ตอนที่ 109 เขากลายเป็นลูกเขยคนอื่นไปแล้ว
ซูหวานหว่านเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าที่เต็มไปด้วยมีดหลายเล่ม!
ท่าทางเช่นนี้ราวกับพ่อครัวใหญ่!
ทุกคนหันไปมองซูหวานหว่านด้วยสายตาประหลาดใจ
สือเป้ยเอ๋อร์ดูถูกนางอยู่ภายในใจ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพักนางยังไม่ได้ประกาศเริ่มการแข่งขัน ด้วยนางได้สั่งให้คนนำขนมออกมาให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้กินเพลิดเพลินในขณะที่รอเวลา เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันมองไปที่ขนม จากนั้นคนรับใช้ของสือเป้ยเอ๋อร์ก็เอ่ยแนะนำขนม บอกว่ามันมีรสชาติอร่อยมากและจะวางขายขนมที่ร้านหงเหมินในอนาคต
นี่กำลังจะแนะนำร้านอาหารของตัวเองงั้นหรือ?
นางจะทำให้สือเป้ยเอ๋อร์ไม่สมความปรารถนาที่นางได้คาดหวังเอาไว้! ซูหวานหว่านพูดออกมา “ขนมชิ้นนี้… อืม รสชาติก็ธรรมดา”
ใบหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์พลันเปลี่ยนสีแล้วพูดขัดขึ้น “ซูหวานหว่าน! เจ้าควรสงบปากสงบคำของเจ้าเอาไว้หน่อยก็ดีนะ ไม่งั้นเช่นนั้นเจ้าจะแย่เอาได้!”
“ไม่ให้ผู้อื่นวิจารณ์อาหารแบบตรงไปตรงมาแบบนี้รึ? ในเมื่อเจ้าไม่ให้ผู้อื่นพูดความจริง ที่เจ้าจัดการแข่งขันขึ้นมาก็เพื่อประกาศต่อหน้าประชาชนว่าร้านหงเหมินนั้นคืออันดับหนึ่งของร้านอาหารไม่ใช่หรือ!” ซูหวานหว่านพูดออกมาพร้อมยักไหล่
ทันใดนั้นเองก็มีขนมพุ่งผ่านหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ไป หญิงสาวหันไปมองด้วยความโกรธและก็พบว่าเป็นฮวงเหล่า ชายชราพูดออกมาว่า “มันไม่อร่อยจริง ๆ! กินแล้วแข็งติดฟัน! รสชาติยังอ่อนไป! เหมือนทำมาจากเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่อร่อยเท่าขนมข้าวปิ้ง!”
“เฮอะ!” สือเป้ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา “เจ้ากินไม่ได้ แล้วคนอื่นจะกินไม่ได้งั้นหรือ? เจ้าดูแววตาที่เปล่งประกายของพวกเขาสิ”
เหยียนเอ๋อร์สาวใช้ของสือเป้ยเอ๋อร์เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด และรีบถามทุกคนทันที “ข้าอยากข้อความคิดเห็นจากทุกคนหน่อย มีผู้ใดเคยกินขนมที่อร่อยกว่าร้านหงเหมินของเราหรือไม่?”
ถามรึ? น่าเบื่อ! ซูหวานหว่านยิ้มเยาะออกมาอย่างมั่นใจยิ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อนร้านอาหารเจวียเซ่อได้แจกขนมไปมากมาย เนื่องจากเกิดความผิดพลาดในการทำอาหาร จึงต้องปิดปรับปรุงร้านอาหาร นางไม่เชื่อว่าที่นี่จะไม่มีใครไม่เคยชิมมัน! และก็ไม่เชื่อด้วยว่าขนมของนางกับน้ำจากมิติฟาร์มนั้นจะทำให้เค้กของนางอร่อยสู้ร้านหงเหมินไม่ได้!
