู่? ข้าสามารถช่วยเจ้าหาได้”
เป็นเพียงเพราะเงินจำนวนเล็กน้อยที่วางเดิมพันจึงหันมาช่วยเหลือนางงั้นรึ? ซูหวานหว่านยิ้มและพูดออกมาอย่างมีความสุข “ข้ากำลังหาปลาหวู่เจียง แครอท หัวหอมและขิง”
นอกจากปลาแล้วเขาก็ไม่รู้จักวัตถุดิบที่เหลือเลย ซูหวานหว่านยิ้มและเดินหาของต่อ
ในตอนที่ทุกคนกำลังแย่งกันจับปลา เมื่อได้ยินซูหวานหว่านต้องการปลาหวู่เจียง พวกเขาก็จงใจเหลือเอาไว้ให้นางเพียง 1 ตัว ถึงแม้ว่ายังมีบางคนต้องการจะต่อต้านซูหวานหว่าน แต่พวกเขาก็ต้องปล่อยไปก่อน
ซูหวานหว่านหาของที่ต้องการได้ครบหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจับปลามาแล่เนื้อ นางแล่เนื้อปลาอย่างสบาย ๆ และชำนาญเป็นอย่างมาก เห็นแบบนั้นทุกคนก็พูดส่งเสียงซุบซิบและหัวเราะ “ซูหวานหว่านเจ้าเป็นคนโง่จริง ๆ! ดูเหมือนว่านางจะไม่ใช่คนทำอาหารไม่เป็นนะ แล้วนางวางเดิมพันว่าตัวเองจะไม่ชนะ! แต่ดูจากท่าทางแล้วเจ้าจะต้องเสียเงินให้กับพวกเราเปล่า ๆ!”
“ใช่แล้ว!”
“…”
ใครกันแน่ที่จะต้องเสียเงินเดิมพันในครั้งนี้ไปเปล่า ๆ เรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้เสียหน่อย ซูหวานหว่านยิ้มออกมา แล้วเดินไปที่ครัวอีกครั้งเพื่อทำเครื่องปรุง
นางหยิบพริกที่แอบพกมาสับและใส่ลงไป ทำให้กลิ่นพริกฉุนลอยออกมา หลายคนเริ่มส่งเสียงสาปแช่งและอยากจะหนีไปทำอาหารให้ไกลจากซูหวานหว่านเล็กน้อย
ซูหวานหว่านยังคงมีท่าทางที่นิ่งสงบ นางค่อย ๆ ปรุงซุปเปรี้ยวหวานที่อยู่ในหม้อใหญ่ เด็กสาวโรยพริกแดงลงบนเนื้อปลาที่แร่เสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นตามด้วยต้นหอมหนึ่งกำมือ กลิ่นของมันหอมมาก
มันดูดีมาก!
เมื่อทุกคนมองสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว คาดว่าซูหวานหว่านน่าจะชนะในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นซูหวานหว่านค่อย ๆ หยิบตะเกียบขึ้นมาและลงมือชิมอาหาร
จานนี้มันต้องเป็นของกรรมการที่เอาไว้ชิมไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางถึงกินเอง?
โดยปกติเวลาทำอาหารอยู่ที่บ้านจะต้องชิมเพียงสองสามคำเท่านั้น ทว่านี่มันต่อหน้าคนอื่น!
มีคนใจดีพูดเตือน ทว่าซูหวานหว่านกลับพูดว่า “ขออภัยด้วย วันนี้ข้าไม่ได้กินข้าวเช้ามา เลยควบคุมความหิวไม่ได้”
หลังจากนั้นนางก็ถามออกมาว่า “เจ้ากินข้าวเช้าแล้วหรือยัง? อยากกินด้วยกันหรือไม่?”
แววตาใสซื่อแบบนี้! ทำให้ทุกคนเกือบลืมไปแล้วว่าซูหวานหว่านไม่ได้ตั้งใจ!
นางทำอาหารกินเอง! ส่วนเงินเดิมพัน ขอเพียงนางชนะและติดอันดับก็พอ อีกทั้งยังมีคนของร้านเจวียเซ่ออีก! ทำไมนางถึงไม่วิตกกังวลอะไรเลย
เมื่อเห็นแบบนี้ สือเป้ยเอ๋อร์ก็จ้องไปที่ซูหวานหว่านและเกือบที่จะพูดคำหยาบออกมา ซูหวานหว่านทำแบบนี้ได้อย่างไร เช่นนี้นางจะให้ซูหวานหว่านผ่านบททดสอบแรกไปได้อย่างไร? หากนางให้โอกาสซูหวานหว่านผ่านบททดสอบ นางจะต้องถูกชาวบ้านคนอื่น ๆ ว่าอย่างแน่นอน!
สือเป้ยเอ๋อร์จึงขอให้ซูหวานหว่านชิมเพียงสองสามคำเท่านั้น เมื่อถึงเวลาให้คะแนนมาถึง นางก็ได้เตรียมให้คะแนนซูหวานหว่านเอาไว้แล้ว
หลังจากที่ซูหวานหว่านชิมอาหาร นางก็เอาเศษกระดูกวางเอาไว้ในจานอาหาร จากนั้นก็วางตะเกียบลง พร้อมกับยิ้มออกมา ผู้คนที่นั่งดูกำลังยุ่งอยู่กับการชิมอาหารและตัดสินใจในการให้คะแนน
ทุกคนต่างพาตกตะลึงและสงสัยกับการกระทำของซูหวานหว่าน
ชายชราคนหนึ่งพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ไปชิมของคนต่อไป! ใครจะกล้าชิมอาหารของเจ้ากัน! ข้าให้คะแนนเจ้าเป็นศูนย์! เจ้าไม่มีโอกาสผ่านเข้ารอบ!”
เด็กสาวตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้นว่า “ได้ เช่นนั้นแล้วข้าขอตัว”
พร้อมกับเดินจากไป
ชายชราคนนั้นถึงกับผงะไป หลังจากถูกสือเป้ยเอ๋อร์กวักมือเรียกเขาก็รับสินบนจากหญิงสาวมาแล้ว! นางแค่อยากจะให้ซูหวานหว่านรู้สึกอับอายและทำอาหารใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ซูหวานหว่านผ่านเข้ารอบ ใครจะคิดว่า…
ซูหวานหว่านไม่ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป! เขาเหลือบมองสือเป้ยเอ๋อร์อย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความโกรธ และมองไปที่ซูหวานหว่านกับฮวงเหล่าที่กำลังเก็บเงินเดิมพันทั้งหมดด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ
ฮวงเหล่าที่กำลังถือเงินอยู่ก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันทั่วทั้งปาก ซูหวานหว่านจึงพูดยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์! รักษาภาพลักษณ์ไว้หน่อยเถอะ”
“หืม! เจ้ายังไม่สนใจภาพลักษณ์เลย แล้วข้าจะสนใจไปไย? พูดอีกอย่างก็คือหน้าของเจ้าทำไมเหมือนกับข้าเลยล่ะ? หน้าด้านจนดูไม่เหมือนหญิงสาวเลย” ฮวงเหล่าเลิกคิ้วถามแล้วหยิบเงินไปยังร้านแลกตั๋วเงิน หลังจากนั้นก็เดินทางกลับบ้านของตน
วันนี้ไม่มีชาวบ้านขอให้ไปรักษา ฮวงเหล่าจึงได้นั่งพักผ่อนอยู่ในลานบ้านของตน ส่วนซูหวานหว่านก็ช่วยพลิกยาที่ตากเอาไว้ เด็กสาวพบว่าเสี่ยวเฮ่ยได้หายตัวไป แต่เมื่อกำลังจะออกไปตามหา ก็เจอเสี่ยวเฮ่ยเดินเข้ามาพร้อมอาการบาดเจ็บจึงรีบวิ่งไปช่วยพยุงอีกฝ่าย พลันใดชายหนุ่มก็ไอกระอักเลือดออกมา
“จะ…เจ้านาย…”