แน่นอนว่าดวงตาของผู้เข้าร่วมล้วนเป็นประกาย บางคนก็พูดออกมาอย่างลังเล “รสชาติของขนมนี้ มันมีรสชาติที่ดีกว่าขนมทั่วไปตามท้องถนนเสียอีก…”
“ใช่” เหยียนเอ๋อร์ก็ตอบรับกลับมาอย่างเห็นด้วยทันที
แต่ถึงอย่างงั้นก็มีคนเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างมั่นใจว่า “รสชาติของขนมชิ้นนี้อร่อยสู้ร้านเจวียเซ่อไม่ได้เลย ทั้งในเรื่องของรสชาติและความสวยงาม”
บังอาจมาก! กินขนมของนางแล้วยังจะพูดจาเช่นนี้อีก! สือเป้ยเอ๋อร์กัดฟันกรอด นางสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ พร้อมกับปันยิ้มแย้ม “ทุกท่าน ร้านอาหารหงเหมินของเราจะน้อมรับคำแนะนำของพวกท่านเอาไว้ และจะปรับปรุงรสชาติดีขึ้นกว่านี้”
คำพูดอ่อนน้อมถ่อมตนของนางทำให้หลายคนรู้สึกดีที่นางยอมรับข้อเสียที่คนวิจารณ์ได้
ไม่นานหลังจากที่ก้านธูปหอมมอดลง สือเป้ยเอ๋อร์ก็ขอให้คนจุดธูปหอมขึ้นมาอีกครั้งและจากนั้นก็ประกาศเริ่มการแข่งขัน
ในรอบนี้ไม่มีผู้ใดออมมือให้ซูหวานหว่านอีกต่อไป เนื่องจากรอบต่อไปคือรอบชิงชนะเลิศ ในการแข่งขันรอบแก้ตัวมีเพียง 20 คนเท่านั้นจะที่ได้เข้ารอบ ทว่าคนที่เข้าแข่งขันรอบนี้มีกันถึง 50 คน
กลุ่มฝูงชนพากันแย่งชิงวัตถุดิบ ซูหวานหว่านถูกเบียดอยู่ที่ประตูครัว
ทันใดนั้น ก็มีชายหนุ่มท่าท่างอ่อนโยนและสง่างามเดินลงมาจากด้านบน เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมที่ตัดเย็บอย่างประณีต คิ้วเรียวเรียงตัวสวย ดวงตาเปล่งประกายสุกใส จมูกโด่ง ริมฝีปากเรียวบางสีชมพู รอยยิ้มของเขาสามารถทำให้ผู้คนพบเห็นลุ่มหลงได้
ใบหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางจ้องมองเหยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างและนางก็พูดออกมาว่า “คุณชาย! เขยตระกูลสืออยู่ที่นี่แล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าเขยของตระกูลสือ ส่งผลให้ทุกคนหันไปมองด้วยความสนใจ ซูหวานหว่านเองไม่ได้หันไปมองและรอให้คนอื่นเข้าไปเลือกวัตถุดิบ ทว่าคนอื่น ๆ กลับไปยอมเดินเข้าไปสักที ทำให้นางต้องยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวคนเดียว
เหยียนเอ๋อร์เหลือบมองซูหวานหว่าน นางยิ้มออกมาและพูดออกมาอย่างดูถูก “แม่นางซู เจ้าอย่าเอาเรื่องว่าที่ลูกเขยของตระกูลสือเก็บไปใส่ใจ จนทำให้เจ้าเสียสมาธิและประหม่าไปซะล่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะแพ้ได้ในวันนี้! เจ้าต้องพยายามให้มากกว่านี้! แล้วหากเจ้าเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ คุณหนูของพวกเราจะตอบแทนเจ้าโดยการให้เจ้ามาเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารหงเหมิน เจ้าจะได้เจอหน้าว่าที่ลูกเขยของตระกูลสือทุกวันอย่างไงล่ะ!”
“น่าตลกสิ้นดี” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจ นางดึงแขนชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางอย่างแรง จากนั้นก็เดินจากไป
สือเป้ยเอ๋อร์เห็นแบบนั้นก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางดึงแขนฉีเฉิงเฟิงมาใกล้ ทั้งสองยืนอยู่ข้างกัน ทว่าใบหน้าของฉีเฉิงเฟิงกลับรู้สึกไม่พอใจและปัดมือของสือเป้ยเอ๋อร์ออก นางจึงถามออกมาว่า “เจ้ารักข้าหรือไม่?”
“รัก แน่นอนว่าต้องรักจนไม่สามารถเกลียดเจ้าลง รักเจ้ามาจนไม่อยากสูญเสียเจ้าไป ชีวิตนี้ของข้าคงจะไม่มีความหมายหากไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย”
เขาสามารถพูดคำพูดชวนขนลุกแบบนี้ได้ด้วยรึ?
นี่มันเป็นตัวเขาจริงหรือ?
ฉีเฉิงเฟิงเองก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เขารู้สึกเสมอว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พูดออกมา
ทุกคนปรบมือและอดอิจฉาในความรักของทั้งสองไม่ได้ ผู้คนเหล่านั้นพูดจาประจบเอาใจทำให้หัวใจของสือเป้ยเอ๋อร์กระชุ่มกระชวยเป็นอย่างมาก
พอฟังจบร่างกายของซูหวานหว่านก็พลันหยุดชะงักและยืนตัวแข็งทื่อ ตอนนี้ในมิติฟาร์มของนางเกิดพายุโหมกระหน่ำ ลมพัดกระโชกแรง ฝนเทลงมาอย่างหนัก หลิงเชอที่นอนอาบแดดอยู่กลายเป็นไก่ตกน้ำ จากนั้นเขาก็วิ่งกลับไปในบ้านและเอ่ยสาปแช่งซูหวานหว่าน
ซูหวานหว่านเดินเข้าไปในครัวและพบว่าวัตถุดิบระดับกลางถึงระดับสูงทั้งหมดถูกนำเอาไปหมดแล้ว แม้แต่กระทั่งปลาตัวเล็กและเนื้อก็ไม่มีเหลืออยู่เลย
ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้!
ซูหวานหว่านแสยะยิ้ม ทว่าโชคดีที่นาง ‘นำวัตถุดิบมาเอง!’
ซูหวานหว่านหันซ้ายและหันขวา นางหยิบผักกาดขาวออกมาหนึ่งหัวนำมาล้างให้สะอาด และเดินกลับไปที่เตาของตัวเอง นางหยิบมีดออกมาลงมือผ่ากลางผักกาดขาว
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็ต่างพากันหัวเราะ “ยังมีผักกาดขาวเหลืออยู่! เช่นนี้จะเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างไร! อีกทั้งยังมาหั่นอยู่แบบนี้ น่าขันนัก! ใครมันจะไปอยากกินกัน”
“ใช่! ให้หมูกินสิถึงจะถูก!”
“…”
ผักกาดขาวรึ? ใครว่ากินไม่ได้?
ซูหวานหว่านยิ้มออกมาพร้อมกับหันเอาก้านและใบออก แล้วหันหลังพร้อมกับใช้มีดอย่างเชี่ยวชาญ แต่ทุกคนมองไม่เห็นการกระทำของหญิงสาวจึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
สือเป้ยเอ๋อร์แสร้งทำเป็น ‘คนดี’ พูดออกมาว่า “พวกเจ้าก็อย่าไปหัวเราะเยาะนางเลย เดี๋ยวจะทำให้นางประหม่าแล้วทำอาหารออกมาได้ไม่ดีเอา? เมื่อถึงตอนนั้นนางอาจจะไม่สามารถมาพบหน้ากับฉีเฉิงเฟิงได้ เดี๋ยวนางจะมาโทษข้า”
“แม่นางสือ! คุณชายฉีจะสู่ขอท่านแต่งงานนับว่าเป็นเรื่องที่วิเศษมาก! หากแต่งงานกับซูหวานหว่านมันคงเป็นฝันร้ายในยามค่ำคืน! นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองไม่คู่ควร จะมาโทษว่าเป็นความผิดของท่านได้อย่างไร?”
“ใช่”
“…”
การพูดประจบสอพลอของเหล่าคนใช้ทำให้สือเป้ยเอ๋อร์รู้สึกราวกับตัวลอยและสบายใจเป็นอย่างมาก นางหันไปมองดูซูหวานหว่านอีกครั้ง แต่ก็ไม่เข้าใจ
ซูหวานหว่านกำลังต้มน้ำในหม้อ! และก็ยืนนิ่งไปไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ต่อไป แล้วนางก็กำลังยืนหลับอยู่งั้นหรือ?
นางมันบ้าไปแล้วแน่ ๆ!
ทุกคนพากันหัวเราะ ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มชุดขาวที่เบียดเสียดฝูงชนเข้ามามุงดูแล้วพูดขึ้นมาว่า “ที่นี่ช่างครึกครื้นเสียจริง”
ฉีเฉิงเฟิงหันไปมองที่คนคนนั้นแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะเคยเจอกับชายคนนี้แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าจำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน เพราะสือเป้ยเอ๋อร์ได้ใส่พิษกู่เข้าไปในอาหารที่เขากิน ทำให้เขาลืมเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับซูหวานหว่านและคุณชายถังคนที่เขาหึงไป
คุณชายถังมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงด้วยสายตาที่เย็นชา ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมคุณชายถังถึงเป็นศัตรูกับเขา
เวลาผ่านไปเนิ่นนานและก้านธูปก็เกือบมอดหมดแล้ว
อาหารของทุกคนได้เตรียมพร้อมหมดแล้วยกเว้นของซูหวานหว่านที่ยังไม่เสร็จ มีคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “อย่ารอนางเลย! นางแค่ต้มน้ำในหม้อ! ยังจะต้องชิมอีกหรือ?”
“ใช่แล้ว”
“…”
“รอเดี๋ยว” ซูหวานหว่านลืมตาขึ้น นางปิดฝาหม้อน้ำแกงต้มไก่สูตรลับที่นางใช้เคี่ยวเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วยามได้ที่ดีแล้ว นางเพิ่มฟืนเติมเชื้อไฟ จากนั้นก็ใส่ยอดผักลงไป
เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านใส่แต่ยอดผัก ผู้คนในห้องโถงก็พากันหัวเราะและสือเป้ยเอ่อร์ก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