ซูหวานหว่านไม่เข้าใจสิ่งที่เขาจะบอก นางพยุงเสี่ยวเฮ่ยเอาไว้ก่อน และทันใดนั้นก็พบว่ามีใครบางคนแทงเข้าไปที่ลำคอของชายหนุ่ม เลือดไหลทะลักออกมาเปรอะเปื้อนไปหมด และสายเสียงของเขาก็เงียบไป
เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะโกรธคนที่ทำแบบนี้ นางรีบห้ามเลือดของอีกฝ่าย พร้อมกับรินน้ำหลิงเย่หนึ่งชามให้กับเสี่ยวเฮ่ยดื่ม ทำให้บาดแผลของเขาค่อย ๆ สมาน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพูดไม่ได้อยู่ดี
“ใครทำร้ายเจ้า?” ซูหวานหว่านถามออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“คือ…สือ…” เสี่ยวเฮ่ยพูดไม่ได้
“เป็นใคร?” ซูหวานหว่านพยายามถามเสี่ยวเฮ่ย แต่เขาไม่สามารถบอกนางได้ “งั้นเจ้าเขียนชื่อมา”
เสี่ยวเฮ่ยส่ายหัว ซูหวานหว่านประหลาดใจเป็นอย่างมากและเข้าใจว่าเขานั้นเขียนตัวหนังสือไม่เป็น นางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากที่จะพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
หลังจากพาเสี่ยวเฮ่ยกลับเข้าห้องไปนอนพักผ่อน ซูหวานหว่านก็ครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดน่าจะเป็นพี่น้องตระกูลสือที่เป็นคนลงมือ อันที่จริง… เสี่ยวเฮ่ยเคยเป็นคนของพวกนั้นมาก่อน ทว่าต่อมาเรื่องทั้งหมดก็กลายมาเป็นเช่นนี้ และตอนนี้เสี่ยวเฮ่ยเองก็ไม่สามารถฆ่าใครได้แล้ว
บางทีนางไม่ควรที่จะเอาตัวเองออกจากการแข่งขัน ไม่เช่นนั้นนางก็คงจะแก้แค้นร้านอาหารหงเหมินของสองคนนั้นได้
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากหน้าบ้าน ซูหวานหว่านก็ถามออกมา “เจ้าเป็นใคร?”
เสียงของผู้ชายดังมาจากนอกประตูบ้าน “แม่นางซู! ข้าเป็นคนของร้านอาหารหงเหมิน เจ้านายของข้าขอให้ข้ามาส่งคำเชิญท่านไปทำการแข่งขันใน ‘รอบแก้ตัว’ ในวันพรุ่งนี้ หากทำอาหารออกมาได้ดีแล้วผ่าน ‘รอบแก้ตัว’ ไปได้ ท่านก็สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้”
การแข่งขันรอบแก้ตัว?
ให้นางเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศอย่างงั้นหรือ!
ซูหวานหว่านยิ้มออกมาพร้อมกับเปิดประตูตอบรับคำเชิญ “เจ้าคอยดู ว่าในพรุ่งนี้ข้าจะโค่นคนเหล่านั้นที่หงเหมินนั่นอย่างไร!”
พูดจบซูหวานหว่านมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเจวียเซ่อ และบอกผู้ดูแลหลิวให้เปิดร้านอาหารได้ในวันพรุ่งนี้ นางเดินเข้าไปในห้องครัวนำพริกออกมาหนึ่งพวงให้กับพ่อครัวที่ไม่ได้ไปเข้าร่วมการแข่งขัน และสอนวิธีทำน้ำพริกให้กับพวกเขา จากนั้นก็ขอตัวกลับไปคิดอย่างรอบคอบสำหรับการต่อสู้ของวันพรุ่งนี้
วันเช้ารุ่งขึ้นเมื่อท้องฟ้าสว่าง สือเป้ยเอ๋อร์ก็ได้นั่งรอซูหวานหว่านอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว